บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1245 เราเป็นทัพหน้า
ท่านชายสี่สนทนากับหยู่เหวินเห้าในห้องหนังสือหนึ่งชั่วยามเศษ หลังจากท่านชายสี่บอกเล่าสถานการณ์แล้ว การหารือของพวกเขาก็คือจะเฝ้าระวังอย่างไร เร่งวิจัยอาวุธ เกลี้ยกล่อมขุนนางในราชสำนักและเสด็จพ่อให้เห็นพ้องกับการทำสงครามอย่างไร
หยู่เหวินเห้าไม่กลัว เขาห่วงแต่เจ้าหยวนจะกลัว ดังนั้นหลังจากหารือกับท่านชายสี่แล้ว เขาก็กลับไปหาหยวนชิงหลิงที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ทันที
หรงเยว่จากไปแล้ว หยวนชิงหลิงเย็บเสื้อผ้าให้ตอเป่าอยู่ในห้อง ตอเป่าหมอบอยู่แทบเท้านาง ใบหน้าตั้งชัน เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้าเข้ามาแล้ว มันก็ส่ายหาง ขยับออกด้านข้าง
หยู่เหวินเห้าเข้าไปกอดหยวนชิงหลิง เห็นขอบตานางแดงเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไร”
หยวนชิงหลิงมองเขา ดวงตาแดงขึ้นอีกบางส่วน “ข้ารู้ มีสำนักเหลิ่งหลัง มีคนมากมาย ไม่เป็นไร แถมยังมีเจ้าแฝดสอง แฝดสาม หมาป่าหิมะ เสือน้อย พวกเราอาจไม่แพ้ให้พวกเขา”
ตอเป่าร้องหงิงๆ หยวนชิงหลิงจึงมองมันแล้วหัวเราะ หัวเราะจนสะอื้น “ตอเป่าบอกว่า มันก็ช่วยได้”
หยู่เหวินเห้าเห็นนางพยายามปกปิดความกังวลอย่างหนัก ยื่นมือออกไปกอดนางเข้าอ้อมอก “นั่นสิ เพราะงั้นเจ้ายิ่งไม่ต้องเป็นห่วง ข้ากับท่านชายสี่วางแผนกันแล้ว แค่ส่งทหารไปเร็วๆ ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องประกาศเงินรางวัลอีก เพราะพอส่งทหารไป คนเป่ยโม่ก็จะไม่อยากเสียทอง ต้องดึงกลับมาเตรียมรบแน่”
“อื่อ!” เมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดมั่นใจของเขาแล้ว ก็สงบใจอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมาก
อย่างไม่รู้ตัว ที่จริงเขาได้เติบใหญ่เป็นวีรบุรุษที่แบกแผ่นดินเป่ยถังได้แล้ว
ต่างจากที่เพิ่งรู้จักในตอนแรกเป็นคนละคน
นางมั่นใจในเขา วิกฤตกี่ครั้งกี่หนก็ผ่านมาแล้ว ครั้งนี้จะอย่างไร?
ทั้งสองโอบกอดกัน ให้พลังกับอีกฝ่าย ขณะที่ปล่อยนาง แววตานางได้กลับคืนสู่ความมุ่งมั่นดังเดิมแล้ว
สายตาเขาเคลื่อนไปทางเสื้อผ้าที่อยู่บนโต๊ะ “ของตอเป่าหรือ? ขาดแล้วหรือ?”
“สู้กับหมาป่าหิมะอยู่เรื่อย ถูกหมาป่าหิมะกัดขาด” หยวนชิงหลิงหัวเราะ แล้วหยิบขึ้นมาอีก “ข้าซ่อมไปนิดหน่อย มันรอใส่อยู่แน่ะ”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะพลางเอ่ย “ที่จริงข้าเพิ่งเคยเห็นว่าหมาใส่เสื้อผ้าด้วย แต่ที่บ้านเกิดเจ้ากลับมีเยอะ”
“ตอเป่าแก่แล้ว ขี้หนาว” หยวนชิงหลิงมองตอเป่าสายตาหนึ่ง ตอเป่ายังหมอบอยู่แทบเท้านาง ดำเมี่ยมเป็นมัน อย่างไม่รู้ตัว ตอเป่าอยู่เป็นเพื่อนนางได้ห้าหกปีแล้ว
ตอนที่ตอเป่าถูกรับมาก็เป็นสุนัขเต็มวัยแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าพระยาหุ้ยติ่งเลี้ยงมานานเท่าใด ก่อนหน้านี้รู้สึกเสมอว่าตอเป่ายังหนุ่ม แต่พอขนบนหน้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ถึงตกใจว่าตอเป่าได้ย่างเข้าช่วงท้ายแล้ว
เดิมทีบนตัวมันก็มีรอยแส้ เจ้าพระยาหุ้ยติ่งลงแส้กับมัน ตอนนี้ร่องรอยกระจายเต็มตัว ขนไม่งอก ฤดูหนาวมันจึงหนาว ที่ทำเสื้อผ้าให้มันก็เพราะปีก่อนเห็นมันตัวสั่นอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน ไม่กล้าไปตรงที่มีหิมะ
หยู่เหวินเห้าอุ้มตอเป่าขึ้นมา สองเท้ามันหยัดอยู่ที่หัวเข่าเขา ยืนขึ้น ยังคงท่วงท่าน่าเกรงขาม ตอนที่รับมันมาใบหน้าเลือดเนื้อเละเทะ พอรักษาหายแล้วก็เหลือเป็นรอยแผลเป็น ซึ่งรอยนี้ทำให้ตอเป่าดูน่าเกรงขามไปทุกทิศ
หลายปีมานี้หยู่เหวินเห้าเอ็นดูเอาใจมันมาก เพราะหากไม่มีมัน เจ้าหยวนคงต้องตายอยู่ในเงื้อมมือเจ้าพระยาหุ้ยติ่งแล้ว
เขาหอมตอเป่าทีหนึ่ง “พริบตาเดียว ตอเป่าของข้าก็แก่แล้ว”
ตอเป่าคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าเข้า แล้วหนุนศีรษะกับบ่าเขา
หยู่เหวินเห้าอุ้มมัน มองหยวนชิงหลิงแล้วเอ่ย “ช่วงนี้ข้านึกถึงเรื่องเก่าๆ อยู่บ่อยๆ เจ้าหยวน ถ้ากลับไปได้อีกครั้ง ตอนนั้นข้าจะไม่ทำอย่างนั้นกับเจ้า”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง “เรื่องนานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังพูดถึงอีกล่ะ?”
เขาเอามือลูบตามขนของตอเป่า นัยน์ตาลึก “ข้าแค่กำลังคิด ถ้าว่าชาตินี้มีเรื่องอะไรที่เสียดาย เสียใจ เช่นนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่เคยทำไม่ดีกับเจ้า บางทีเจ้าอาจไม่ใส่ใจแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นยังปรากฏอยู่ในดวงตาข้า!”
หยวนชิงหลิงวางเข็มกับด้าย เอียงศีรษะมองเขา “ทำไมจู่ๆ มาพูดเรื่องพวกนี้ล่ะ? พูดเสียจนข้าหวั่นใจ อย่างกับตาเฒ่าอายุเจ็ดแปดสิบรำลึกความหลังครึ่งชีวิตแรกแน่ะ อย่าพูดอีกเลย”
เขาจ้องมองนาง แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม “ได้ ไม่พูดแล้ว”
ทว่าหยวนชิงหลิงกลับเอ่ย “เจ้าก็อย่าเสียดายหรือเสียใจไป เพราะเจ้าต้องใช้ทั้งชีวิตชดเชยสิ่งที่เจ้าทำแย่ๆ กับข้า ชาตินี้ เจ้าอย่าหวังจะไปก่อนข้า ไม่ว่าอุปสรรคอะไร เจ้าก็กัดฟันสู้ต่อไปเพื่อข้า”
“ต้องแน่อยู่แล้ว!” เขาเอ่ยเสียงเบา
หยวนชิงหลิงยิ้ม ทว่ากระบอกตากลับแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่อีก
เมื่อซ่อมเสื้อผ้าเสร็จก็สวมให้ตอเป่า ครั้นแล้วมันจึงเดินจากไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
หยู่เหวินเห้ากอดหยวนชิงหลิง “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่าอุปสรรคจะยากสักแค่ไหน ข้าก็จะผ่านไปให้ได้!”
หยวนชิงหลิงซบอยู่ในอ้อมแขนเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นทรงพลัง รับคำไปเงียบๆ
เนื่องจากไท่ซ่างหวงไม่ค่อยสบาย ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงเข้าวังในวันถัดมา
ที่จริงตอนที่นางเข้าวังยังห่วงว่าไท่ซ่างหวงไม่อยากพบนาง แต่เมื่อไท่ซ่างหวงเห็นนางมาก็ดีใจมาก
พวกเขาทั้งสามกำลังเดินหมากอยู่ในตำหนัก เซียวเหยากงกับโสวฝู่ฉู่กำลังวางหมาก ส่วนไท่ซ่างหวงเป็นผู้สังเกตการรบ ดังนั้นจึงสนทนากับหยวนชิงหลิงได้นิดหน่อย
ทั้งสามต่างไอเล็กน้อย เสียงขึ้นจมูกหนัก ท่าทางเป็นหวัดงอมแงม แต่กินยาที่หมอหลวงจัดให้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่จัดยาอีก
ไท่ซ่างหวงถึงถามสาเหตุที่เจ้าห้าไม่มา หยวนชิงหลิงเอ่ย “เขาเรียกขุนนางมาปรึกษาธุระเพคะ วันพรุ่งนี้มีเวลาแล้วจะให้เขามา”
“ให้เขาทำงานไปเถอะ ไม่รีบ ข้าไม่เป็นอะไร แค่ถามไปอย่างนั้น” ไท่ซ่างหวงหันหน้ามามองนาง “สองสามวันนี้เขาได้พูดอะไรไหม?”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าไท่ซ่างหวงหมายถึงอะไร ในตำหนักฉินคุน นางสามารถกล่าวได้ตามตรง ไม่ต้องคำนึงให้มาก หากเป็นที่อื่น นางจะไม่กล้าเอ่ยสักคำ “เขาคิดว่าควรเตรียมทำศึกเพคะ แต่คนที่สนับสนุนเขามีไม่มาก ฉะนั้นจึงร้อนใจเล็กน้อย”
“ฮ่องเต้ไม่สนับสนุนเขาก็เลยร้อนใจละสิ” ไท่ซ่างหวงหยิบน้ำร้อนขึ้นดื่ม จากนั้นก็เงยหน้า ให้จมูกโล่ง แล้วมองหยวนชิงหลิงเอ่ยอีก “ชีวิตนี้ที่ฮ่องเต้กลัวที่สุดก็คือสงคราม หลายปีที่เขาครองตำแหน่ง ขอเพียงหลีกเลี่ยงสงครามได้เขาก็จะทำ เพราะราชสำนักเป่ยถังเรามีแม่ทัพที่ออกสนามรบได้ไม่กี่คนจริงๆ ดีที่เจ้าห้ากับพี่น้องเอาถ่าน อายุน้อยๆ ก็ทำผลงานในสนามรบแล้ว แต่แม้ทุ่มเทกำลังทั้งหมด การรบที่กำลังจะรับศึกกับเป่ยโม่ในตอนนี้ก็ต่างจากที่แล้วมามาก ที่ฮ่องเต้เป็นห่วงก็คือ ไม่มีแม่ทัพใหญ่ กลัวว่าลูกชายตัวเองต้องเข้าสมรภูมิ”
โสวฝู่ฉู่เดินหมากอยู่ข้างๆ หันมาถามประโยคหนึ่ง “สมัยก่อนตอนที่ร่วมมือกับต้าโจวรบกับแคว้นซู่และเป่ยโม่ องค์รัชทายาทนำทัพ ฝ่าบาทก็มิทรงบรรทม มิใช่ว่าทรงขลาด เพียงแต่เรื่องทหารของเป่ยถัง ยังห่างชั้นกับเป่ยโม่อยู่มาก”
เซียวเหยากงก็พูดเสริมขึ้นด้วย “ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมบอกนานแล้ว ในแคว้นต้องพัฒนา จะลดทหารไม่ได้เด็ดขาด ตัดลดค่าใช้จ่ายทหาร การเตรียมศึกเป็นเรื่องจำเป็น หากไม่เตรียมก็จะถูกเป่ยโม่กดขี่ได้”
หยวนชิงหลิงฟังทั้งสามกล่าวเช่นนี้แล้วอดงุนงงไปทันที “พวกเรามิใช่มีอาวุธของต้าโจว? กำลังทหารของเรายังด้อยอีกหรือ?”
“สงครามเป็นตาย อาวุธเหล่านั้นของต้าโจวจะรับมือได้นานเพียงใด? เราไม่ได้ผลิตเอง เมื่อถูกศัตรูทำลาย หรือพ่ายแพ้ ก็จะถูกเอาไปกว่าครึ่ง ของที่คนอื่นให้ จะดีกว่าที่แคว้นตัวเองผลิตได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? หวังว่าองค์รัชทายาทกับท่านชายสี่จะศึกษาผลิตได้สำเร็จ ตะเพิดคนเป่ยโม่กลับบ้านเก่าไปให้หนักเหมือนกับตอนนั้น!”
เซียวเหยากงเอ่ยแล้วก็หัวเราะเหอะๆ อีก “ชนะ!”
โสวฝู่ฉู่หงุดหงิด “เอาแต่คิดมาก แต่กลับไม่ป้องกัน”
เซียวเหยากงได้ใจลุกขึ้น “ได้ ในเมื่อกล้าพนันก็กล้ารับกับความพ่ายแพ้ หากเปิดศึก กระหม่อมจะนำทัพเอง!”
ไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ฉู่สบตากันทีหนึ่ง แล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา “หากเจ้านำทัพ งั้นข้ากับฉู่เสี่ยวอู่ก็จะเป็นทัพหน้าให้เจ้า!”