บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1204 ไปหาท่านชายสี่เหลิ่ง
ความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหยู่เหวินเห้า แทบจะทำให้ไม่มีทางเลือก ถึงแม้จะรู้ว่าเป่ยถังจะเคยมีอาวุธเหล่านี้ แต่กลับไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
แต่ว่าเขาก็ยังไม่ตายใจ วันรุ่งขึ้นเข้าวังไปพบเสด็จพ่อ ปรึกษาเรื่องนี้
สองพ่อลูก ปรึกษาเรื่องนี้กันเป็นการส่วนตัวที่ห้องทรงพระอักษร หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจถึงความกังวลของท่าน เกรงว่าประชาชนจะเกิดความเคียดแค้นอีกครั้ง แต่เรื่องหินที่บินมาจากนอกท้องฟ้า เป็นการจงใจทำขึ้นมา โดยใช้เรื่องที่หรงเยว่และหวงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์มาสร้างเรื่อง ท่านลองคิดดู เรื่องนี้ เกิดขึ้นตอนไหนไม่เกิด แต่มาเกิดขึ้นตอนที่ลูกไปทำงานที่กรมทหาร ใช่เป็นการป้องกันไม่ให้พวกเราสร้างอาวุธพวกนั้นขึ้นมาอีก คนเป่ยโม่เคยเสียเปรียบ พวกเขาจะขัดขวางนั้นเป็นเรื่องแน่นอน แต่พวกเราจะยอมแพ้เช่นนี้หรือ ทำไม่การที่เป่ยถังของเราจะพัฒนาพลังทางการทหาร ต้องถูกแคว้นอื่นควบคุมด้วย แม้ตอนนี้จะปล่อยให้เกิดสงครามขึ้น ก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะแพ้เสมอไป ถ้าหากเสด็จพ่อเป็นกังวลจริงๆ ลูกสามารถขอรับพระบัญชาออกรบ โจมตีเป่ยโม่ให้ถอยกลับไป”
ฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าเป็นว่าที่ฮ่องเต้ ทำมาจึงพูดออกมาได้อย่างง่ายดายว่าจะเข้าสู่สนามรบ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ประเทศมีเรื่องราวมากมาย ภัยน้ำท่วมร้ายแรง ในเมืองหลวงก็วุ่นวายเพราะเจ้าจะทำการปฏิรูปโรงหมอไม่สามารถตัดสินใจได้ ในใจของประชาชนต่างก็มีความไม่พอใจอัดอั้นเอาไว้ เจ้าทำให้เรื่องในเมืองหลวงสงบลงก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า”
“เรื่องในเมืองหลวง พูดให้ชัดก็คือท่านป้าฮุ่ยผิงเป็นคนก่อขึ้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง สายตาตื้นเขิน ไม่ได้มองในแง่ของส่วนรวม ทำไมเสด็จพ่อไม่ลองคุยกับท่านป้าดู ถ้าหากท่านออกหน้า ลูกก็มีงานน้อยลงไปมาก ”หยู่เหวินเห้าพูด
สีหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “เจ้าพูดถึงท่านป้าอย่างนี้ได้อย่างไร เดิมทีข้าก็ไม่เห็นด้วยที่จะสร้างโรงหมอหุ้ยหมิงเพิ่ม แต่เห็นว่าเจ้าตั้งใจทุ่มเทกับเรื่องนี้ ไม่ดีหากจะทำลายความกระตือรือร้นของเจ้า แต่หากจะมองการณ์ไกล นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชน”
หยู่เหวินเห้านิ่งอึ้ง “ทำไมจะไม่ใช่ ปัญหาการรักษาโรคเป็นปัญหาที่คาใจท่านมาตลอด ก่อนหน้านี้ท่านยังเคยบอกว่า ประชาชนยากลำบากในการเข้าสู่การรักษา ค่ารักษาแพง อยากจะแก้ไขปัญหานี้มิใช่หรือ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถามเขาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแต่ละปีราชสำนักต้องใช้เงินสำหรับการรักษาไปเท่าไหร่ รู้หรือไม่ว่าแต่ละปีต้องใช้เงินกับการทหารเท่าไหร่ รู้หรือไม่ว่าได้มีการแจกจ่ายเงินช่วยเหลือภัยพิบัติในแต่ละปีเท่าไหร่ รู้หรือไม่ว่าเบี้ยเลี้ยงที่ให้กับเหล่าขุนนางและเหล่าสมาชิกในราชวงศ์ในแต่ละปีเป็นเงินเท่าไหร่”
หยู่เหวินเห้าสะอึก “เรื่องนี้ แต่ว่าตอนนี้เงินในท้องพระคลังมีอยู่เพียงพอมิใช่หรือ”
“เพียงพอหรือ”ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะขึ้นมา หัวเราะได้อย่างยากลำบากมาก “เพียงพออะไรกัน ถ้าหากเกิดสงครามขึ้น เงินแค่นั้นยังไม่พอให้สู้รบได้ครึ่งปีเลย ทองคำส่วนใหญ่ในท้องพระคลังภายในเป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่เสด็จปู่ของเจ้าบริจาคให้ หลายปีมานี้ เกิดน้ำท่วมติดต่อกัน เก็บภาษีไม่ได้ไม่ว่า ยังต้องจ่ายเงินค่าเสบียงในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยอีก ภัยน้ำท่วมในตอนนี้ หากภัยพิบัติลุกลามเป็นวงกว้างออกไป ท้องพระคลังอย่างน้อยก็ต้องจ่ายเงินสองสามล้านตำลึงเพื่อช่วยผู้ประสบภัย ถ้าหากจะเพิ่มโรงหมอหุ้ยหมิงในตอนนี้ นั่นไม่ใช่การสร้างรายได้ให้กับโรงหมอ แต่ค่ายาที่ถูกลงจะไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่ใช้สนับสนุนโรงหมอ ตอนนี้ราคายานั้นสูงเกินไปแล้ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ารราชสำนักสามารถจัดเก็บภาษีจากโรงหมอและร้านยาเหล่านี้ได้สูงแค่ไหน จัดเก็บภาษีพวกนี้ของพวกเขา จึงจะสามารถเพียงพอต่อการใช้จ่ายของโรงหมอหุ้ยหมิงทั้งหมดในประเทศ ไม่เช่นนั้น ราชสำนักยังต้องจ่ายส่วนต่าง เจ้าห้า เจ้านั้นไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้จึงไม่รู้ว่ายากลำบากแค่ไหน เรื่องที่ข้าอยากทำนั้นมีมากมาย แต่ไม่มีเงื่อนไขที่ดีก็ไม่สามารถทำงานได้ สองปีมานี้ให้ความสำคัญด้านการค้า แต่ก็เป็นเพียงแค่ระยะเริ่มต้นเท่านั้น จะหวังเงินปันผล ยังเร็วเกินไป ข้าไม่ได้คิดว่ามาตรการของเจ้าจะทำไมได้ ในความเป็นจริงแล้ว อาวุธต้องพัฒนา การรักษาต้องปฏิรูป แต่ล้วนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ รอให้ประเทศชาติสงบแล้ว ท้องพระคลังมีเงินมากเพียงพอ ค่อยทำก็ยังไม่สาย เจ้ารีบร้อนเกินไปแล้ว ”
หยู่เหวินเห้านิ่งอึ้ง เขาไม่เคยคำนึงถึงปัญหาเรื่องเงินจริงๆ
เพียงแต่ ราคาของโรงหมอและร้านยาแพงเกินไป จะทำให้เกิดเป็นวัฏจักรที่เลวร้าย ทุกบ้านต่างก็มีคนป่วย ประชาชนจะมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างไร
ส่วนเรื่องอาวุธ ที่จริงเขาคิดว่าแม้จะยากจนแค่ไหน ก็ไม่สามารถอับจนเรื่องการพัฒนาอาวุธ นี่เป็นพื้นฐานในการสร้างชาติให้มั่นคง มีเพียงการไม่ถูกศัตรูภายนอกหมายปองเท่านั้น เป่ยถังจึงจะสามารถเจริญขึ้นมาได้จริงๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดต่อว่า “ยังมีอีก เจ้าต้องการพัฒนาอาวุธ ราชสำนักยังต้องเจียดเงินให้เจ้า การลงทุนในการพัฒนาจะน้อยได้อย่างไร และเจ้าก็บอกว่าเจ้าเพิ่งจะไปรับตำแหน่งในกรมทหาร ก็มีคนสร้างเรื่องหินที่บินมากจากนอกท้องฟ้าแล้ว แสดงว่ากรมทหารมีคนคอยจับตามองอยู่ตลอด ตอนนี้แม้ว่าทหารของเป่ยโม่จะจดจ่ออยู่ข้างนอก แต่ข้าคิดว่า สงครามครั้งนี้ยังคงไม่สามารถทำได้เป็นการชั่วคราว ถ้าหากเรื่องที่เจ้าพัฒนาอาวุธถูกพวกเขารู้เข้า เป่ยโม่คงจะปล่อยมือจากทุกสิ่งแล้วบุกโจมตี หนานเจียงยังไม่นิ่ง เจ้าอย่าได้กระทำการบุ่มบ่ามอย่างเด็ดขาด”
เขาเดินลงมา เอามือไขว้หลังเดินมาถึงตรงหน้าหยู่เหวินเห้า สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “มีจุดหนึ่งเกรงว่าเจ้าคงไม่เคยคิดถึง นั่นก็คือถ้าหากแคว้นต้าโจวรู้ว่าพวกเราพัฒนาอาวุธดินปืน พวกเขาจะคิดอย่างไร เจ้าเองก็จะส่งแผนที่ทางการทหารไปให้พวกเขาใช่หรือไม่ ถ้าหากส่งไป เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าจะไม่รั่วไหลออกไป ตอนแรกที่พวกเขาส่งแผนที่ทางการทหารมาให้เป่ยถังเรา เกือบจะตกไปอยู่ในมือของหงเล่แล้ว”
ในใจของหยู่เหวินเห้ารู้สึกหมดทางเลือก แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่าความกังวลของเสด็จพ่อนั้นถูกต้องทั้งหมด
ตลอดทางที่ออกจากวัง เขารู้สึกกลัดกลุ้มมาก ถ้าหากไม่รู้ว่ามีอาวุธพวกนี้อยู่ เขายังสามารถเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองซื้ออาวุธและรถรบจากแคว้นต้าโจวได้อย่างสบายใจ แต่ตอนนี้พอได้รู้ว่าต้าถังก้เคยมีมาก่อน และมีที่ทำสำเร็จแล้ว จากนั้นก็ศึกษาและสร้างให้มากขึ้น ไม่ยากเลยสักนิด เขารู้สึกว่า สามารถไปหาคนในฝ่ายเครื่องมือลองดูก่อน
กรมทหารนั้นมีคนคอยจับตามองอยู่ กรมทหารมีการเคลื่อนไหวอะไร ก็คงจะปิดไว้ไม่ได้ ถ้าหากต้องการจะศึกษาพัฒนา ยังไงก็ต้องทำการศึกษาค้นคว้าเป็นการส่วนตัว
คิดแล้ว เขาก็ตรงไปยังจวนเหลิ่ง
ท่านชายสี่เหลิ่งได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ได้วิเคราะห์เหมือนกับฮ่องเต้หมิงหยวน “พ่อตาของข้าพูดถูก ตอนนี้มีความกังวลเหล่านี้จริงๆ เพียงแต่ เจ้าเองก็พูดถึง ตนเองมีอาวุธ ก็ไม่ต้องพึ่งพาพันธมิตร ในโลกใบนี้ ไม่มีพันธมิตรที่ยั่งยืน ตอนนี้พวกเราไม่ศึกษาค้นคว้า ย่อมต้องมีเวลาที่จำเป็นต้องศึกษาค้นคว้า แต่เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าคงจะถูกโจมตีแล้ว ”
หยู่เหวินเห้าตาเป็นประกาย “เจ้าก็เห็นด้วย เช่นนั้นก็ดีมากเลย”
ท่านชายสี่เหลิ่งค่อยๆนั่งลง แววตาสดใสชัดเจน “รอยยิ้มดีใจของเจ้าช่างอันตรายมาก”
“น้องเขย ”หยู่เหวินเห้าร้องเรียกด้วยสีหน้าจริงจัง “ความรุ่งเรืองและล่มสลายของประเทศชาติทุกคนต่างก็มีส่วนรับผิดชอบ เจ้าเป็นลูกเขยของราชวงศ์ เคยคิดจะรับตำแหน่งขุนนางหรือไม่”
“ข้าทำการค้าได้ดีมาก ไม่คิดอยากจะเป็นขุนนาง”ท่านชายสี่เหลิ่งเอ่ยอย่างมั่นคงดุจภูเขาไท่
หยู่เหวินเห้าได้แต่ถือว่าเขาพูดจาไร้สาระ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม “ดี มีความมุ่งมั่นดี เช่นนั้นก็ให้เจ้ามารับหน้าที่ในตำแหน่งขุนนางฝ่ายหลอมอาวุธ จัดกลุ่มคนขึ้นมาอย่างลับๆกลุ่มหนึ่ง หาพื้นที่ลับๆ เริ่มการศึกษาและพัฒนา ส่วนเรื่องเงินในการศึกษาพัฒนา พวกเรารับผิดชอบร่วมกัน ทุ่มเทให้กับเสด็จพ่ออย่างเต็มที่ ”
ดวงตาหรี่ยาวของท่านชายสี่เหลิ่งเหลือบขึ้น “ท่านมีเงินหรือ ”
หยู่เหวินเห้าสะบัดแขนเสื้อ “ไม่มี ข้าจะไปยืมคนอื่น”
“ยืมกับใคร แล้วจะเอาอะไรคืน”ท่านชายสี่เหลิ่งพินิจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่ได้จะดูถูกพี่ชายภรรยาคนนี้จริงๆ เขายากจนมาก
“เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าจะยืมกับใคร คนละหนึ่งล้านตำลึง ได้หรือไม่ ”หยู่เหวินเห้าพูด
ท่านชายสี่เหลิ่งยิ้มบางๆ “ได้ อย่าหาว่าข้ารังแกท่าน ข้าออกหนึ่งล้านสองแสนตำลึง ท่านออกแค่แปดแสนตำลึงก็พอแล้ว”
แปดแสนตำลึง เขาก็เอาออกมาไม่ได้อยู่ดี เงินในมือหยวนชิงหลิงมีอยู่นิดเดียว ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วเกือบจะหมดแล้ว ที่เหลือก็ยังมีที่ต้องใช้ประโยชน์
“น้อง น้องสาว พี่ห้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้านิดหน่อย”หยู่เหวินเห้าหมุนตัวเดินไปทางด้านหลังลานบ้าน