บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1244 ใจคิดคด
หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อก็ไม่สนับสนุนเขาด้วย มิน่าล่ะขุนนางราชสำนักถึงได้คัดค้าน
ที่จริง มีคนมากมายที่กลัวสงคราม เมื่อเปิดศึกแม่น้ำภูเขาก็จะทลายเป็นเสี่ยง พสกนิกรต้องพลัดพราก หวาดเกรงไม่เป็นสุข โดยเฉพาะตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าสงบสุขรุ่งเรือง การทำสงครามในเวลานี้จะทำให้แคว้นไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีก
แต่การยั่วยุของเป่ยโม่เคยหยุดที่ไหน? แรกเริ่มร่วมมือกับต้าโจว ที่จริงเป่ยโม่ไม่ถือว่าเข้าร่วมสงครามจริงๆ พวกเขาแค่สะสมกองกำลังเท่านั้น
ส่วนต้าโจวที่มีกองกำลังเกรียงไกร สองปีก็ไม่ผ่อนปรน สร้างความแข็งแกร่งทางชายแดนของตัวเอง พัฒนาเศรษฐกิจภายในมาตลอด ตอนนี้สามีภรรยาเฉินจิ้งถิงอยู่ที่เมืองเม่า เฝ้าชายแดนกับเซียนเปย ทว่าที่ห่างจากเมืองเท่านับร้อยลี้คือเมืองหลิ่งเก๋อของเป่ยโม่ ถือเป็นตำแหน่งสำคัญทางการทหารของเป่ยโม่เช่นกัน
ต้าโจวไม่เคยผ่อนกำลัง แต่เป่ยถังกับชะล่าใจ เป่ยโม่ไม่สู้กับเขาแล้วจะสู้กับใคร?
แต่เรื่องเหล่านี้นางไม่อาจช่วยได้ เห็นเจ้าห้าที่เครียดจนหงุดหงิดจิตใจว้าวุ่นแล้วก็ได้แต่พูดปลอบเสียงเบาเท่านั้น
หยู่เหวินเห้ากุมมือนาง ปรับอารมณ์เอ่ย “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว กินข้าวเป็นเพื่อนเจ้า วันนี้ไม่กลับที่ทำการปกครองแล้ว”
“อื่ม!” หยวนชิงหลิงรับคำ แล้วเดินออกไปกับเขา
ทังหยางกับสวีอีที่อยู่ด้านนอกก็ตามไปด้วย หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ทังหยางก็เข้าห้องหนังสือกับหยู่เหวินเห้า
ช่วงเย็น หยู่เหวินเห้าเขียนจดหมายหาอ๋องเว่ย ให้เขาเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของเป่ยโม่
ผ่านไปหลายวัน เหลิ่งจิ้งเหยียนก็ส่งข่าวกลับมา บอกว่าใกล้จะเจรจากับหมอผีของเจียงเป่ยแล้ว หากราบรื่น ก็มีหวังว่าจะยุติสงครามได้ แต่เงื่อนไขที่เจียงเป่ยเอ่ยมา เรื่องอื่นพอว่าได้ แต่มีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือต้องละเว้นภาษีของเจียงเป่ยตลอดไป ห้ามตรึงกำลังทหาร ห้ามตั้งจวนส่งขุนนางมา หรือก็หมายถึงเจียงเป่ยยังคงปกครองตนเอง และไม่อยู่ในการควบคุมของราชสำนัก
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่อาจยอมรับ ให้เหลิ่งจิ้งเหยียนไปเจรจา อย่างมากคือละเว้นภาษีได้สามปี ต้องมีการตรึงกำลังทหาร แต่เจียงเป่ยต้องอยู่ในการปกครองควบคุมของอ๋องหนานเจียง
นี่คือที่สุดแล้ว ดูว่าเหลิ่งจิ้งเหยียนจะไปเจรจาอย่างไร
ในช่วงเวลาสำคัญ ท่านชายสี่เหลิ่งมายังจวนอ๋องฉู่ อีกทั้งครั้งนี้ยังพาหยู่เหวินเห้าเข้าห้องหนังสือไปทันที
หยวนชิงหลิงเห็นเขาเดินเข้ามา ชีวิตนี้นางไม่เคยเห็นท่านชายสี่เหลิ่งเดินจ้ำเร็วเช่นนี้มาก่อน ที่แล้วมาล้วนเอามือไพร่หลัง ท่าทางยุรยาตรอย่างกับผู้เฒ่าเลี้ยงนก ทว่าวันนี้กลับว่องไวฉับๆ เป็นพิเศษ ทั้งหรงเยว่ก็ตามมาด้วย แต่นางไม่ได้เข้าห้องหนังสือ
หยวนชิงหลิงลากหรงเยว่เข้าห้อง “เกิดอะไรขึ้น?”
หรงเยว่ให้ลู่หยาออกไปก่อน ปิดประตู แล้วหันมามองหยวนชิงหลิง เอ่ยอย่างหนักใจ “เทียนตี้ทงของสำนักเหลิ่งหลังได้ข่าวมา บอกว่ามีคนให้เงินหนึ่งล้านตำลึงทองซื้อศีรษะองค์รัชทายาท”
“อะไรนะ?” หยวนชิงหลิงระทึกถึงที่สุด หนึ่งล้านตำลึงทอง เช่นนั้นหากแลกแล้วก็มากกว่าเงินขาวสิบล้านก้อน
“ผู้ใดกัน?” หยวนชิงหลิงถามไปโดยไม่ทันคิด ใบหน้าซีดเผือด
“วางเงินหนึ่งล้านตำลึงทองได้ ย่อมไม่ใช่ผู้ใดก็ได้” หรงเยว่มองนางนิ่ง “มีเพียงแคว้นเดียวที่มีทรัพย์มากขนาดนี้ แน่นอน ไม่ใช่ว่าพ่อค้าก็มีเงินจำนวนนี้ได้ แต่พ่อค้าไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินทั้งหมดมาต่อกรกับองค์รัชทายาท”
หยวนชิงหลิงชะงักงันมองนาง “เป่ยโม่หรือ? คนเป่ยโม่ถึงกับใช้วิธีนี้? หนึ่งล้านตำลึงทองเชียวนะ!”
“ท่านชายสี่บอกว่าหลายปีมานี้เป่ยโม่ทุ่มกำลังทั้งหมด ท้องพระคลังหมดไปนานแล้ว ดังนั้นจึงสงสัยว่าหนึ่งล้านตำลึงทองจะเป็นของหงเล่ ตอนที่หงเล่ร่วมเป็นพันธมิตรกับเขาได้บอกที่ซ่อนทองกับคนเป่ยโม่ ฉะนั้นเมื่อคนเป่ยโม่ได้ทองจำนวนนี้แล้วก็ซื้อศีรษะขององค์รัชทายาทก่อนเป็นอันดับแรก ทรงเป็นผู้นำทัพ หากทรงเกิดเรื่อง เป่ยถังก็จะไร้ผู้นำ ต้องวุ่นวายระยะหนึ่ง คนเป่ยโม่ก็จะฉวยโอกาสเข้ารุกราน บุกตอนพวกเราไม่ทันระวังตัว หากจบสงครามได้ในเวลาอันสั้น เช่นนั้นหนึ่งล้านตำลึงทองก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะเป่ยโม่ยืดเยื้อได้ไม่นาน สามปีห้าปี จะแค่ล้านตำลึงทองหรือ? ฉะนั้นการแลกเปลี่ยนนี้จะคิดยังไงก็คุ้มมาก”
ครั้งนี้หยวนชิงหลิงสัมผัสถึงความทุกข์ที่อยู่ในครอบครัวชาราได้แล้วจริงๆ แม้มีอำนาจอยู่ในมือ แต่กลับทำให้ตัวเองอยู่ในอันตรายด้วย
“เจ้าก็ไม่ต้องห่วงมากไป ที่ท่านชายสี่มาครั้งนี้ก็เพื่อวางกำลังป้องกันที่จวนอ๋องฉู่ พร้อมกันนั้นก็จัดการคุ้มกันองค์รัชทายาทอย่างลับๆ ด้วย อย่างไรก็อยู่แต่จวนไม่ได้ เพียงแต่วิกฤตครั้งนี้หนักหนายิ่งกว่าครั้งไหนๆ หนึ่งล้านตำลึงทอง ต้องมีผู้คนมากมายเท่าไรแห่กันมา ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ และตามข่าวที่เทียนตี้ทงได้มา คนที่มาจากกระดูกมนุษย์หมาป่าก็อาจมาด้วย”
“คนที่มาจากกระดูกมนุษย์หมาป่า? ไม่ใช่ว่าตายไปเกือบหมดแล้วหรือ?” หยวนชิงหลิงตื่นตระหนกขึ้นมา คนที่มาจากกระดูกมนุษย์หมาป่าโหดเหี้ยมแค่ไหน วรยุทธ์สูงเพียงใด ดูจากฮุ่ยเทียนและหงเย่ก็รู้ได้
“ไม่ กระดูกมนุษย์หมาป่าเปลี่ยนสามปีครั้ง คนพวกนี้เมื่อออกมาแล้วต้องทำงานให้หงเล่แปดปี หลังจากนั้นหากไม่ตายก็แลกกับอิสระได้ และคนพวกนี้เมื่อออกจากหงเล่แล้ว ก็มีหลายคนที่มาทำงานมืด”
“งานมืด?”
หรงเยว่กล่าวอธิบาย “งานมืด ถ้าเป็นอาชีพอย่างเรา ก็คือไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นใคร ขอเพียงเงินถึง ต่อให้เป็นเง็กเซียน…เออ ก็คือไม่ว่าฐานะสูงส่งสำคัญขนาดไหน พวกเขาก็รับหมด”
หยวนชิงหลิงกระวนกระวาย แต่กลับเห็นท่าทางหรงเยว่เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูดอีก จึงเอ่ย “เจ้าพูดมาให้หมดเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องคาดเดาเองไปเรื่อย”
หรงเยว่มองนาง แล้วถอนหายใจหนัก “พอประกาศเงินรางวัลแพร่ออกไป เห็นว่าหนานเปียนเค่อก็ออกมาด้วย แต่จะมาเมืองหลวงหรือไม่ จะมาเพื่อเงินล้านตำลึงทองหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“หนานเปียนเค่อ? ผู้ใดกัน?”
เมื่อหรงเยว่เอ่ยถึงคนผู้นี้ก็หวั่นกลัวบ้างเหมือนกัน เอ่ย “เขาเป็นจอมมารกระบี่วงการนักฆ่าที่ใครได้ยินชื่อต้องสะท้าน กระบี่ไวปานสายฟ้า พลังภายในล้ำลึก แค่ดอกไม้ใบหญ้าก็ปลิดชีวิตคนได้ แม้นระยะห่างสิบจั้ง เมื่อเขาใช้กระบี่ ไอกระบี่ก็ฆ่าคนได้”
ใบหน้าของหยวนชิงหลิงขาวซีดไปทันที สั่นเทิ้มทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ “ตอนนั้นทางตระกูลซูใช้เงินแสนตำลึงเอาชีวิตข้า ทำให้คนทั้งยุทธจักรคลุ้มคลั่งกับเรื่องนี้ ตอนนี้ล้านตำลึงทอง นอกจากพวกเขาแล้ว ไม่รู้ยังมีคนอีกสักเท่าไรที่เคลื่อนไหวเพราะข่าวนี้ หรงเยว่ สำนักเหลิ่งหลังสามารถทัดทานได้หรือไม่?”
หรงเยว่ไม่อยากปิดบังนาง “ทุกฝ่าย ทุกสำนักมือสังหาร หรืออาจพูดว่าจอมมารกระบี่ กระดูกมนุษย์หมาป่า ขอเพียงไม่ได้กรูกันเข้ามาพร้อมกัน แต่มาก่อนหลังตามลำดับ สำนักเหลิ่งหลังก็รับมือได้”
หรืออาจพูดได้ว่าที่จริงแล้วสำนักเหลิ่งหลังประกันความปลอดภัยของเจ้าห้าไม่ได้ เพราะคนที่เคลื่อนไหวเพราะเงินล้านตำลึงทองมีมากเหลือเกิน มากจนถึงระดับไหนก็มิอาจจินตนาการได้
จิตใจหยวนชิงหลิงเย็นเฉียบ แม้แต่ท่านชายสี่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ เช่นนั้นก็ไร้หนทางแล้วจริงๆ
“ซ่อนตัวได้หรือไม่?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม ทั้งรู้สึกว่าตนถามคำถามที่โง่เขลานัก นักฆ่ามากมายเช่นนั้น จะหลบไปที่ใดได้? และถึงจะหลบจริงๆ แต่จะต่างอะไรกับถูกสังหารเล่า? ถูกเป่ยโม่ฉวยโอกาสบุกเข้ามาได้เหมือนกัน
นางเอ่ยชืด “เมื่อก่อนบอกว่าคนเป่ยโม่ไม่เล่นลูกไม้สกปรก ไม่ใช้กลอุบาย แต่แม้นเป็นการรุกหนัก เสด็จพ่อทรงยังอยากซ่อนคมเอาไว้ นั่นมิใช่…”
ถึงจะโกรธจัด แต่อย่างไรก็พูดคำว่าขี้ขลาดออกมาไม่ได้
“อย่าเพิ่งห่วง ถึงยังไงเราก็จะตั้งรับแน่นหนา นอกจากสำนักเหลิ่งหลัง ยังมีองครักษ์ลับผี สำนักเหมยแดง ทหารรักษาพระองค์ของกู้ซือก็ช่วยได้ แต่ หากต้องเปิดสงครามจริง เช่นนั้นองค์รัชทายาทก็ทรงทำการเองไม่ได้ มิเช่นนั้นคนพวกนี้ก็จะกลายเป็นผู้ช่วยของเป่ยโม่ คนพวกนี้วรยุทธ์พิสดารสูงส่ง ท่ามกลางทหารนับพันก็ไปมาได้อิสระ ไม่สะดวกจะเดินทางจัดการเรื่องทหาร นี่คงเป็นจุดประสงค์ที่สองของตระกูลฉิน หากขัดขวางการทำสงครามกับเป่ยถังไม่ได้ เช่นนั้นก็ขวางไม่ให้เขานำทัพ!”