บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1237 ซาลาเปาที่ถูกรังแก
พอเด็กๆ กลับถึงจวนก็เรียกได้ว่าหกคะเมนตีลังกา พาหมาป่าหิมะออกมาวิ่งทั่วจวน วิ่งพล่านไปทั่ว เล่นจนสนุกสนานเหลือประมาณ
หยวนชิงหลิงมองพวกเขาเล่นกันอยู่ในลานบ้าน พอพูดคุยกับหยู่เหวินเห้า นางก็เป็นห่วงความรู้สึกของไท่ซ่างหวงขึ้นมา
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ก็ต้องไม่สบายพระทัยอยู่แล้ว แต่พระองค์ก็ไม่ได้โทษเจ้า เจ้าสบายใจเถอะ”
“อือ ข้าไม่กลัวว่าจะทรงโทษข้า ข้าแค่สงสารพระองค์เท่านั้น” หยวนชิงหลิงพูดเสียงเบา
หยู่เหวินเห้าชะงัก หันหน้าไปมองหน้าสวยของนาง เขาที่เป็นหลานยังไม่คิดถึงจุดนี้ แค่คิดว่าไม่ทรงโทษทัณฑ์มาก็พอแล้ว
ไหนเลยจะสงสารพระองค์?
เขากุมมือหยวนชิงหลิง พูดอย่างอ่อนโยน “มิน่าล่ะเสด็จปู่ถึงเอ็นดูเจ้าขนาดนี้ ที่แท้ก็มีเหตุผล”
หยวนชิงหลิงหนุนศีรษะกับบ่าของเขา พูดเอื่อย “หลายปีมานี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไท่ซ่างหวงทรงเอ็นดูปกป้องข้า ข้าคงไม่ได้ใช้ชีวิตผาสุกขนาดนั้น”
ก่อนหน้านี้พอได้ยินเจ้าห้าบอกว่าฮุ่ยผิงถูกไฟคลอกจนเจียนตาย นางรู้สึกสะใจนัก แต่ตอนนี้พอนึกถึงสภาพที่ไท่ซ่างหวงต้องเผชิญแล้ว นางก็นึกเสียใจเล็กน้อย
ไท่ซ่างหวงห่วงใยแผ่นดิน ทุกคนต่างคิดว่าไท่ซ่างหวงต้องทำอย่างนั้น แต่หากไม่พูดถึงฐานะ ก็ทรงเป็นแค่ชายชราคนหนึ่ง
เผชิญหน้ากับลูกชายลูกสาวที่ไม่เอาไหน เขาย่อมปวดใจ หัวหงอกส่งหัวดำ เขาก็ต้องเจ็บปวดเหมือนกัน
เด็กๆ เล่นกันจนเหงื่อไหลไคลย้อยวิ่งเข้ามาหา “ท่านแม่ หิวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่ใช่ว่ากินจากในวังมาแล้วหรือ? ยังหิวอีก?” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
หยวนชิงหลิงเก็บอารมณ์ พูดอย่างอ่อนโยน “เล่นสนุกกันขนาดนี้ก็ต้องหิวอยู่แล้ว ไป ให้คนเตรียมของกินให้พวกเจ้า น้องก็นอนกลางวันตื่นแล้ว กินพร้อมกับน้องเลย”
เจ้าแฝดยังชอบนอนกลางวัน ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน พวกเขาก็นอนตั้งแต่กลางวันยันกลางคืนได้ แต่กลางคืนพอตื่นมากินข้าวแล้ว ก็ยังนอนได้อีก
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทั้งสามเข้าไปอย่างดีอกดีใจ
เจ้าแฝดตื่นมา ขยี้ตางัวเงียออกมา เมื่อเห็นพี่ชายที่นานทีจะได้กลับมาสักครั้งแล้วกลับนิ่งมาก เป็นข้าวเหนียวเสียอีกที่ดึงพวกเขาเข้าไป อุ้มพวกเขาแล้วบอกว่าคิดถึง พวกเขาตบหลังพี่ข้าวเหนียวเป็นการปลอบ ทำจนข้าวเหนียวเหมือนเป็นลูกคนเล็กเสียอย่างนั้น
แม่นมฉีให้พ่อครัวทำอาหารมื้อดึก ทำกับข้าวกับของว่างอร่อยสองสามอย่าง แล้วส่งไปที่ตำหนักเซียวเยว่พร้อมกัน เด็กห้าคนกินอาหารกล้วมๆ ตะกละตะกลาม
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “เข้าวังนานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่มีระเบียบอีก? กินข้าวยังกินเสียมูมมามขนาดนี้”
เด็กๆ เงยหน้าขึ้นมา “ท่านพ่อ อยู่ในวังต้องระวัง กลับบ้านยังต้องระวังอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? เหนื่อยจะแย่ ถึงยังไงเวลาที่ต้องระวังพวกหม่อมฉันก็ระวังเองนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้อย่าบ่นให้มากเลย จู้จี้จริงๆ”
ข้าวเหนียวยื่นตะเกียบเข้าไปที่ชามหมูสามชั้นน้ำแดง “ได้ยินว่าคนแก่จะจู้จี้ บางทีท่านพ่ออาจแก่แล้ว”
ทังหยวนกล่าว “ไม่ใช่สักหน่อย หนวดเคราขาวแล้วถึงจะแก่ ท่านพ่อขนาดหนวดยังไม่มีเลย จะแก่ได้ยังไง?”
ซาลาเปาตบศีรษะทังหยวนอย่างอารมณ์เสีย “ไม่มีหนวดก็คือขันที เจ้าดูฉางกงกงกับมู่หรงกงกงสิไม่มีหนวดสักหน่อย เพราะพวกเขาไม่มีช้างน้อยแล้ว”
โค้กตะลึง ภายในดวงตาโตนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย “ไม่มีช้างน้อยแล้วจะฉี่ยังไง?”
ซาลาเปาคิด “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไว้กลับไปแอบดูแล้วจะกลับมาบอกเจ้า”
หยู่เหวินเห้าฟังจนหน้าขมึงตึง “กินข้าวๆ ห้ามพูดอีก!”
เด็กทั้งห้าก้มหน้าก้มตากินกันใหญ่
พอกินข้าวเสร็จ เจ้าแฝดถึงสดชื่นขึ้นมาหน่อย บอกเล่าเรื่องที่แม่เจอกับอันตรายให้พี่ๆ ฟัง
ซาลาเปาใช้ฐานะพี่ใหญ่ตำหนิทั้งสองทันที บอกว่าพวกเขาไม่ได้คุ้มครองท่านแม่ดีๆ ทำให้ท่านแม่เกือบถูกคนชั่วทำร้าย
เจ้าแฝดโต้กลับด้วยเหตุผล แต่ทั้งสามเป็นพวกรังแกน้อง เอาแต่ตำหนิหนัก พูดจนเจ้าแฝดก้มหน้า
ตกกลางคืน เด็กๆ ก็จะนอนห้องเดียวกับพ่อแม่ เจ้าแฝดไม่เคยอ้อน สำหรับพวกเขาแล้วมีที่นอนก็พอ แต่คืนนี้กลับแย่งชิงกับพวกพี่ๆ ขึ้นมา
ด้วยความจนปัญหา หนึ่งครอบครัวเจ็ดชีวิตจึงเบียดกันนอน ทั้งยังเบียดอยู่เตียงเดียวกัน ดีที่เตียงหลังใหญ่มาก ก่ายไปก่ายมาก็ยังนอนกันได้
แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกตัว รอจนเด็กๆ หลับปุ๋ยไปหมดแล้ว หยู่เหวินเห้าก็มองเพดานมุ้ง ถอนหายใจอย่างจนใจ พอหันหน้าไปมองหยวนชิงหลิงที่อยู่อีกทางของเตียง นางก็ยังไม่หลับเหมือนกัน
ทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา กวนไม่ได้ แล้วจะหลบไม่ได้อีกหรือ?
ทั้งสองเอาโต๊ะชาบนเตียงอรหันต์ออก หยิบผ้านวม เบียดกันนอนอยู่บนนั้น
ระยะนี้ซาลาเปาอยู่ในวังไม่ได้ไปบ้านคุณยาย เพราะเรียนหนัก วันหนึ่งเขาจึงมีเวลานอนแค่สามชั่วยาม ดังนั้นจึงคิดว่ากลับมาแล้วจะไปกินเที่ยวเล่นที่บ้านคุณยายสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่าคืนนี้อย่างไรก็แทรกตัวเข้าไปไม่ได้ กว่าจะแทรกตัวเข้าไปได้ตอนยามจื่อ (*ช่วง23.00-01.00) ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งลืมตาขึ้นก็รู้สึกว่าตัวว่างเปล่า จิตถูกบีบให้ออกไปอีกแล้ว
เขาลุกขึ้นนั่งอย่างโมโห จ้องน้องชายทั้งสี่ พวกเขานอนหลับสนิทอย่างกับหมู
เขาปีนข้ามทุกคน อยากรู้ว่าใครกันที่แย่งตำแหน่งเขา
โดยรวมแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเจ้าแฝด ไม่เคยสอนพวกเขา พวกเขาน่าจะไม่เป็น
เช่นนั้นก็ต้องเป็นทังหยวนกับข้าวเหนียว
ซาลาเปาตบหน้าพวกเขาคนละที ทำให้พวกเขาตื่น
ทั้งสองขยี้ตา “ทำไมหรือ?”
“ห้ามนอน รอข้านอนแล้วพวกเจ้าค่อยนอน ไม่งั้นพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วจะต่อยพวกเจ้า” ซาลาเปาถลึงตาเป็นการเตือน แม้แต่พลิกตัวแทรกเข้าไปก็ยังไม่ได้ แทบทำเขาโมโหจะบ้า
ทังหยวนกับข้าวเหนียวไม่ยอม แต่พอเห็นพี่ชายยกกำปั้นขึ้นก็จนปัญญา ได้แต่ยอมจำนน
ซาลาเปานอนลง จิตนิ่ง เริ่มคว้าจิตที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ แต่ขณะที่จิตรวมกันก็ยังแทรกตัวเข้าไม่ได้อยู่ดี
เขาลืมตาขึ้น เห็นทังหยวนกับข้าวเหนียวจ้องเขา เขาพลันลุกขึ้นนั่ง มองทางเจ้าแฝด
เจ้าแฝดนอนหลับสนิท
ต้องเป็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งแน่
ซาลาเปาชูมือจะตบหน้าโค้ก แต่มือยังไม่ทันสัมผัสหน้าโค้ก พลังหนึ่งก็จู่โจมมาทางเขา เขากระเด็นลอยออกไปแล้วตกอยู่กับพื้น
เขาประหลาดใจหนัก ลุกขึ้นมาอย่างลำบาก ข้าวเหนียวกับทังหยวนลุกขึ้นนั่งแล้ว มองเขาอย่างตะลึงงัน “พี่ เป็นอะไรไปหรือ?”
ซาลาเปาคลึงบั้นท้าย กะเผลกๆ กลับมา ห่มผ้าด้วยความหงุดหงิด “ไม่มีอะไร นอน!”
ทังหยวนกับข้าวเหนียวมองกันทีหนึ่ง ยักไหล่ อย่างไรเสียพี่ชายก็บ้าๆ บอๆ อยู่แล้ว
หยวนชิงหลิงหันไปมองพวกเขาวุ่นวายกัน มุมปากปรากฏรอยยิ้ม ซาลาเปาชอบรังแกน้องนัก ตอนนี้โดนบ้างแล้วไหมล่ะ?
เจ้าแฝดก็ไปได้เหมือนกัน ช่วงที่พวกเขาไม่อยู่ในจวน เป็นเจ้าแฝดที่ผลัดกันไปบ้านคุณยาย แถมทั้งสองยังคล่องแคล่วยิ่งกว่าพวกเขาอีก ไปมาได้ตามใจชอบ
เพียงแต่นิสัยของซาลาเปาน่ะ อย่างไรก็จัดการหน่อยดีกว่า ใช้อำนาจมากเกินไป น้องๆ หลับกันหมดแล้วยังตบให้ตื่นขึ้นมาอีก ที่จริงถ้าพูดถึงความสามารถจริงๆ ความสามารถของน้องก็ไม่แน่ว่าจะด้อยกว่าเขา
หยู่เหวินเห้ากอดนาง ราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ พึมพำเอ่ย “ไม่เป็นไร ถึงซาลาเปาจะชอบรังแกน้อง แต่เวลาน้องมีเรื่องเขาก็ออกมาช่วยคนแรก ที่จริงเขาก็รักน้องเหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “นั่นก็เพราะเขารังแกน้องได้คนเดียว คนอื่นห้าม