บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1202 เรื่องที่ค่อนข้างรู้สึกเสียใจ
ภายใต้การดูแลด้วยตัวเองจากฮูหยินใหญ่ หลังจากฝังเข็มไปเจ็ดวัน โรคกระดูกต้นคอของช่างปักได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจริงๆ องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วก็ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้ ยังได้ป่าวประกาศต่อภายนอก จะทดลองฝีมือของเหล่าท่านหมอที่เพิ่งจบใหม่เหล่านี้ รักษาโรคปวดศีรษะ
การทำเช่นนี้นำมาซึ่งคนผู้คนที่สนใจมามุงดูมากมาย ต่างก็บอกว่าองค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกใช้ท่านหมอเหล่านี้มารักษา ในวังหลวงก็มีหมอหลวงนี่นา
โรคปวดศีรษะเป็นโรคเรื้อรัง และจะกำเริบที่บริเวณศีรษะ ถ้าหากทำการรักษาได้ไม่ถูกต้อง อายุนางปูนนี้แล้ว จะอันตรายถึงชีวิตได้
สมาชิกหญิงในราชวงศ์และบรรดาภรรยาขุนนางใหญ่ต่างก็มาเกลี้ยกล่อมขอร้อง พอรู้ว่าเป็นความคิดเห็นของหยวนชิงหลิง ต่างก็ตำหนิกันลับหลัง
ไม่ว่าคนนอกจะพูดอย่างไร วันนี้องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วก็มายังสถานที่ตรวจรักษาของฮูหยินใหญ่ หลังจากที่ตรวจชีพจรแล้ว ก็ได้จัดเตรียมเรื่องการฝังเข็ม
สมาชิกหญิงในราชวงศ์ที่มาเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่ ต่างก็เป็นห่วงมาก ได้ถามคำถามกับท่านหมอที่จะทำการฝังเข็มมากพอสมควร กระทั่งคิดอยากจะขัดขวางการฝังเข็มด้วยซ้ำ
องค์หญิงใหญ่โมโหขึ้นมาแล้ว สั่งการลงไปว่า“ออกไปให้หมด ไปรออยู่ข้างนอกก็พอ ใครก็อย่าเข้ามารบกวนเด็ดขาด ”
“เสด็จแม่……”สะใภ้ขององค์ชายใหญ่นางชุยเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “อย่างไรเสียก็ควรระมัดระวังเอาไว้ดีที่สุด ถ้าหากต้องการใช้การฝังเข็ม หมอหลวงก็มีความรู้ ไม่สู้เรียกหมอหลวงมาช่วยรักษาที่จวน”
“ทำไมจึงได้พูดมากเช่นนี้ บอกให้พวกเจ้าออกไปให้หมด ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร”องค์หญิงเจิ่นกั๋วเอ่ยอย่างโมโห
หยวนชิงหลิงเดินเข้ามาพูดว่า “ฮูหยินทั้งหลาย ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านหมอเหล่านี้แม้จะไม่ได้ทำการรักษากับบุคคลภายนอก แต่ช่ำชองวิชาการฝังเข็มเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่อยู่ในโรงเรียน ได้ทำการฝึกฝนอยู่ทุกวัน ไม่มีปัญหาอะไรแน่ โปรดวางใจเถอะ”
นางชุยนั้นรู้สึกไม่พอใจต่อหยวนชิงหลิงเป็นอย่างยิ่ง “พูดน่ะพูดได้ แต่ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ พระชายารัชทายาทเชื่อใจพวกเขาถึงเพียงนี้ ทำไมไม่ทดลองด้วยตนเองเล่า ”
“ข้ารับผิดชอบเอง ”องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วเอ่ยอย่างโมโห ยกมือขึ้นเป็นการส่งสัญญาณ ให้บ่าวรับใช้หญิงชราไล่พวกนางออกไปให้หมด
เมื่อไร้หนทางอื่น ทุกคนต่างก็ได้แต่รออยู่ข้างนอก ข้างนอกยังมีประชาชนทั่วไปรวมตัวอยู่บางส่วน อยากจะเห็นว่าท่านหมอเหล่านี้มีฝีมือทางด้านการฝังเข็มยอดเยี่ยมจริงหรือไม่
องค์หญิงเจิ่นกั๋วนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วก็มีท่านหมอคนหนึ่งเดินเข้าไปนวดที่เส้นประสาทบนใบหน้า นวดอยู่ชั่วครู่ จึงพูดว่า “องค์หญิงใหญ่ เริ่มการฝังเข็มแล้ว ท่านโปรดเอนร่างมาพิงข้างหลัง อย่าเคลื่อนไหวชั่วคราว”
องค์หญิงใหญ่ค่อยๆเอนร่างไปพิงกับพนักเก้าอี้ด้านหลัง สองมือจับที่เท้าแขนเอาไว้ ดูออกว่า นางยังคงมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปกุมมือของนางเอาไว้ พูดว่า “องค์หญิงใหญ่อย่ากลัวเพคะ ทำตัวตามสบายเหมือนการฝังเข็มที่ผ่านมา”
“ข้ารู้แล้ว”องค์หญิงใหญ่พูด ค่อยๆหลับตาลง รอเวลาที่เข็มเงินจะทิ่มลงมาบนหนังศีรษะ
รออยู่ชั่วครู่ กลับยังไม่รู้สึกอะไร แต่มือคู่นั้นยังคงนวดอยู่ที่จุดฝังเข็มบนศีรษะ สายตาของนางก็มีแววขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมจึงยังไม่เริ่ม ”
อย่างไรเสียก็เป็นมือใหม่ เกรงว่าต้องกำหนดจุดฝังเข็มให้แน่ใจก่อน แต่ความลังเลไม่ตัดแน่ใจเช่นนี้ คนภายนอกเห็นแล้ว จะไม่ยิ่งรู้สึกว่าฝีมือของพวกเขาไม่ดีหรือ
หยวนชิงหลิงยิ้มบางๆ “องค์หญิงใหญ่ ได้ทำการฝังเข็มแล้ว”
องค์หญิงใหญ่นิ่งอึ้ง “ฝังเข็มแล้วหรือ”
ข้ารับใช้หญิงชราที่อยู่ข้างๆพูดยิ้มๆว่า “เมื่อครู่ตอนที่ท่านคุยกับพระชายารัชทายาท ท่านหมอได้ทำการฝังเข็มแล้ว ท่านไม่รู้สึกหรือ”
ขณะนี้เององค์หญิงใหญ่รู้สึกว่าเส้นเลือดบนศีรษะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ หนังศีรษะรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง ตอนที่ทำการฝังเข็ม ก็มีความรู้สึกเช่นนี้ นางยิ้มบางๆ มองหยวนชิงหลิงและพูดว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ ปกติข้าไม่ชอบฝังเข็ม โดยเฉพาะตอนที่ปลายเข็มทิ่มลงมา ค่อนข้างเจ็บ ”
“พวกเขาใช้เข็มเล่มเล็ก ฉะนั้นจึงเกิดความรู้สึกเจ็บไม่ชัดเจนนัก ”หยวนชิงหลิงเหลือบมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง มีหลายสิบคนชะเง้อหน้ามอง ในนั้นมีหลายคน ที่มีท่าทีลับๆล่อๆ คิดว่าคงเป็นคนที่โรงหมอแห่งอื่นส่งมา เป็นไปได้สูงว่าองค์หญิงฮุ่ยผิงเป็นคนส่งมา
หยวนชิงหลิงเก็บสายตากลับมาอย่างเงียบๆ องค์หญิงฮุ่ยผิงผู้โง่เขลากระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข เกรงว่าต่อไปคงจะหาเรื่องอีกตามเคย
หลังจากการฝังเข็มวันแรกแล้ว องค์หญิงใหญ่บอกว่าอาการบรรเทาลงบ้างแล้ว เฝ้ารอการฝังเข็มวันที่สอง
หลังจากองค์หญิงใหญ่จากไปแล้ว นักเรียนแพทย์เหล่านั้นเดินออกมา ยังคงรักษากฎระเบียบเหมือนเดิม ให้ประชาชนทั่วไปมาทำการตรวจรักษาโรค
สีหน้าไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีแววแห่งความอวดดี
หลังจากหยวนชิงหลิงพูดคุยกับคุณย่าไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ออกไป
ช่วงนี้เจ้าห้ากำลังยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น พาคนไปลาดตระเวนตรวจตราคลังอาวุธ พบว่ามีอาวุธมากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ จึงได้วาดรูปกลับมาให้หยวนชิงหลิงดู
หลังจากหยวนชิงหลิงดูแล้ว ที่แท้ก็เป็นอาวุธที่ทำจากดินปืน รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “คิดไม่ถึงเลย เมื่อก่อนก็มีการใช้ดินปืนแล้วหรือ”
“ไม่มีกระมัง”หยู่เหวินเห้าเป็นผู้บัญชาการทหาร เรื่องหลายสิบปีก่อนเขาไม่รู้ แต่ว่า ในช่วงเวลาสิบปีมานี้ ไม่มีการใช้ดินปืน
“แต่ท่านดูปืนมือนี่สิ ยังมีระเบิดมือ ล้วนเป็นอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แน่นอนว่า ถ้าเทียบกับรถรบที่แคว้นต้าโจวสร้างขึ้นมา ยังไม่สามารถเปรียบได้ รถรบของแคว้นต้าโจว สามารถพกพาอาวุธที่ทำจากดินปืนได้ ”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าแอบรู้สึกประหลาดใจ “ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในห้องใต้ดินของคลังเก็บอาวุธ หลายปีมานี้ได้แต่กองเอาไว้ตรงนั้น มีดินปืนอยู่บ้างก็จริง แต่ว่าได้รับความชื้น ไม่สามารถใช้ได้แล้ว”
“เอาอย่างนี้ท่านลองไปถามเซียวเหยากงหรือไม่ก็โสวฝู่ฉู่ดู เมื่อก่อนเคยใช้ดินปืนในการสร้างอาวุธใช่หรือไม่”หยวนชิงหลิงพูด
“ถ้าหากใช่ละก็ เช่นนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องพึ่งแคว้นต้าโจว เพราะว่าระยะทางห่างไกล การขนส่งตลอดทางก็ไม่สะดวกนัก ”แม้ว่าตอนนี้แคว้นต้าโจวกับเป่ยถังจะเป็นพันธมิตรต่อกัน แต่ระหว่างแคว้น ไม่มีความสงบสุขที่เป็นนิรันดร์ ไม่ว่าอย่างไรเป่ยถังก็ต้องพัฒนากำลังทางการทหารของตนเอง และนี่ก็เป็นเรื่องที่หยู่เหวินเห้าคิดอยากจะทำอยู่ตลอดมา
ไม่ใช่เขาไม่เชื่อใจจิ้งถิง แต่จิ้งถึงไม่สามารถเป็นตัวแทนทั้งหมดของต้าโจวได้ ถึงแม้จะทำได้ เขากับจิ้งถิงก็มีวันที่ต้องตายจากไป พันธมิตรในวันนี้ ภายหน้าจะกลายเป็นศัตรูหรือไม่ ยากที่จะพูดได้
แม้จะเป็นเพื่อนกัน ก็ควรจะมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงเท่ากัน
หยู่เหวินเห้าไม่เสียเวลา เข้าวังไปถามผู้อาวุโสทั้งสามทันที ถามถึงเรื่องอาวุธในคลังอาวุธของกรมทหารเหล่านั้น
ไท่ซ่างหวงมองแผ่นภาพที่เขานำมาด้วย หัวเราะขึ้นมาเบาๆครู่หนึ่ง “เหล่านี้ ล้วนเป็นการศึกษาค้นคว้าของสองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอัน เคยใช้ในสนามรบแค่ครั้งเดียว ภายหลังฮ่องเต้ฮุยจงมีรับสั่ง ไม่ให้ใช้อาวุธเหล่านี้อีก ทำลายไปเป็นส่วนใหญ่ คิดไม่ถึงว่าในคลังอาวุธยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง”
หยู่เหวินเห้าตกตะลึง “ทำไม”
ไท่ซ่างหวงพูดว่า “ฮ่องเต้ฮุยจงเป็นผู้มีเมตตาสูงส่ง รู้สึกว่าอาวุธเหล่านี้ทำลายล้างสูง เป็นอาชญากรรมที่บาปหนัก สวรรค์จะลงโทษเป่ยถังเราได้ ฉะนั้นจึงมีราชโองการ ให้ทำลายอาวุธเหล่านี้”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ในใจรู้สึกเสียใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ถ้าหากเป่ยถังยังคงพัฒนาอาวุธเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ ไหนเลยจะมีเหตุการณ์ที่ถูกเหยียดหยามก่อนหน้านี้
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า จะไปได้ไกลเกินกว่าการศึกษารถรบของแคว้นต้าโจว
เมื่อคิดได้ว่าเดิมทีเป่ยถังสามารถมีกองกำลังติดอาวุธที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ได้ แต่ตอนนี้กลับต้องมาพึ่งพาแคว้นต้าโจว ในใจของหยู่เหวินเห้าก็มีความรู้สึกหงุดหงิดที่พูดไม่ออก
ไท่ซ่างหวงมองความคิดของเขาออก พูดว่า “ถ้าหากเจ้าจะทำการศึกษาอาวุธเหล่านี้ต่อ ก็ไปปรึกษากับเสด็จพ่อของเจ้า ไม่จำเป็นต้องมาถามข้า ข้าไม่เห็นด้วย และไม่คัดค้าน”
เพราะว่า ฮ่องเต้ฮุยจงเป็นเสด็จพ่อของไท่ซ่างหวง ราชโองการของเขา ไท่ซ่างหวงต้องยึดถือและปฏิบัติตาม อย่างไรเสียเขาก็ไม่สามารถตัดสินใจว่าจะทำการศึกษาค้นคว้าต่อไปหรือไม่
หยู่เหวินเห้าเข้าใจ พูดว่า “หลานจะคุยกับเสด็จพ่อ ถ้าหากเสด็จพ่อเห็นด้วย เกรงว่ายังคงต้องขอคำชี้แนะจากอ๋องชินเฟิงอัน”
“ไปเถอะ”ไท่ซ่างหวงโบกมือ
มองดูหยู่เหวินเห้าก้มร่างแล้วถอยออกไป แล้วมองไปยังภาพที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาค่อยๆยื่นมือหยิบมันขึ้นมา นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ตลอดระยะเวลาที่เขาครองบัลลังก์มาหลายปี และยังรู้สึกเสียใจตลอดมา