บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1189 ส่วนที่คำนวณออกมาได้
หยวนชิงหลิงตะลึงงันเล็กน้อย เมื่อคืนเพิ่งจะพูดถึงปัญหานี้กับเจ้าห้า วันนี้ตี๋กุ้ยเฟยก็เสนอออกมาแล้ว
เจ้าแปดเป็นลูกของภรรยาหลวง อีกทั้งตลอดชีวิตนี้ก็ไม่ได้มีอุบายแผนการในใจอะไร เลี้ยงดูเขา ก็เป็นเช่นเดียวกับการได้รับแต้มต่อในการแก่งแย่งความโปรดปรานและตำแหน่ง
ราวกับว่าตี๋กุ้ยเฟยมองออกถึงความกังวลของนาง จึงเอ่ยอย่างจริงใจว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าชอบองค์ชายแปดมาก ข้าจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีแน่นอน จะไม่ให้เขาได้รับความคับข้องใจแม้แต่น้อยเด็ดขาด”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ท่านหญิง เรื่องของน้องแปดข้าตัดสินใจไม่ได้เพคะ หากว่าท่านมีความตั้งใจเช่นนี้ ทำไมไม่ไปขอเสด็จพ่อล่ะเพคะ?”
ตี๋กุ้ยเฟยยิ้มเจื่อนๆ “ตอนนี้ต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทข้าไม่ได้มีคุณค่านานแล้ว ดังนั้นก็ขอให้พระชายารัชทายาทพูดจาเพราะๆแทนข้าสักสองสามคำ”
หยวนชิงหลิงไม่กล้าเชื่อโดยง่ายดาย และนางไม่มีอำนาจในการกำหนดว่าน้องแปดจะไปอยู่ในตำหนักของผู้ใดจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่
ดังนั้น นางจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ขออนุญาตกล่าวในภายหลังเถอะเพคะ หากว่าท่านหญิงมีใจจริง ในระยะนี้ดูแลน้องแปดให้มากขึ้นเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรเพคะ ความเห็นของเขาเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถึงเวลาฝ่าบาทจะถามความคิดเห็นของเขา หากว่าตัวเขาเองเต็มใจไปที่ตำหนักของท่าน ก็มีผลมากกว่าการที่ข้าพูดเป็นร้อยคำซะอีกเพคะ”
ตี๋กุ้ยเฟยคิดแล้วคิดอีก ก็รู้สึกว่านางพูดได้ถูกต้อง รอยยิ้มค่อยๆปริขึ้น “ขอบใจคำชี้แนะของพระชายารัชทายาทเป็นอย่างมาก”
หยวนชิงหลิงแอบยิ้มเจื่อนๆ นี่นางไม่ได้ชี้แนะจริงๆ เพียงแค่ไม่อยากกลุ้มใจกับเรื่องนี้
วันนี้โสวฝู่ฉู่ก็เข้าวังรอบหนึ่ง ไปเยี่ยมฮองเฮาด้วยตัวเอง พ่อลูกทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าจะพูดคุยอะไรกัน ไม่ว่าอย่างไรขณะที่โสวฝู่ฉู่จากไป ฮองเฮาก็ร้องไห้อยู่นานมาก
แต่ต่อจากนั้นสองวัน อาการของฮองเฮากลับดีขึ้น น้ำคั่งในท้องลดลง การดื่มกินก็ค่อยๆเป็นปกติขึ้น ฮ่องเต้หมิงหยวนยังเชิญท่านย่าหยวนเข้าวังมารอบหนึ่งเป็นการเฉพาะอีกด้วย ศึกษาวิธีการรักษาร่วมกันกับหมอหลวงเพื่อช่วยเหลือการรักษาของหยวนชิงหลิง
หลายวันต่อมา ฮองเฮาดีขึ้นมาก อาการบวมน้ำที่เท้าทั้งสองข้างหายไป และนางก็สามารถลงเดินบนพื้นได้แล้ว
ตี๋กุ้ยเฟยอยู่เป็นเพื่อนข้างกายนางทุกวัน เห็นนางหายดีขึ้นมา ก็ทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ แต่เห็นได้ว่าฮองเฮาก็มองความคิดของนางออก จึงให้มาให้มากๆหน่อยเวลาว่าง อยู่เป็นเพื่อนกันก็ดี
เดิมทีกุ้ยเฟยและฮองเฮาก็เป็นผู้หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในพระราชวัง โดยผิวเผินทั้งสองคนก็ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน แต่ท้ายที่สุดในใจก็มีความบาดหมางต่อกัน ตอนนี้ หลังจากที่เผชิญกับเรื่องราวมากมาย กลับทำให้พวกนางคิดถึงขณะที่เพิ่งจะเข้าวังได้ ตอนนั้น ไม่ได้มีความคิดมากมายเช่นนี้ อย่างมากก็แค่โต้แย้งหึงหวง แต่ก็มีเวลาที่สังเกตการณ์และช่วยเหลือกัน เพียงแต่หลังจากนั้นฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์แล้ว เด็กๆก็ค่อยๆเติบโต มีการมองอนาคต และมีความทะเยอทะยาน
ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งมกุฎราชกุมารหรืออำนาจในวังหลัง ล้วนไม่สามารถตกอยู่ในมือของพวกนางทั้งสองคนได้แล้ว คิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก็แทบจะไม่มีอะไรที่น่าจะแก่งแย่งกันแล้วเป็นพี่น้องกันด้วยความสุขสงบยังจะดีซะกว่า ความสัมพันธ์หลายปีมานี้ก็ไม่เสียแรงเปล่าด้วย
มีความคิดเช่นนี้ พี่น้องที่มีอายุสองท่านนี้ก็ยังจะหลอมรวมกันขึ้นมาได้จริงๆ อาการป่วยของฮองเฮาก็เริ่มดีขึ้นทุกวัน
หลังจากที่หยวนชิงหลิงลดยาแล้ว ฮองเฮาจึงใช้ใบสั่งยาของท่านย่าหยวนและหมอหลวง หยวนชิงหลิงคิดว่ายาจีนก็บำรุงรักษาร่างกายได้เป็นอย่างดี ยาของตัวเองใช้เป็นตัวเสริมเท่านั้น
การทดลองที่ทะเลสาบจิ้งก็อยู่ในการเร่งดำเนินการ วางสิ่งของลงไปในกระแสน้ำวนในช่วงเวลาที่ต่างกัน สิ่งของทั้งหมดล้วนทำเครื่องหมายอย่างดี แต่การทดลองผ่านไปครึ่งเดือน พบว่าสิ่งของที่วางลงไปในทะเลสาบจิ้งในช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง พี่ชายสามารถรับได้
และทางพี่ชายได้ส่งรายงานแสดงวิธีการคำนวณกลับมาฉบับหนึ่ง รายงานการคำนวณฉบับนี้บรรจุไว้ในกล่องกันน้ำ ขณะที่ลอยกลับมา กลับถูกกระแสน้ำวนลูกอื่นกลืนหายไปอย่างฉับพลันทันที นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะว่าการทดลองครั้งก่อน สิ่งของที่ทางยุคปัจจุบันส่งมาไม่เคยถูกกลืนหายไป
พูดอีกนัยหนึ่งคือ สำเร็จครึ่งหนึ่ง และล้มเหลวครึ่งหนึ่ง
เพราะว่า ไปสามารถไปได้ แต่กลับที่จะกลับมาไม่ได้เช่นนั้นก็ไม่ได้ อีกทั้ง หลังจากที่กลืนหายไปแล้วนี้ไปที่ไหน นางก็ไม่มีปัญญาคำนวณออกมาได้
และแม้ว่าจะไป ก็มีความยาก เพราะว่าวางวัตถุลงในใจกลางของกระแสน้ำวน ทำได้แม่นยำมาก คนกระโดดลงไป กลับไม่สามารถทำได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยวนชิงหลิงไม่เข้าใจวิทยายุทธ จะสามารถรับประกันว่าจะตกลงในกระแสน้ำวนนั่นได้อย่างไร?
ทั้งหมด แทบจะต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง
แต่โชคดีที่มีเค้าลางบ้างแล้ว หยวนชิงหลิงไม่ยอมแพ้ ศึกษาค้นคว้าต่อไป ทดลองตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงวันที่สามสิบ ตั้งแต่จันทร์เสี้ยวจนคืนพระจันทร์เต็มดวง ดำเนินการทดสอบรอบใหม่
วันนี้พระจันทร์เต็มดวง ยุคปัจจุบันทางนั้นปล่อยสิ่งของเข้ามา ผ่านกระแสน้ำวน แต่ไม่ได้ถูกกระแสน้ำวนพัดพาไป ค่อยๆถูกพัดไปถึงข้างทะเลสาบ องครักษ์ลับผีที่รับผิดชอบการทดสอบปล่อยรูปปั้นคนไปที่กระแสน้ำวนที่กลืนกล่องไปก่อนหน้านี้ รูปปั้นคนนั่นไม่ได้ถูกกระแสน้ำวนดูดไป กลับลอยอยู่บนผิวน้ำ เป็นเวลาราวๆสิบนาที กระแสน้ำวนถึงได้หมุนพารูปปั้นคนจากไป
ต่อจากนั้นในตอนกลางวันได้ปล่อยสิ่งของไปแล้วมากมาย ล้วนถูกหมุนพาไป จนกระทั่งคืนที่สิบหก ขณะที่ดวงจันทร์ออกมา สิ่งของที่ปล่อยไปทั้งหมด ล้วนไม่ได้ถูกพัดพาไปในทันที ต้องรอประมาณสิบนาทีจึงจะถูกม้วนพาไป เหมือนดั่งเมื่อคืนเช่นนั้น
องครักษ์ลับผีหยิบกล่องแล้วควบม้ากลับเมืองหลวง รายงานสถานการณ์นี้
หยวนชิงหลิงจดบันทึกไว้ ว่าพูดได้ว่า ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ประตูแห่งมิติเวลาของทะเลสาบจิ้งเป็นทิศทางเดียวประมาณสองสามนาที สามารถเข้าไปได้ไม่สามารถส่งออกไปได้ หากคนกลับมาจากทางนั้น เพียงแค่คุมเวลาให้ดี ก็จะสามารถออกจากทะเลสาบจิ้งได้ จะไม่ถูกพัดพาไป
แต่เวลานี้จะควบคุมได้อย่างไร? ค่อนข้างยาก เพราะเวลาที่ได้รับของในคืนที่สิบห้าสิบหกสองคืนนี้ล้วนแตกต่างกัน และเวลาที่พี่ชายทางนั้นปล่อยของมาก็ต่างกัน ต้องการความแม่นยำ ยังคงค่อนข้างลำบาก
ต่อเนื่องกันหลายคืน หยวนชิงหลิงล้วนกำลังจําลองทะเลสาบจิ้งตามรายงานของพี่ชายที่ได้เรียนรู้และส่งมาในทะเลสาบจิ้งในครั้งแรก ที่สอดคล้องกับฤดูกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงมาทำวิธีการคำนวณทีละครั้งทีละครั้ง
คำนวณอยู่ในห้องหนังสือถึงตีหนึ่งถึงตีสามทุกๆวัน หยู่เหวินเห้านอนจนตื่นขึ้นมาแล้ว นางก็ยังไม่ยอมกลับมานอน ต่อเนื่องกันสองสามวัน หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกเคืองขึ้นมาเล็กน้อย ลุกขึ้นมาลากนางจากไปกลางดึก “นี่เจ้าแทบจะเหมือนถูกปีศาจร้ายสิงแล้ว พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะรีบร้อนต้องการจะกลับเร็วๆนี้ มีเวลาให้เจ้าค่อยๆคํานวณ วิธีอดหลับอกนอนเช่นนี้ อดจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
หยวนชิงหลิงหาวนอน ซบบนหลังของเขา “ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว ท่านแบกข้ากลับห้อง”
หยู่เหวินเห้าช้อนอุ้มนางขึ้นมาทันที จูบอย่างรุนแรงเล็กน้อย “แทบอยากจะต่อยเจ้าสักรอบจริงๆ รู้ว่าง่วงยังไม่กลับห้องไปนอนอีก”
หยวนชิงหลิงพิงที่ทรวงอกของเขายิ้มแล้วกล่าว “นี่ไม่ใช่เพราะข้ากำลังรีบคำนวณออกมาหรือ? แบบนั้นอนาคตเจ้ายั่วให้ข้าโมโหแล้ว ข้าก็สามารถกลับบ้านของข้าได้แล้ว”
“เช่นนั้นข้าก็รู้ว่าจะไล่ตามเจ้าไปอย่างไรนี่” หยู่เหวินเห้าก็หัวเราะแล้ว “ระยะนี้เจ้ามักจะพูดฉอดๆอยู่คนเดียว บอกว่ากระโดดไปในกระแสน้ำวนช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งก็จะสามารถไปถึง ใช่หรือไม่?”
“ท่านอย่าไม่กระโดดมั่วซั่วเชียวนะ กระแสน้ำวนที่อยู่ตรงกลางอันนี้เคยทำสำเร็จมาก่อน แต่ไม่ใช่ว่าทุกวันจะเป็นกระแสน้ำวนอันนี้ และจะต้องคุมเวลาให้ดีมากๆ อาจจะไม่ใช่เวลาเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง เป็นเวลาเที่ยงถึงตีหนึ่งไม่แน่ก็อาจจะไม่ใช่กระแสน้ำวนอันนั้น” หยวนชิงหลิงหาวนอน ก็ยังคงเหนื่อยเป็นอย่างมากจริงๆ ระยะนี้ยิ่งอดนอนไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“หากว่าข้าจะไป จะต้องพาเจ้าไปด้วยเป็นแน่ ตัวเจ้าเองคนเดียวยังกระโดดไม่พ้นกระแสน้ำวนนั่นเลยนะ” หยู่เหวินเห้าอุ้มนางกลับห้อง วางไปบนเตียง ตัวเองก็ทับลงไป “ข้าจะไม่ให้เจ้ามีโอกาสร้องไห้กลับไปบ้านแม่ของเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าไม่ต้องร้องไห้ไปหาเจ้าหรอกหรือ?”
หยวนชิงหลิงคล้องคอของเขา ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “รอจนข้าคำนวณออกมาแล้ว พวกเราพาลูกทั้งห้าไปด้วยกัน เหมือนกบเช่นนั้นกระโดดลงไปในทะเลสาบ ขึ้นสองค่ำเดือนหนึ่ง กลับบ้านแม่ยาย”