บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1242 จับคน
หลังจากหลิวจิ้งหยิบตั๋วเงินแล้ว ก็ซ่อนไว้ในอุโมงค์ใต้ดินจวนตามที่อาหลิวบอก รอจนขายสถานพยาบาลกับยาที่กักตุนเรียบร้อยแล้วก็ออกจากเมืองหลวง
ทว่าวันนี้พี่น้องของหลิวจิ้งได้เงินก้อนโต ทั้งไม่อยากไปจากเมืองหลวง คืนวันนั้นจึงนัดกันไปเที่ยวที่หอสามบุปผา
หลังจากพวกเขาออกไปในตอนกลางคืนแล้วก็อาศัยยามราตรีออกไปด้วย
เมื่อเขาถึงที่นั่งชั้นดีในโรงน้ำชา สองด้านของที่นั่งชั้นดีปิดสนิท ด้านข้างใช้ผ้าม่านกั้นไว้ ด้านหน้ามีระเบียงบันได หันหน้าไปทางนักเล่าเรื่องที่อยู่กลางโรงน้ำชา จุดนี้เป็นที่นั่งของแขกระดับสูง นั่งตรงนี้ น้ำชากาหนึ่งต้องจ่ายถึงหนึ่งตำลึงสองตำลึง
เขาสั่งน้ำชามากาหนึ่ง นั่งฟังการเล่าเรื่อง เมื่อฟังจบก็เรียกคนขายใบชามา ให้รางวัลนักเล่าเรื่องสิบสองตำลึง กล่าวเรียบ “เชิญคนเล่าเรื่องมาให้ข้าหน่อย!”
พอคนขายใบชาเห็นเงินสิบสองตำลึง ลูกตาก็แทบจะถลน เขาไม่เคยพบเห็นแขกที่มือเติบเช่นนี้มาก่อน เอ่ยขอบคุณพลัน จากนั้นก็ไปตามนักเล่าเรื่องด้วยความเร็วรี่
เมื่อนักเล่าเรื่องตบรางวัลถึงสิบสองตำลึงก็ตามคนขายใบชามายังที่นั่งชั้นดี
เปิดม่านเข้าไปแล้วนักเล่าเรื่องก็รีบโค้งตัวขอบคุณ
อาหลิวช้อนตาเรียบ “นั่ง!”
“เออ…” นักเล่าเรื่องเห็นแขกไม่เหมือนคนชั้นสูง แต่กลับมือเติบตบรางวัลให้เช่นนี้แล้วก็นั่งลงตามที่บอก ปรนนิบัติน้ำท่าอย่างระมัดระวัง “เชิญขอรับ!”
อาหลิวไล่ให้คนขายใบชาออกไป จากนั้นก็ล้วงตั๋วเงินจากแขนเสื้อออกมาใบหนึ่ง ดันออกไปช้าๆ
เมื่อนักเล่าเรื่องเห็นมูลค่าตั๋วแลกเงินพันตำลึง ก็ตกใจจนตาตั้ง “ท่าน นี่คือ?”
“ทำงานให้ข้า เรียบร้อยแล้วยังมีค่าเหนื่อยอีกสองเท่า!” อาหลิวมองเขาพลางเอ่ย
นักเล่าเรื่องไม่ได้รับไว้ในทันที แต่เอ่ยถามก่อน “ไม่ทราบท่านต้องการให้ข้าน้อยทำเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
อาหลิวมองเขา ยิ้มน้อยๆ “วางใจเถอะ ไม่ยากหรอก แค่เรื่องไม่กี่ประโยคเท่านั้น การเล่าเรื่องในวันพรุ่งนี้ ข้าต้องการให้เจ้าเล่าเรื่องเรื่องหนึ่ง เล่าเรื่องนี้จบแล้วเจ้าก็เก็บข้าวของออกเมืองหลวงทันที ข้าจะรอเจ้าที่ประตูเมือง เอาตั๋วเงินที่เหลือให้”
นักเล่าเรื่องเอ่ยถาม “เป็นเรื่องอะไรหรือขอรับ? ข้าน้อยต้องฟังดูก่อน”
อาหลิวยื่นมือออกไปเกี่ยวนิ้ว “เข้ามาสิ!”
นักเล่าเรื่องเงี่ยหูไป “เชิญท่านกล่าวมาได้!”
“เรื่องนี้ก็คือองค์รัชทายาทในตอนนี้วางแผนให้ร้ายเจ้าหญิงฮุ่ยผิว ทำให้นางตายแล้วก็หลอกบุตรชายเจ้าหญิงฮุ่ยผิงขายโรงงานยา แย่งเงินครึ่งหนึ่ง…”
เมื่อเขาพูดไปครึ่งหนึ่งแล้วก็หยุด มองมีดสั้นเย็นเฉียบตรงลำคอ แล้วเงยหน้ามองนักเล่าเรื่องอีกครั้ง นักเล่าเรื่องจับมีดสั้น ใบหน้ามีรอยยิ้มเย็นชา “แต่งเรื่องให้องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันหรือ? เจ้าเป็นใคร?”
สายตาอาหลิวแวบความตกใจ แต่กระนั้นก็ยังสงบ “แล้วเจ้าเป็นใคร?”
นักเล่าเรื่องหัวเราะชืดๆ “ข้าเป็นใครเจ้าไม่ต้องสนใจ แต่เจ้าต้องไปกับข้า!”
อาหลิวยิ้มเย็น “แล้วถ้าข้าว่าไม่ล่ะ?”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว!” นักเล่าเรื่องยกมีดสั้นที่อยู่ในมือ “ถ้าไม่อยากให้บนคอมีรูเพิ่ม งั้นก็ไปกับข้า”
แต่อาหลิวกลับเบี่ยงศีรษะ มีดสั้นของนักเล่าเรื่องเคลื่อนออกไป ความไวไม่เท่าเขา ล้วงมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อโจมตีนักเล่าเรื่อง นักเล่าเรื่องชะงัก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวรยุทธ์ หลบไปอย่างรีบร้อน
ห้องส่วนตัวนี้แคบเล็ก ไม่อาจลงมือได้เต็มที่ ทั้งสองถือมีดสั้นไปๆ มาๆ สู้กันอย่างอึดอัดอัตคัด อาหลิวอยากพลิกตัวจากที่กั้นกระโดดลงข้างล่าง แต่นักเล่าเรื่องจะจับเขาให้ได้ มีดสั้นรั้งตัวเขาไม่ยอมให้เขาไป หลังจากผ่านไปหลายกระบวนท่าเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างเพลี่ยงพล้ำ
เมื่อแขกในโรงน้ำชาด้านล่างได้ยินเสียงวิวาทก็พากันเงยหน้าขึ้นมาดู เห็นมีมีดก็ตกใจวิ่งออกไป
แต่กลับมีสองคนที่ถือกระบี่เข้ามา มุ่งไปยังห้องส่วนตัว “ท่านให้เขากระโดดลงมาเถอะ!”
อาหลิวมองลงด้านล่างระหว่างที่ตกใจ เห็นชายชุดแพรสีดำสองคนถือกระบี่อยู่ข้างล่าง เขากัดฟัน เปิดม่านแล้วหนีออกไป พอม่านทิ้งตัวลงกระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ชี้อยู่ที่ลำคอเขา
อาหลิวตั้งสติมอง นั่นคือสวีอี
สวีอีมองเขาอย่างเย็นชา เอ่ย “อยากลองว่ากระบี่ข้าจะเร็วพอไหม?”
อาหลิวหน้าซีด แค่นหัวเราะออกมา พูดเสียงดัง “ที่แท้ก็ท่านแม่ทัพสวีอีแห่งจวนอ๋องฉู่นี่เอง ไม่ทราบว่าข้าทำผิดอะไรถึงต้องให้คนมาดักข้าเยอะแยะเช่นนี้ด้วย? จะปิดปากข้าหรือ? ไม่อยากให้ใครล่วงรู้พฤติกรรมชั่วที่องค์รัชทายาทวางแผนจงใจทำร้ายเจ้าหญิงฮุ่ยผิงใช่ไหมเล่า?” สวีอีถุยทีหนึ่ง “จงใจให้ร้ายเจ้าหญิงฮุ่ยผิง? เจ้าก็พูดออกมาได้นะ เจ้าหญิงฮุ่ยผิงในใจประชาชนเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้เลยหรือ? อย่างสร้างเรื่องใส่ความองค์รัชทายาท ใครจะเชื่อเจ้า”
องครักษ์ลับผีที่อยู่ด้านล่างกระโดดขึ้นมา พูดเย็น “พอเถอะ ไม่มีคนอยู่แล้ว ยังจะพล่ามอะไรอีก?”
อาหลิวมองดูข้างล่าง ในโรงน้ำชาไม่มีคนอื่นจริง เขากัดฟัน ดวงตาเหี้ยม ถือมีดสั้นคิดจะทำร้ายสวีอี แต่กลับไม่ทันระวังเชือกเส้นหนึ่งที่ลอยมา รัดสองมือของอาหลิว ปลายเชือกอยู่ในมือขององครักษ์ลับผี เมื่อออกแรงกระชาก อาหลิวก็ล้มลง
“เอาตัวไป!” สวีอีเอ่ย
องครักษ์ลับผีกระชาอาหลิว พลิกตัวกระโดดลงจากที่กั้น เดินออกจากประตูหลักของโรงน้ำชาอย่างไม่สนใจ
อาหลิวยังอยากพูดพล่ามอีก แส้ขององครักษ์ลับผีนายหนึ่งจึงฟาดไปที่ปากเขา ฟาดจนแก้วมีเลือดไหลซิบ พูดไม่ออก
สวีอีสำรวจมองนักเล่าเรื่อง ประสานมือ “ไม่ทราบท่านคือผู้ใด?”
เมื่อครู่สวีอีดักซุ่มอยู่ด้านนอกแล้ว ได้ยินการสนทนาของทั้งสองมาโดยตลอด รอแต่เวลาลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่านักเล่าเรื่องคนนี้จะลงมือก่อน
นักเล่าเรื่องยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าองค์กรที่แปดแห่งสำนักเหลิ่งหลัง”
“ที่แท้ก็คนของสำนักเหลิ่งหลัง มิน่าล่ะถึงได้ยื่นมือเข้าช่วย!” สวีอีประสานมือทำความเคารพ “ขอบคุณมาก!”
“เล็กน้อยเท่านั้น!”
ครั้นแล้วสวีอีก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ท่านเป็นคนของสำนักเหลิ่งหลัง แล้วทำไมจึงมาเล่าเรื่องอยู่ที่นี่เล่า?”
หัวหน้าองค์กรที่แปดเอ่ย “องค์กรที่แปดชื่อว่าองค์กรเทียนตี้ทงเก็บข้อมูลโดยเฉพาะ ย่อมต้องแฝงตัวอยู่ในโรงน้ำชาอยู่แล้ว แน่นอน โรงน้ำชานี้ก็เป็นของท่านชายสี่ของเราด้วย”
สวีอีสูดลมเย็น “การค้าโรงน้ำชาแห่งนี้ดีมาก ท่านชายสี่ของพวกท่านร่ำรวยเสียจริง”
หัวหน้าองค์กรที่แปดหัวเราะอย่างทระนง “นี่เท่าไรกัน? ในเป่ยถังโรงน้ำชาเช่นนี้ไม่มีถึงร้อยก็มีเก้าสิบเก้าแห่ง ในสำนักเหลิ่งหลัง โรงน้ำชาทำรายได้ได้น้อยที่สุด จุดประสงค์เพื่อสืบหาข่าว การได้ข่าวมามีราคายิ่งกว่าโรงน้ำชาแห่งหนึ่งเสียอีก”
ลูกตาสวีอีเบิกโพลงขึ้นไปอีก ความยากจนข้นแค้นจำกัดความสามารถในการจินตนาการของเขา ชาตินี้หากเขามีโรงน้ำชาเช่นนี้ได้สักแห่งก็รู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร้อยแห่ง แถมนี่ยังทำกำไรได้น้อยที่สุดอีก
ถึงจะรู้ว่าท่านชายสี่ร่ำรวยมาก แต่ร่ำรวยถึงขนาดนี้ยังทำให้สวีอีตะลึง
“แม่ทัพสวี มีเวลาก็มาดื่มชา ข้าจะรับรองท่านเอง ข้ามีชาเกาซันหยุนอู้ที่มาจากต้าซิง เป็นของดี” หัวหน้าหัวเราะพลางเอ่ย
สวีอีประสานมือกล่าวขอบคุณแล้วจากไป คำพูดเหล่านี้ฟังมากไม่ได้ ยิ่งฟังมากก็ยิ่งไม่อยากเป็นผู้เป็นคน เขาย่อมรู้ว่าชาเกาซันหยุนอู้ที่มาจากต้าซิงเป็นของดี ขนาดในวังยังมีไม่มาก เขาไม่เคยดื่ม ชาตินี้ก็คงไม่ได้ดื่มเช่นกัน