บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1238 แบ่งให้นางครึ่งหนึ่ง
ฮ่องเต้หมิงหยวนรับสั่งให้ตรวจสอบเรื่องไฟไหม้โรงงานยาที่จื๋อลี่ ข้าราชการจื๋อลี่ย่อมแข็งขันกันอยู่แล้ว ผู้เคราะห์ร้ายในตอนนั้นก็พากันออกมาชี้ตัวฮุ่ยผิง
ไม่ต้องลงแรงมากมาย ความจริงทั้งหมดของเรื่องนี้ก็ปรากฏเป็นที่แน่ชัดแล้ว
เพื่อดันราคายาให้สูงขึ้น ปกป้องพวกพ้องตัวเองโจมตีผู้อื่นฮุ่ยผิงจึงลงมือกับพ่อค้าที่แข็งข้อพวกนั้น
เมื่อบทสรุปของการตรวจสอบส่งมาถึงหน้าฮ่องเต้หมิงหยวน เขาถึงรู้ว่าจุดบอดที่ตนหลีกเลี่ยงมาตลอด ที่จริงแล้วฉ้อฉลเน่าเฟะมานานแล้ว
ตามการตรวจสอบของจื๋อลี่ ประชาชนพากันมาแจ้งความ การยึดครองตลาดวัตถุดิบยาในเมืองหลวงในหลายปีนี้ การกดขี่ข่มเหงสถานพยาบาลที่ไม่คล้อยตามนาง ทำเรื่องอำมหิตเท่าไรแล้ว? เรื่องพวกนี้ราวกับการขุดบ่อน้ำ เมื่อน้ำหยดหนึ่งผุดขึ้น ก็เริ่มทะลักออกมาเรื่อยๆ จะปิดก็ปิดไม่อยู่
งัดแงะทีละน้อย จนสุดท้ายตลาดวัตถุดิบยาที่เละตุ้มเปะก็เผยตรงหน้าฮ่องเต้หมิงหยวน ทรงกริ้วตั้งแต่ต้นจนจบ สั่งราชโองการออกไป ให้ประหารฮุ่ยผิง
แต่เห็นแก่ไท่ซ่างหวง ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงไม่ได้ตรวจสอบจวนของนาง ทำให้หลานของไท่ซ่างหวงไม่ถึงกับต้องระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก
สำหรับราชบุตรเขยกับยอดหมอหลิว ก็ส่งไปพื้นที่แร้นแค้น ห้ามกลับเมืองหลวงตลอดชีวิต
การประหารฮุ่ยผิง ไท่ซ่างหวงสั่งให้แม่นมสี่ไปจัดการด้วยตนเอง
แม่นมสี่รับราชโองการแล้วก็นำคนไปที่จวนเจ้าหญิง
ราชโองการประหารชีวิตถ่ายทอดมานานแล้ว แต่ไม่มีใครบอกฮุ่ยผิง หลิวจิ้งบุตรชายคนโตของฮุ่ยผิงคุกเข่าตรงหน้าแม่นมสี่ บอกเอายาพิษใส่ในยาได้หรือไม่ ถือว่าให้ยานาง ตะล่อมให้นางดื่ม
บุตรชายของฮุ่ยผิงต่างไร้ความสามารถ เมื่อก่อนรู้แต่สำมะเลเทเมา หลังจากราชบุตรเขยไปแล้ว พวกเขายังโทษนาง แต่บัดนี้เมื่อความตายอยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ไม่อาจตัดสัมพันธ์แม่ลูกได้
แม่นมสี่ฟังการขอนี้แล้วก็ถอนหายใจเอ่ย “เช่นนั้นก็ทำตามที่คุณชายกล่าวก็แล้วกันเจ้าค่ะ อย่าบอกเจ้าหญิงว่านี่เป็นยาพิษ ตะล่องให้ทรงเสวยก็พอ”
“ขอบคุณแม่นมที่เห็นแก่ความกตัญญูของข้า” หลิวจิ้งลุกขึ้นแล้วปาดน้ำตา “รอจบเรื่องแล้ว พวกเราจะเข้าวังรับการลงโทษจากไท่ซ่างหวง!”
แม่นมสี่ส่ายหน้า “ไม่ต้องไปแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปพวกท่านก็รู้ความหน่อย ไม่ต้องเปิดสถานพยาบาลแล้ว ขายกิจการแล้วออกจากเมืองหลวง ทำการค้าอื่น ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเถิด”
“อือ!” หลิวจิ้งร้องไห้รับยามา แล้วหมุนตัวเดินเข้าไป
ฮุ่ยผิงถูกไฟคลอกรุนแรงมาก โอดร้องครวญครางทุกวัน ใกล้ถึงที่ตาย ที่จริงยานี้เท่ากับปลดทุกข์ให้นาง
หลิวจิ้งบอกนางว่านี่เป็นยาระงับปวด นางจึงทนความทรมานดื่มลงไป เมื่อนางดื่มหมด บุตรชายทั้งหลายก็คุกเข่าตรงหน้าเตียง เมื่อฮุ่ยผิงเห็นดังนั้นก็รู้ทันที จ้องพวกเขาเขม็ง เผยอารมณ์ที่เหมือนกับจะร้องไห้และหัวเราะ
“ข้าอยู่อย่างมีหน้ามีตามากว่าค่อนชีวิต สุดท้ายต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ เสด็จพี่ท่านช่างโหดร้ายนัก!” นางร้องครวญไปเสียงหนึ่ง แล้วแผดเสียงไปว่า “เสด็จพ่อ!”
แม่นมสี่อยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงตะโกนของนางแล้วน้ำตาก็ร่วงริน นางเห็นเจ้าหญิงฮุ่ยผิงมาแต่เล็ก วันที่นางออกเรือนยังเป็นนางที่ช่วยซู่ไท่เฟยจัดการเรื่องสินสอด แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้
ครู่หนึ่งแล้วหลิวจิ้งก็ร้องไห้ออกมา โค้งคำนับให้แม่นมสี่ “แม่นมโปรดรอก่อน โปรดชี้แนะให้พวกเราพี่น้องด้วยเถิด”
ครั้นประหารฮุ่ยผิงแล้ว ทางโรงหมอหลวงก็ประกาศคำสั่งออกไป การดำเนินงานของแต่ละเมืองก็แข็งขันมากขึ้นไม่น้อย
อย่างไรหยวนชิงหลิงก็สงสารคุณย่า จึงไปช่วยงานทั้งที่ตั้งครรภ์อยู่
ตอนนี้ได้เลือกสถานที่ทำโรงหมอโรคระบาดตามฤดูกาลแล้ว สถานที่นี้ให้ดีที่สุดต้องเลือกอยู่ในที่ห่างไกล เลือกไว้หลายที่แล้ว แต่ย่าหยวนก็ยังไม่ค่อยพอใจ
หยวนชิงหลิงรู้ใจนางจึงหัวเราะเอ่ย “โรงหมอของเราเหมาะสมที่สุดใช่ไหม?”
ด้านหน้าของโรงหมอเป็นโรงเรียนแพทย์ ที่ดินตรงนี้ตอนนี้เป็นของจวนอ๋องฉู่ ตอนแรกที่เลือกสถานที่ก็ยุ่งยากอยู่เหมือนกัน
ย่าหยวนฟังคำพูดนางแล้วก็ยิ้มแย้ม “หลิงเอ๋อ โรงหมอโรคระบาดตามฤดูกาลต้องห่างจากที่พักของประชาชนระยะหนึ่ง รอบๆ ต้องมีที่เพียงพอ กว้างขวาง อากาศถ่ายเท ถึงจะเหมาะเป็นโรงหมอที่สุด”
หยวนชิงหลิงคล้องแขนนาง “ได้ ถึงเป็นย่าหลานกัน บัญชีก็ต้องคิดให้ชัด งบสร้างโรงหมอโรคระบาดตามฤดูกาลของโรงหมอหลวงเท่าไรหรือ?”
ย่าหยวนให้นางดูงบประมาณ หยวนชิงหลิงตะลึงงัน “สามแสนตำลึงเองหรือ? เสด็จพ่อจะให้ท่านทำโรงหมอแบบเงินก็ไม่มีเนี่ยนะ?”
“ฉะนั้นก็เลยได้แต่เอาจากคนกันเองนี่ไง ถ้าเลือกที่อื่นมาสร้าง แค่สร้างก็สามแสนห้าแสนตำลึงแล้ว” ย่าหยวนพูดอย่างจนใจ
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จะกินเงินหลวงหน่อยก็ไม่ได้กิน หนำซ้ำยังต้องควักเองอีก
“เอาเถอะ ท่านรับคำสั่งจากฝ่าบาทมาทำงาน เห็นแก่ท่าน สามแสนตำลึง ตกลง!” หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย
ย่าหยวนกุมมือนาง “ข้าไม่ใช่จะเอาเปรียบเจ้า แต่โรงหมอโรคระบาดตามฤดูกาลเนี่ยจำเป็นต้องมีจริงๆ ป้องกันโรคระบาดของทุกปี รวบรวมการรักษาแล้วก็จะง่าย เชื่อว่าต่อไปจำนวนคนที่ต้องตายเพราะโรคระบาดของทุกปีต้องลดลงเยอะแน่”
“คุณย่า เอาเถอะ ข้ารู้แล้ว อีกอย่าง ตอนนี้เพิ่มโรงหมอ โรงหมอแห่งนี้ของข้าก็ถอนตัวอย่างมีเกียรติได้แล้ว!”
หยวนชิงหลิงไม่เสียดายสักนิด ตอนแรกที่สร้างโรงหมอ เป็นงานของนางเอง ไม่ได้จากราชสำนักสักแดงเดียว เสียเปรียบขนาดนี้นางก็ยอมมาแล้ว ยังจะใส่ใจเรื่องแค่นี้หรือ?
อีกอย่าง ในมือนางไม่มีเงินจริงๆ ได้กลับมาสามแสนตำลึงไว้ในกระเป๋าก็ยังดี
เมื่อกลับจากโรงหมอหลวงถึงจวนแล้วก็ได้ยินว่าหลิวจิ้งบุตรชายคนโตของฮุ่ยผิงขอเข้าพบ
หยวนชิงหลิงชะงัก “ให้เข้ามา!”
นางรออยู่ในห้องโถงหลัก เห็นชายหนุ่มชุดขาวเดินเข้ามา หน้าตาเศร้าสลด สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ทังหยางนำเขาเข้ามาเอง เมื่อเข้ามาแล้วทังหยางก็ไม่ได้ออกไป แต่ยืนอยู่ข้างกายนาง
หลิวจิ้งทำความเคารพ “หลิวจิ้งคารวะพี่สะใภ้!”
เรียกพี่สะใภ้ เป็นการกระชับความสัมพันธ์
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถอะ!”
หลิวจิ้งส่ายหน้า “ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันพูดไม่กี่ประโยคก็จะไป”
หยวนชิงหลิงมองเขา “ว่ามา!”
หลิวจิ้งขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง นัยน์ตาทังหยางเคร่งเครียดเล็กน้อย ยืนอยู่ด้านหน้าหยวนชิงหลิง “คุณชายหลิวโปรดนั่งลงเถอะ!”
นัยน์ตาหลิวจิ้งขมึงขึ้นมา รู้ว่าทังหยางระแวงเขา เขาจึงฝืนยิ้มเยาะตัวเอง “พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วง จะบุ๋นจะบู้ก็ไม่สามารถทั้งนั้น ไม่ทำไปเรื่อยหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงพูดกับทังหยาง “ไม่เป็นไร ให้เขาพูดเถอะ”
ทังหยางได้ยินคำสั่งของหยวนชิงหลิงแล้วถึงได้ถอยออก
หลิวจิ้งมองหยวนชิงหลิง พูดอย่างจริงใจ “ที่มาครั้งนี้ เพราะหม่อมฉันพี่น้องหารือกันแล้ว ไว้ผ่านเจ็ดวัน (*วันที่ 7 หลังจากเสียชีวิต) ของท่านแม่แล้วเราก็จะไปจากเมืองหลวง เสด็จน้าทรงเมตตา ไม่ตรวจสอบสถานพยาบาลกับโรงงานยา แค่พวกเราพี่น้องทำการค้าไม่เป็นจริงๆ ก็เลยอยากขายกิจการพวกนี้ ไปตั้งหลักที่อื่นใช้ชีวิตอย่างสงบ อยากขอให้พี่สะใภ้ช่วยหน่อย ไม่ทราบจะช่วยหาคนซื้อโรงงานยากับเป่าหยวนถังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? พี่สะใภ้โปรดวางใจ ไม่ว่าขายได้เท่าไร พวกเราพี่น้องก็จะแบ่งครึ่งหนึ่งให้ท่านเป็นการขอบคุณ ขอพี่สะใภ้โปรดเป็นธุระเรื่องนี้ให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็มองเขา เอ่ย “ใครให้เจ้ามาหาข้า?”
ดวงตาหลิวจิ้งตื่นตระหนก “เออ…หม่อมฉันมาเองพ่ะย่ะค่ะ เรื่องการรักษาหยูกยาพวกหม่อมฉันพ่อน้องไม่รู้เรื่อง ถึงอยากขอให้พี่สะใภ้ช่วยสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”