บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1199 องค์หญิงฮุ่ยผิง
การทำเช่นนี้ ย่อมต้องสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนในเมืองหลวง แต่ว่า โรงหมอก็มีคำอธิบาย บอกว่าตอนนี้รัชทายาทจะเพิ่มโรงหมอหุ้ยหมิงในการตรวจรักษาให้มากขึ้น ควบคุมยาสมุนไพร ทำให้ร้านยามียาบางส่วนไม่เพียงพอ ผลักภาระนี้ไปให้ราชสำนักและรัชทายาท
หากมองการณ์ไกล นี่ล้วนเป็นมาตรการที่มีผลดีต่อประชาชน แต่ว่า ประชาชนที่ป่วยตอนนี้ไม่สามารถไปตรวจรักษาได้ ย่อมต้องโวยวายขึ้นมา
เดิมทีตลาดการรักษาโรคนั้นมั่นคงมาก แม้จะแพง แต่ก็มีคนที่มีปัญญามาหาหมอได้ คนที่เข้ามาในโรงหมอ ส่วนมากไม่ใช่ประชาชนชั้นรากหญ้า ฉะนั้นคนเหล่านี้ไม่สนใจว่าจะเปิดโรงหมอหุ้ยหมิงเพิ่มหรือไม่ เพราะว่าแม้ราคาการตรวจรักษาของโรงหมอหุ้ยหมิงจะถูก แต่ตามความเข้าใจตลอดเวลาที่ผ่านมา หมอฝีมือดีล้วนออกไปเปิดโรงหมอเอง มีเพียงหมอที่ฝีมือไม่ดีที่ยังคงอยู่ต่อในโรงหมอหุ้ยหมิง ฉะนั้น ขอเพียงเป็นคนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงิน ล้วนไม่มีใครไปต่อแถวหาหมอที่โรงหมอหุ้ยหมิง
แน่นอนว่า ชนชั้นที่มีอภิสิทธิ์จริงๆก็ไม่มีทางโวยวาย เพราะว่า พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมีอิทธิพลที่แน่นอน โรงหมอจำกัดการตรวจรักษาแค่วันละห้าสิบคน สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยทั้งสิ้น ขอเพียงพวกเขาให้คนไปเชิญหมอ ย่อมต้องสามารถเชิญหมอมาถึงบ้านได้อย่างแน่นอน
คนที่โวยวาย จึงเป็นประชาชนที่อยู่ในระดับกลาง
แต่ที่จริงอภิสิทธิ์ชนบางส่วน ก็ไม่พอใจรัชทายาท ทังหยางบอกหยวนชิงหลิง โรงหมอหลายร้านในเมืองหลวงเป็นขององค์หญิงฮุ่ยผิง องค์หญิงฮุ่ยผิงยังเคยด่าว่าใหญ่โตในจวน บอกว่าที่รัชทายาทควรทำแต่ไม่ทำ ที่ไม่ควรทำกลับทำอย่างเอาแต่ใจ
องค์หญิงฮุ่ยผิงเป็นลูกสาวของซู่ไท่เฟยที่เสียชีวิตไปแล้ว ได้แต่งงานกับลูกชายของหัวหน้าโรงหมอหลวงคนก่อน เดิมทีลูกเขยของราชวงศ์คนนี้ก็มีความคิดจะเข้ามาทำงานในโรงหมอหลวง แต่หลังจากที่เป็นเขยของราชวงศ์แล้ว ไม่สามารถรับตำแหน่งหมอหลวงในวังได้ เคยไปเป็นหมอในโรงหมอหุ้ยหมิง สุดท้ายองค์หญิงจึงจัดตั้งโรงหมอหลายแห่งขึ้นมาให้เขาควบคุมดูแล
ตั้งแต่ซู่ไท่เฟยตายจากไปแล้ว หลายปีมานี้องค์หญิงฮุ่ยผิงก็ไม่ได้รับความชื่นชอบจากไท่ซ่างหวง ไท่ซ่างหวงเคยบอกว่า ฮุ่ยผิงเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไป เอาแต่ใจ ประชาชนไม่สนับสนุน
แต่ถ้าไม่ได้ทำเกินไปจริงๆ ปกติแล้วไท่ซ่างหวงจะไม่พูด ลูกหลานย่อมมีบุญวาสนาของลูกหลานเอง
ที่จริงหยู่เหวินเห้ากับองค์หญิงฮุ่ยผิงก็เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ก่อนหน้านี้สองปี องค์หญิงฮุ่ยผิงอยากจะให้ลูกชายของตัวเองไปฝึกงานที่กรมการพระนคร จึงไปหาหยู่เหวินเห้า แต่หยู่เหวินเห้าแนะนำว่าให้ไปรับตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้อยนอกเมือง ไปฝึกฝนก่อนค่อยกลับเมืองหลวง
องค์หญิงฮุ่ยผิงไหนเลยจะยินดีให้ลูกชายของตัวเองไปจากเมืองหลวง จึงคิดว่าหยู่เหวินเห้าไม่คิดถึงความเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเลย ในใจเกิดความโมโห ตอนนั้นนางยังเคยพูดให้ไทเฮาองค์ก่อนฟัง แต่ไทเฮารักหลานชาย ย่อมต้องช่วยหยู่เหวินเห้า ยังตำหนิองค์หญิงฮุ่ยผิงด้วย แม้ว่าองค์หญิงฮุ่ยผิงจะไม่กล้าพูดอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจก็มีความแค้นอยู่
หลังจากที่ทังหยางเล่าให้หยวนชิงหลิงฟังแล้ว ผ่านไปสองวัน องค์หญิงฮุ่ยผิงก็มาเยือนถึงจวนด้วยตนเอง
น้อยมากที่หยวนชิงหลิงจะได้พบปะกับองค์หญิงฮุ่ยผิงคนนี้ องค์หญิงที่แต่งงานออกไป บวกกับมารดาของนางก็ไม่อยู่แล้ว นางเองก็ไม่ค่อยเข้าวัง ในงานเลี้ยงครบรอบหนึ่งขวบของเหล่าเด็กๆกับเจ้าแฝด เคยเห็นสองสามครั้ง และองค์หญิงฮุ่ยผิงก็ชอบจัดงานเลี้ยงขึ้นในจวนของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยเชิญชวนหยวนชิงหลิงให้ไปร่วมงาน
“องค์หญิงมาเยือนด้วยตนเอง ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ”หยวนชิงหลิงไปถึงห้องโถงใหญ่ ก็เห็นองค์หญิงฮุ่ยผิงที่สวมชุดเสื้อคลุมสีแดงทั้งตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว ดวงตาหรี่ยาว คิ้วถูกวาดอย่างค่อนข้างดุดัน หางคิ้วตวัดขึ้น ยิ่งทำให้ดูเย็นชาและหยิ่งผยอง
ด้านหลังของนางมีสาวรับใช้ยืนอยู่สองคน ยืนสองมือห้อยลงอย่างเคารพ
องค์หญิงฮุ่ยผิงเห็นหยวนชิงหลิงแค่คำนับธรรมดา ก็พูดเสียงเรียบว่า “นั่งลงเถอะ”
หยวนชิงหลิงฟังน้ำเสียงไม่พอใจในคำพูดออก ยิ้มบางๆ เดินเข้าไปนั่งลง
ฉี่หลอยกน้ำชาเข้ามา “เชิญองค์หญิงดื่มน้ำชา”
องค์หญิงฮุ่ยผิงยกน้ำชาขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ถึงกับโยนแก้วชาไปบนร่างของฉี่หลอ น้ำชาที่ร้อนระอุสาดกระจายออกมา ฉี่หลอตกใจจนนิ่งอึ้งไปทันที และไม่สนใจว่ามือของตนจะเจ็บ รีบคุกเข่าลง “องค์หญิงโปรดอภัย”
องค์หญิงฮุ่ยผิงตำหนิ “เจ้าบังอาจนัก เห็นข้าแล้ว กลับไม่คุกเข่า อาศัยว่าเจ้าเป็นคนของจวนอ๋องฉู่ จึงกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ”
“ข้าน้อย ข้าน้อยไม่กล้า ”ฉี่หลอติดตามหยู่เหวินเห้ามาหลายปี และเป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ในจวนอ๋องฉู่ ติดตามพระชายารัชทายาทออกไปข้างนอก ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องไว้หน้านางอยู่หลายส่วน ไหนเลยจะเคยถูกปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ทั้งน้อยใจทั้งหวาดกลัว ด้วยจิตใต้สำนึกจึงหันกลับไปขอความช่วยเหลือจากพระชายารัชทายาท
พอหันหน้าไป องค์หญิงฮุ่ยผิงกลับมีคำสั่งทันที “เด็กๆ ตบปากนาง”
สาวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางก้าวออกมา ทั้งสองคนเงื้อมือขึ้นมายื่นไปทางฉี่หลอพร้อมกัน จะตบปากของเธอให้ได้
“ช้าก่อน ”หยวนชิงหลิงร้องขึ้นหนึ่งเสียง มององค์หญิงฮุ่ยผิง สายตาเยือกเย็น ฮุ่ยผิง“ตั้งแต่ไหนแต่ไรจวนอ๋องฉู่ของข้าไม่เคยพิธีรีตองใหญ่โตอะไร และไม่รู้ว่าองค์หญิงจะพิถีพิถันเช่นนี้ เพียงแต่ไมว่านางจะทำผิดใหญ่โตแค่ไหน ก็เป็นคนของจวนอ๋องฉู่ ไม่จำเป็นต้องให้องค์หญิงลงมือสั่งสอน”
คำพูดขององค์หญิงฮุ่ยผิง ไม่ได้ต้องการจะหาเรื่องฉี่หลอ แต่เป็นนางต่างหาก ฉี่หลอต้องมารับเคราะห์อย่างไร้ความผิด ดูมือทั้งคู่ของนางที่ถูกลวกจนแดงไปหมดแล้ว หยวนชิงหลิงรู้สึกโมโหในใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเอ่ยกับฉี่หลอว่า “เจ้าออกไปเถอะ ให้แม่นมฉียกน้ำชามาให้องค์หญิง”
ฉี่หลอกลั้นน้ำตาเอาไว้ ยืนขึ้นย่อตัวคำนับแล้วออกไป
องค์หญิงฮุ่ยผิงเลิกคิ้วขึ้นมา เผยให้เห็นถึงความดุดันหยาบกระด้าง ทำเสียงฮึ “คนที่รู้ คงจะบอกว่าพระชายารัชทายาทเห็นใจบ่าวรับใช้ คนที่ไม่รู้ คงจะบอกว่าจวนอ๋องฉู่ไร้กฎระเบียบ ข้าเองก็หวังดีกับเจ้า เกรงว่าเจ้าจะถูกคนอื่นดูถูกเอาได้”
ใบหน้าของหยวนชิงหลิงมีสีหน้าไม่ค่อยจะยินดีนัก “ขอบคุณในความหวังดีขององค์หญิง ที่องค์หญิงมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือไม่ ”
องค์หญิงฮุ่ยผิงหัวเราะเสียงเย็น “พระชายารัชทายาทจะรีบร้อนทำไม ข้าเพิ่งจะนั่งลง จะไม่ให้ข้าดื่มชาสักคำก่อนค่อยพูดจากันเลยหรือ”
หยวนชิงหลิงไม่ค่อยอยากจะอดทนกับนางเท่าไหร่แล้ว แต่วันนี้ทังหยางได้พูดถึงเรื่องโรงหมอแล้ว หยวนชิงหลิงจึงอยากจะฟังเจตนาที่นางมาวันนี้
หลังจากฉี่หลอออกไปแล้ว มองดูสองมือของตนเองที่ถูกน้ำชาร้อนๆลวกจนแดงไปหมด ยังเกือบจะถูกตบหน้าด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
อะซี่ผ่านมาพอดี เห็นฉี่หลอกำลังร้องไห้อยู่ข้างใน อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ”
ฉี่หลอย่อตัวคำนับ พูดถึงสาเหตุ อะซี่เป็นคนนิสัยใจร้อน หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาทันที “น่าเกรงขามเสียจริง”
เห็นแม่นมสี่กำลังจัดน้ำชา ก็พูดว่า “ข้าไปส่งเอง”
แม่นมฉีพูดว่า “นี่ไม่ดีกระมัง แม่นางสี่ ท่านเป็นเจ้านาย ไหนเลยจะสามารถทำงานยกน้ำชาได้”
“ในเมื่อนางหาเรื่องฉี่หลอ เช่นนั้นก็ต้องหาเรื่องเจ้าแน่ ข้าไปเอง”อะซี่ยกถาดน้ำชาขึ้นและเดินออกไปทันที
เข้าไปยังโถงใหญ่ อะซี่ยืดท้องโตเดินเข้าไป ส่งน้ำชาไปตรงหน้าขององค์หญิงฮุ่ยผิง ท่าทีค่อนข้างหยาบกระด้าง หลังจากแก้วชาถูกวางลงไปแล้ว ยังมีน้ำชาหกออกมาอีกหลายหยด “องค์หญิงเชิญดื่มชา”
องค์หญิงฮุ่ยผิงมองอะซี่ด้วยสายตาเย็นชา นางรู้จักอะซี่ เป็นคนของตระกูลหยวน นางมองอะซี่ด้วยสายตาเยือกเย็น “เป็นถึงคุณหนูของตระกูลหยวน มาเป็นบ่าวรับใช้อยู่ที่จวนอ๋องฉู่ ฮูหยินติ้งกั๋วคงเลอะเลือนไปแล้วกระมัง ถึงกับทรมานคนของตนเองเพื่อเอาใจรัชทายาทถึงเพียงนี้ หรือว่า ในจวนอ๋องฉู่นี้แม้แต่บ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติก็ไม่มีแล้ว”
อะซี่ปากเร็ว ตอบกลับไปทันทีว่า “ในจวนอ๋องฉู่มีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติอยู่มากมาย แต่ปรนนิบัติองค์หญิงที่ยิ่งใหญ่ราวกับโพธิสัตว์ไม่ไหว ถ้าหากข้าไม่มาเอง เกรงว่าน้ำชาถ้วยนี้ก็คงต้องถูกสาดไปบนร่างของคนอื่น ทำไมต้องสิ้นเปลืองถ้วยชาที่ดีขนาดนี้ด้วยเล่า ส่วนเรื่องที่ท่านย่าของข้าจะเลอะเลือนไปแล้วหรือไม่ ถ้าไม่ติดอะไรองค์หญิงลองไปถามนางดูก็ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดองค์หญิงควรจะระวังไว้บ้างหากนางเลอะเลือนขึ้นมาจริงๆ จำองค์หญิงไม่ได้ ไม้เท้าหัวมังกรตีลงมา องค์หญิงก็คงได้แต่ทนรับไว้ เพราะเป็นคนแก่เลอะเลือน องค์หญิงจะถือสาเอาความกับคนเลอะเลือนหรือ”