บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1182 ประเทศมั่นคงสงบสุขหนานเจียงต้องสงบ
ชีวิตความเป็นอยู่ของหงเย่ ฟื้นคืนสู่ความสงบสุขในเดิมที ตั้งแต่วันนั้นหลังจากหยู่เหวินเห้ามา ในจวนก็ไม่มีผู้อื่นมาอีก
คนก็ชั่งน่าแปลกจริงๆ เมื่อคุ้นชินกับความคึกคักแล้ว ขณะที่สงบเงียบลงมา ก็รู้สึกไม่คุ้นชินเป็นที่สุด จิตใจดวงนี้ทำอย่างไรก็สงบลงมาไม่ได้ อยากไปจวนอ๋องฉู่ ก็รู้สึกว่าตัวเองมักจะไปรบกวนหยวนชิงหลิงอยู่เสมอ กลัวว่าจะทำให้แผนการของนางล่าช้า
เขาที่โดยปกติแล้วใช้แผนการเพื่อชัยชนะ กลับคิดหาทุกวิถีทางก็ไร้ปัญญาที่จะขจัดความเหงาไปได้ บอกให้คนถ่ายทอดให้อะโฉ่วกลับมาพูดคุย อะโฉ่วเป็นคนพูดน้อย ซื่อตรงไม่ถนัดในการพูดจา หลังจากพูดถึงผลการรักษาของฮูหยินใหญ่ทางนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก น่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง
อะโฉ่วก็ลำบากใจมาก ที่ผ่านมาอยู่เป็นเพื่อนท่านชาย ท่านชายมักจะชอบความสงบ ไม่ชอบพูดจา ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาจะต้องการพูดคุยขนาดนี้?
ภายใต้ความเบื่อหน่ายของหงเย่ จึงหากระบี่สองออกมาสองด้าม ต้องการจะประลองกระบี่กับอะโฉ่ว
อะโฉ่วหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ท่านชาย ขอเตือนท่านว่าอย่าหาเรื่องขายหน้าให้ตัวเองเลยเจ้าคะ”
ผู้ใดยังจะไม่โกรธอีก? ได้ยินคำพูดนี้ ตัดใจทันที คว้ากระบี่แทงเข้าไปทางอะโฉ่ว อะโฉ่วจับกระบี่ลุกขึ้นอย่างไม่รักชีวิต พลิกตัวลอยขึ้นไปในอากาศ ลอยหลบไปเบาๆ พลิกฝ่ามือยกกระบี่ แล้วปาดไปทางข้อมือของหงเย่ หงเย่เหยียดหยามเล็กน้อย เอากระบี่ขวางไว้ ใครจะรู้ว่าขณะที่กระบี่นั่นมาถึง ปลายกระบี่กลับเปลี่ยนทิศทางทันที ตัดเพียงเส้นผมของเขา เขารีบหลบกลับไป หลบอันตรายไปได้
จิตใจที่อยากจะเอาชนะเกิดขึ้น แน่นอนว่าไม่กล้าที่จะประมาทศัตรูได้ เก็บอารมณ์ความรู้สึกตั้งใจประลองกับอะโฉ่วสักสามร้อยรอบ
ในเมื่อเป็นการประลองกระบี่ เขาจึงเก็บกำลังภายในที่มีไว้ กระบี่ของอะโฉ่วรวดเร็วและอ่อนช้อย พิสดารและเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย หากว่าเขาเก็บกำลังภายใน จะสามารถต่อสู้กับอะโฉ่วสามร้อยรอบได้ที่ไหนกัน หลังจากห้าสิบกระบวนท่า ก็สะบักสะบอมเป็นอย่างมาก สุดท้ายถูกอะโฉ่วบีบบังคับกลิ้งไปที่พื้นติดต่อกัน จึงจะหลบเลี่ยงกระบี่ที่แหลมคมของอะโฉ่วได้
ทว่า สวมชุดสีแดง กลิ้งติดต่อกันที่พื้น อย่างไรฐานะก็เสียหาย ในใจแอบแค้น ระหว่างที่คุกเข่าจับกระบี่ปรารถนาที่จะลุก กลับเห็นเงาชุดสีขาวลอยมาด้านหน้า ภายใต้ชายเสื้อ ปรากฏรองเท้าบูตที่สีสันงดงามคู่หนึ่ง
เขางงงันทันที เงยหน้าขึ้นมา ประทับเข้าดวงตาดำขลับลึกล้ำ โฉมหน้าที่งดงามเป็นหนึ่ง บุคคลผู้มีชื่อเสียงร่ำรวยสูงส่งจากตระกูลที่สูงศักดิ์ บวกกับดำรงตำแหน่งหัวหน้าของกั๋วจื่อเจียนเป็นเวลาหลายปี เข้าออกพระราชวังพร้อมฮ่องเต้ตลอดทั้งปี บนตัวมักจะแฝงด้วยความสูงศักดิ์ดูมีความรู้สง่างามอยู่เสมอ ดวงจันทร์สว่างอากาศแจ่มใส ไม่อุ่นไม่ร้อน เหมือนเมฆหมอกจางๆ
“จวิ้นอ๋องไม่จำเป็นต้องคุกเข่าต้อนรับข้า” ในดวงตาดำขลับนั่นของเหลิ่งจิ้งเหยียน ไร้อารมณ์ความรู้สึกที่ผันผวน เพียงแค่กล่าวกับหงเย่อย่างราบเรียบประโยคหนึ่ง
เมื่อหงเย่ได้ยินคำพูดนี้ ยิ่งน่าสมเพช หันกลับไปเพ่งมองอะโฉ่วอย่างดุดันแวบหนึ่ง อะโฉ่วกลับถือกระบี่แล้วถอยไป เฝ้าอยู่ด้านหลังเหมือนดั่งหินสลัก
หงเย่ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนตัว สบตากับดวงตาที่สงบนิ่งของเหลิ่งจิ้งเหยียน ไม่รู้ว่าจะอธิบายก่อนหรือถามความประสงค์ที่มาก่อน ก็เห็นเหลิ่งจิ้งเหยียนเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง กลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่เต็มเปี่ยมอยู่รอบตัว กลับทำให้หงเย่ถอยไปอีกก้าวหนึ่งอย่างน่าสมเพช แล้วเห็นเขายื่นมือออกมาทางหัวไหล่ หงเย่ดวงตาเคร่งขรึมทันที ยื่นมือไปปัดมือของเขาด้วยจิตใต้สำนึก เพราะเมื่อครู่ถูกดูหมิ่น การกระทำนี้จึงแอบซ่อนกำลังภายใน คิดจะปัดให้เขาล้มลงพื้น มากน้อยก็สามารถเอาหน้าตากลับมาได้เล็กน้อย
ใครจะรู้ ทันทีที่ปัดนี้ เหลิ่งจิ้งเหยียนกลับไม่ได้เคลื่อนไหวสักน้อย และยังสามารถยื่นมือออกมาจากในแขนเสื้อของเขาด้วยความรวดเร็วต่อได้อีกและปัดใบไม้แห้งบนหัวไหล่ของเขา ริมฝีปากบางๆโค้งเล็กน้อย ราวกับว่าแฝงด้วยความเยาะเย้ยนิดหน่อย กล่าวอย่างราบเรียบ “ทำไมท่านชายจึงได้สะบักสะบอมเพียงนี้?”
จิตใจของหงเย่สั่นไหวเล็กน้อย มองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน ได้พบกับเหลิ่งจิ้งเหยียนสองสามครั้ง ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเขาเงียบสงบเหมือนดั่งทะเลสาบเท่านั้น เป็นผู้มีความรู้สุภาพเรียบร้อย แต่กลับไม่รู้ว่าขณะที่เผชิญหน้ากัน พลังของเขาจะน่ายำเกรงไม่สามารถประมาทได้ ยังจะล้างกำลังภายในของเข้าไปได้อย่างง่ายดายอีก
ดูแล้ว เป่ยถังนี่ยังจะซ่อนเสือซ่อนมังกรไว้จริงๆ คนมากมายถ่อมตัวไม่แสดงความสามารถ แต่กลับซ่อนศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ไว้
“เข้ามา มีคำจะพูดกับเจ้า” แม้จะบอกว่าเหลิ่งจิ้งเหยียนเคารพเขาเป็นจวิ้นอ๋อง แต่กลับไม่เคยเกรงใจเขา หลังจากทิ้งการใช้น้ำเสียงออกคำสั่งแล้วก็เข้าไปแล้ว
หากว่าเป็นอดีต หงเย่ก็ไม่ได้ถือสา แต่ตอนนี้แปดเปื้อนกลิ่นอายสีสันของโลกมนุษย์มากแล้ว จึงเริ่มคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมา มักจะรู้สึกว่าเช่นนี้เป็นการเสียฐานะของตัวเอง พูดกับแผ่นหลังของเขาคำหนึ่ง “ข้างนอกนี่ลมดี มีอะไรจะพูดก็พูดที่นี่”
ทว่าคิดไม่ถึง เหลิ่งจิ้งเหยียนกลับไม่ได้หยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย เดินตรงเข้าไป ทั้งยังสั่งการคนรับใช้ในจวนให้ไปจัดน้ำชามาต้อนรับอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นดวงตาดําขลับก็เหลือบมองออกมา แฝงไว้ด้วยความหมายที่เคร่งขรึม “ยังไม่เข้ามาอีกต้องเชิญหรือ?”
หงเย่แอบกัดฟัน แม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกพลังของเขาเกลี้ยกล่อม อีกทั้งยังสงสัยว่าเขามาด้วยเหตุใด ด้วยเหตุนี้จึงเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเย็นชา ยกชุดคลุมสีแดงขึ้นนั่งลงอย่างขุ่นเคือง เลิกคิ้วมองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน “ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหลิ่งมาเยือนถึงจวนของข้า มีคําแนะนําอันใด”
แต่ไหนแต่ไรไม่ได้วางมาดฐานะของจวิ้นอ๋อง แต่ตอนนี้กลับต้องแสร้งทํารอบหนึ่ง
เหลิ่งจิ้งเหยียนกลับมองเขาอย่างเฉยชาแวบหนึ่งเท่านั้น “ข้ามาหาอะโฉ่ว ไม่ได้มาหาท่าน”
หงเย่ได้ยินดังนั้น โมโหจนหน้าเขียวอย่างฉับพลัน “เมื่อครู่ท่านก็ไม่บอก? ยังจะเรียกข้าเข้ามาทำอะไร?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนงงงันเล็กน้อย คิ้วที่งดงามขมวดขึ้น “เรียกท่านเมื่อไหร่? ทีแรกข้าก็เรียกอะโฉ่ว ท่านก็เข้ามาเอง ทั้งยังทำสีหน้าไม่พอใจ ใครไปยั่วโมโหท่านหรือ?”
อะโฉ่วหัวเราะเยาะอยู่ด้านนอกทีหนึ่ง แววตาเหมือนดั่งรอสังหารคนเช่นนั้นของหงเย่กวาดออกไปนางจึงเก็บอาการ กอดกระบี่เข้ามามองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน “มาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูนางแล้วกล่าว “รอยประทับที่ใบหน้าของเจ้า ข้าคล้ายกับจะมั่นใจว่าเป็นรอยประทับของหมอผีสวรรค์ ฮูหยินใหญ่อาจจะไม่สามารถช่วยเจ้าล้างเปลวไฟสีดำไปได้ แต่ข้ามีวิธี หากว่าหลังจากที่เอาออกแล้วฟื้นคืนสู่ใบหน้าเดิม เจ้าจะยอมกลับเจียงเป่ยไปยุติเรื่องสงครามหรือไม่?”
อะโฉ่วเคยได้ยินท่านชายพูดมาก่อน รู้สึกแค่เพียงไร้สาระ เดิมทีนางก็เป็นปีศาจร้ายที่เกิดบนโลกที่คนเจียงเป่ยทุกคนเกลียดชัง แต่กลับถูกพวกเขาบอกว่าเป็นหมอผีสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนเคารพบูชา เหลวไหลยิ่งนัก
ตอนนี้ได้ยินเหลิ่งจิ้งเหยียนพูดอีก นางยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นแผนการร้าย
ตอนนี้เป่ยถังนอกจากหนานเจียงแล้ว ยังมีเป่ยโม่ที่จ้องตาเป็นมัน ต้องการทำให้เป่ยถังเข้าสู่ยุคที่เจริงรุ่งเรืองสุขสงบอย่างเป็นทางการ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องทำให้สถานการณ์ความวุ่นวายในหนานเจียงสงบถึงจะสามารถก้าวก้าวแรกออกไปได้
แม้ว่าอะโฉ่วจะไม่ไถ่ถามถึงสถานการณ์ทางการเมือง แต่ฟังคุณชายพูดมากๆแล้ว ก็รู้สถานการณ์เหล่านี้ อะโฉ่วยิ่งรู้จักทักษะลูกเล่นอำนาจเหล่านี้ ชำนาญในด้านการใช้ประโยชน์จากคนอื่น นางไม่ใช่หมอผีสวรรค์อย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าเหลิ่งจิ้งเหยียนจะใช้วิธีอะไรแปลงโฉมนางให้กลายเป็นหมอผีสวรรค์ และเขาอาจจะคิดว่าวิธีการเหล่านี้ล้ำเลิศ แต่ในสายตาของหมอผี เป็นของเด็กเล่นโดยแท้จริง แวบเดียวก็สามารถมองทะลุปรุโปร่งแล้ว
นางไม่เต็มใจกลับไปที่เจียงเป่ยเพื่อแบกรับความโกรธและความชั่วร้ายของคนเหล่านั้นอีกเด็ดขาด ฉะนั้น นางจึงปฏิเสธในคำเดียว “ไม่ ข้าจะไม่ให้พวกท่านหลอกใช้ และไม่ยินยอมกลับไปที่เจียงเป่ย หากว่าฮูหยินใหญ่ช่วยข้าล้างไม่ได้ ข้าก็เป็นคนสวมหน้ากากไปทั้งชีวิต หน้ากากอัปลักษณ์นี้ข้าสวมจนคุ้นชินมาก และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง”
อะโฉ่วพูดจบ จึงหมุนตัวออกไปแล้ว
หงเย่เห็นเหตุการณ์นี้ อารมณ์ดีมาก ปฏิเสธได้ดี
เขามองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน เดิมทีคิดว่าจะเห็นเขาสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขา กลับคิดไม่ถึงว่าจะสงบนิ่งมาก ราวกับว่าอยู่ในความคาดหมายล่วงหน้าแล้ว
“ดูท่า ใต้เท้าเหลิ่งอยากให้อะโฉ่วกลับเจียงเป่ย ทำได้เพียงให้ข้าออกโรงแล้ว!” ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจน ต้องการให้ข้าช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอะโฉ่ว ได้ เจ้าใต้เท้าเหลิ่งมาขอร้องข้า ขอร้องให้ข้าอารมณ์ดี ก็เป็นธรรมดาว่าจะสามารถพูดคุยกันได้
แต่จะรู้ที่ไหน เหลิ่งจิ้งเหยียนได้ยินคำพูดนี้แล้ว ใบหน้าอ่อนโยนลงมาทันที ดวงตาสีหมึกมองไปทางหงเย่ พร้อมความปลื้มอกปลื้มใจเล็กน้อย “อืม ในเมื่อจวิ้นอ๋องแบกรับไว้ทั้งหมด ข้าก็จะรอข่าวดีจากจวิ้นอ๋อง”
ในระหว่างที่หงเย่งงงัน เขาลุกขึ้นยืน พูดต่อประโยคหนึ่ง “จวิ้นอ๋องทุ่มเทลำบากเป็นธุระเพื่อเป่ยถังเพียงนี้ ข้าจะต้องบอกต่อให้พระชายารัชทายาทรู้เป็นแน่ ให้พระชายารัชทายาทจดจำความวิริยะอุตสาหะนี้ของท่าน”
หงเย่ชะงักไปทันที จิตใจบังเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เขาภูมิใจที่ตัวเองวางแผนการได้ล้ำเกินคน แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกจิ้งจอกเฒ่าคิดบัญชีอย่างแยบยล หากว่าอะโฉ่วเป็นหมอผีสวรรค์ เขาย่อมต้องการช่วยอะโฉ่วให้กลับสู่ฐานะเดิมเป็นธรรมดา และพานางกลับเจียงเป่ยเพื่อทวงคืนความยุติธรรม เขายิ่งจะพยายามอย่างเต็มที่ต่อหน้าพระชายารัชทายาทเพื่อให้ได้ระดับความรู้สึกที่ดีมา
เหลิ่งจิ้งเหยียนผู้นี้ ปกติดูแล้วเงียบไม่เอ่ยปาก แต่กลับคาดเดาจิตใจของคนได้แม่นยําเป็นที่สุด คํานวณอย่างแม่นยำแล้วว่าเขาจะต้องช่วยเหลืออย่างแน่นอน ก็ขี้เกียจจะเอ่ยแม้แต่คําพูดที่เกรงอกเกรงใจออกมาสักคำแล้ว