บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1209 หมาบ้า
รอจนรถม้าของหยวนชิงหลิงใกล้จะถึงแล้ว องค์หญิงฮุ่ยผิงก็เลิกม่านขึ้น เผยรอยยิ้มได้ใจให้นางได้เห็น “พระชายารัชทายาทกลับมาจากวังแล้ว”
ใจของหยวนชิงหลิงนั้นโกรธมากได้ยินคำพูดนี้ นางได้แต่พูดเสียงเย็นว่า “ท่านส่งคนสะกดรอยตามข้า”
องค์หญิงฮุ่ยผิงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง “ยังต้องให้คนสะกดรอยเจ้าอีกหรือ ขอเพียงเจ้าเข้าวัง เคยไปที่ใดมาบ้าง ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้”
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “องค์หญิงจะยุ่งเรื่องของคนอื่นทำไม เรื่องในวังก็ต้องรู้ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าการค้าขององค์หญิงทำได้ใหญ่โตไม่น้อย”
“พอใช้ได้ ถ้าหากไม่ใช่พวกเจ้าสองสามีภรรยาที่มีความคิดไม่เข้าท่า การค้านี้จะยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีก ”
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่นางเองก็รู้สึกรังเกียจเช่นกัน เอ่ยเสียงเย็นว่า “เอาเรื่องการรักษาคนไข้มาเป็นการค้าที่สร้างกำไรมหาศาล องค์หญิงคิดว่าเหมาะสมจริงหรือ”
องค์หญิงฮุ่ยผิงเชิดคางขึ้น สายตาที่เย็นชาแหลมคมจรดไปบนหน้าของหยวนชิงหลิง “เอาการรักษาคนไข้มาทำเป็นเรื่องการกุศล ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน เมื่อวานที่โรงหมอหวยเต๋อมีคนตายไปสองคน พระชายารัชทายาทน่าจะทราบกระมัง ถ้าหากไม่ใช่เพราะพระชายารัชทายาทต้องการให้รัชทายาทเพิ่มโรงหมอหุ้ยหมิง มีใจอยากจะลดราคายาให้ต่ำลง ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาสองคน ตายอย่างไร้ความผิด แต่ทุกคนต่างก็รู้ พวกเขานั้นถูกพระชายารัชทายาทฆ่าตาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะการกระทำที่มีจิตใจเมตตาของพระชายารัชทายาท โรงหมอก็สามารถเปิดดำเนินการรักษาคนไข้ได้ตามปกติ โรงหมอไม่ใช่โรงทาน มีเงินก็เข้ามารักษา ไม่มีเงินก็ไปหาสมุนไพรป่ากินเอง หลายปีมานี้ ก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ทำไมพอมาถึงพระชายารัชทายาท จึงคิดว่าการเปิดโรงหมอจึงเป็นโทษมหันต์ ถ้าหากเป็นโทษมหันต์ละก็ ประชาชนมากมายในเมืองหลวงก็คงไม่เลื่อมใสศรัทธาท่านหมอของโรงหมอข้า”
“เป็นเหตุผลที่บิดเบี้ยวจริงๆ ข้าเคยบอกเมื่อไหร่กันว่าการเปิดโรงหมอเป็นโทษมหันต์ ”หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดที่ฟังแล้วดูจะไม่นำพาเหล่านั้น สีหน้าก็เขียวคล้ำขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางเลิกผ้าม่านขึ้นจ้องมององค์หญิง “เปิดโรงหมอสามารถหาเงินได้ สามารถทำเป็นการค้าได้ แต่ว่า ที่ข้าพูดถึงคืออย่าได้เพียงเพราะต้องการได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่มากเกินไปแต่กลับไม่สนใจชีวิตของคนไข้ เปิดโรงหมอและร้านขายยาในเป่ยถังหาเงินได้เท่าไหร่ คิดว่าองค์หญิงคงจะรู้ดีมากกว่าข้า แต่จำเป็นต้องหากำไรมากขนาดนี้เชียวหรือ มีคนไข้มากแค่ไหนที่เป็นเพราะค่าหมอแพง ไม่มีเงินรักษาจนทำให้ต้องตาย”
องค์หญิงฮุ่ยผิงทำเสียงในลำคอ “พวกเขาไม่มีความสามารถเอง ไม่มีเงิน จะโทษใครได้ ไม่มีเงินก็อย่าป่วยไข้ ป่วยแล้วยังจะร้องขอการรักษาอะไร ตายไปเสียเร็วๆ ยังไม่เป็นการทำให้ครอบครัวต้องลำบาก เมืองหลวงของเป่ยถังเป็นพื้นที่มั่งคั่ง จะนับประสาอะไรกับแค่คนจนที่ตายไปไม่กี่คน ”
หยวนชิงหลิงโมโหมาก “ท่านเป็นถึงองค์หญิงของราชวงศ์ พูดจาเช่นนี้ไม่กลัวสวรรค์จะลงโทษหรือ”
องค์หญิงฮุ่ยผิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหนึ่งเสียง “สวรรค์ลงโทษ ข้าได้ยินคำพูดนี้จนเลี่ยนแล้ว มีคนตั้งเท่าไหร่ที่ซื้อยาไม่ไหว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้ามาซื้อยาในโรงหมอให้ได้ เข้ามาแล้วยังติว่าราคาสูง ข่มท่าทียากไร้เอาไว้แล้วด่าทอ เป็นคนหากถึงขั้นนั้น ก็ไม่สู้ตายไปเสียจะดีกว่า ทำไมต้องมีชีวิตอยู่บนโลกเพื่อแบกรับความเหนื่อยและโทษทัณฑ์ด้วย พระชายารัชทายาทไม่ช่วยคนในครอบครัว กลับไปช่วยพวกยากไร้เหล่านั้น ทำให้ตัวเองต้องเปื้อนกลิ่นสาบคนจน เจ้าเองก็ไม่สู้ไปตายซะ ราชวงศ์ของข้าไม่มีสะใภ้ยากไร้เช่นเจ้า ”
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่ได้ใจอวดดีของนาง ความโมโหกลับค่อยๆกลายเป็นความนิ่งขรึม ดี เล่นใหญ่กับนางเสียหน่อย
“ยังมี ”องค์หญิงฮุ่ยผิงเห็นนางไม่พูดจา ก็คิดว่านางกลัวแล้ว ก็ยิ่งอวดดีเข้าไปใหญ่ “เจ้าคิดว่าเจ้าคลอดลูกชายหลายคนให้กับรัชทายาท สืบทอดเชื้อสายให้กับราชวงศ์ นับว่าเป็นคุณงามความดีแค่ไหนกันเชียว ไม่มีเจ้า รัชทายาทแต่งกับหญิงอื่นก็สามารถให้กำเนิดได้ แต่ข้านั้นแตกต่าง ข้ามีโรงหมอในเมืองหลวงทั้งหมดห้าสิบสามแห่ง ทุกปีได้ส่งภาษีให้กับราชสำนักเท่าไหร่ เจ้ารู้หรือไม่ ”
ร่างของนางโน้มมาข้างหน้า ใบหน้าสดสั่นไหวเบาๆ หัวเราะได้อย่างเย้ยหยันเอาแต่ใจ “หนึ่งล้านตำลึง เงินในท้องพระคลังมีปีละหนึ่งล้านตำลึงเป็นเงินที่ข้าให้กับราชสำนัก ค่าใช้จ่ายในวังแต่ละปีก็แค่ไม่กี่แสนตำลึง แต่ละปีข้าได้อุทิศเงินให้กับวังหลวงซึ่งสามารถใช้จ่ายได้สองสามปี เจ้าจะเอาอะไรมาเทียบกับข้า เจ้าคิดว่าเข้าวังครั้งแล้วครั้งเล่า เสด็จพี่จะฟังเจ้าหรือ ในใจเสด็จพี่รู้เรื่องเงินก้อนนี้ดี ถ้าหากโรงหมอของข้าทั้งหมดต้องลดราคา โรงหมอในเมืองหลวงกระทั่งทั้งประเทศก็ต้องลดราคาทั้งหมด ราชสำนักจะเสียรายได้ปีละเท่าไหร่ เจ้ารู้หรือไม่ อยากจะปฏิวัติ ไม่เจียมตัวเอาซะเลย เป็นความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อน ”
พูดจบ นางก็หัวเราะเสียงเย็น ปล่อยม่านรถม้าลง พูดเสียงเย็นว่า “ไป รีบไปจากที่ยากจนข้นแค้นโดยเร็วที่สุด จะได้ไม่เปื้อนตัวข้า”
แม้ว่าซอยจะไม่เล็ก แต่รถม้าของหยวนชิงหลิงอยู่ตรงกลางพอดี นางจะผ่าน หยวนชิงหลิงจำเป็นต้องหลีกให้
คนขับรถม้าได้ถูกท่าทีขององค์หญิงฮุ่ยผิงทำเอาตกใจจนนิ่งอึ้งแล้ว ด้วยจิตใต้สำนึกจึงอยากจะขับรถม้าชิดไปด้านข้าง จึงลงแส้ไป แต่ม้าไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด ราวกับกำลังเกิดอารมณ์โมโห
แต่รถม้าขององค์หญิงฮุ่ยผิงได้เคลื่อนเข้ามาแล้ว รถม้าขององค์หญิงฮุ่ยผิงถูกลากด้วยม้าสี่ตัว ส่วนรถม้าของหยวนชิงหลิงใช้ม้าสองตัว และรถม้าขององค์หญิงฮุ่ยผิงนั้นใหญ่และแข็งแรง ตรงกันข้ามกันกับรถม้าของจวนอ๋องฉู่ที่ดูจะแร้นแค้นอยู่บ้าง แค่คันเล็กๆ เป็นชนิดที่ว่าแค่ยกก็พลิกคว่ำแล้ว
“ชนเข้าไป”องค์หญิงฮุ่ยผิงเห็นม้าของหยวนชิงหลิงไม่ขยับ คิดว่านางจงใจขวางทาง ภายใต้ความโมโห จึงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
“พระชายารัชทายาท รีบลงไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”คนขับรถม้าเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจรีบร้องเรียกขึ้นมา
หยวนชิงหลิงยังคงไม่เคลื่อนไหว แต่พูดกับม้าของตนไปคำหนึ่งว่า “ยกขา”
ขณะที่รถม้าฝั่งตรงข้ามกำลังพุ่งเข้ามา ทันใดนั้นม้าทั้งสองตัวของหยวนชิงหลิงก็ร้องเสียงลากยาวหนึ่งเสียง สองขาหน้าชูขึ้นสูง แสดงท่าทีน่าเกรงขามปะทุขึ้นมาในทันใด ทำเอาม้าทั้งสี่ตัวขององค์หญิงฮุ่ยผิงตกใจจนขาอ่อนทันที ม้าทั้งสี่ตัวถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น
รถม้าล้มลงกับพื้น องค์หญิงฮุ่ยผิงกลิ้งลงมาจากรถม้า ศีรษะกระแทกโขกกับพื้นตรงหน้ารถม้าของหยวนชิงหลิง หญิงรับใช้กับคนขับรถม้าตกใจจนหน้าซีด รีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา ความน่าเกรงขามขององค์หญิงฮุ่ยผิงหายไปสิ้น ทรงผมยุ่งเหยิง ใบหน้าสวยงามตื่นตระหนก โมโหจนฟาดฝ่ามือลงไปที่ใบหน้าของคนขับรถม้าหนึ่งที “เจ้าคนไร้ประโยชน์”
หยวนชิงหลิงค่อยๆลงมาจากรถม้า ยืนอยู่ตรงหน้านาง นางสูงกว่าองค์หญิงฮุ่ยผิงเล็กน้อย สายตาเย็นชา “องค์หญิง การลงโทษจากสวรรค์มาถึงแล้ว รับไว้เถอะ”
“เจ้า……”องค์หญิงฮุ่ยผิงยกมือขึ้นอยากจะชี้ไปที่นาง กลับเห็นว่าด้านข้างของมือมีแผลถลอก มีเลือดไหลออกมา เมื่อครู่กำลังโมโหมากจึงไม่รู้สึกเจ็บ แต่ตอนนี้เห็นเลือดแล้ว จึงรู้สึกว่าปวดไปหมดทั้งตัว
หยวนชิงหลิงหัวเราะเสียงเย็น เดินเฉียดร่างของนางไป ก้าวเท้าก้าวใหญ่ๆไปยังประตูจวน
ที่ประตูจวนมีคนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนเฝ้าประตูถามว่า “พระชายารัชทายาท ทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้นหรือไม่”
“ไม่เป็นไร มีหมาบ้าตัวหนึ่งหกล้มเท่านั้นเอง”หยวนชิงหลิงพูดเสียงเรียบๆ
“หยวนชิงหลิง เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ”น้ำเสียงที่ฟังดูโมโหจนถึงขีดสุดแล้วขององค์หญิงฮุ่ยผิงส่งมาจากด้านหลัง
หยวนชิงหลิงหมุนตัวกลับไป แสงอาทิตย์จางๆสาดส่องไปบนใบหน้าเย็นชาของนาง เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า “ องค์หญิงฮุ่ยผิง ท่านรอดูไปเถอะ ถ้าข้าไม่ทำให้โรงหมอทั้งห้าสิบสามแห่งของท่านต้องปิดกิจการ ไม่ทำให้ท่านองค์หญิงฮุ่ยผิงต้องสิ้นเนื้อประดาตัวละก็ ไม่ต้องเรียกข้าว่าหยวนชิงหลิง”
แม้ว่าองค์หญิงฮุ่ยผิงจะอยู่ในอาการร้อนใจและโมโห ได้ยินคำพูดนี้ก็ยังคงหัวเราะอย่างอวดดี “ได้ ได้ ข้าจะรอเจ้า ดูสิว่าเจ้าจะมีปัญญาอะไรมาทำให้ข้าสิ้นเนื้อประดาตัว แต่เจ้าจำเอาไว้ ข้ากับเจ้าคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ มีเจ้าหยวนชิงหลิง ก็ไม่มีข้าฮุ่ยผิง แม้เสด็จพี่จะตำหนิ ข้าก็จะทำให้เจ้าน่าดู”