บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1252 พระราชโองการมาถึง
เหลิ่งจิ้งเหยียนเลิกคิ้วโค้งขึ้นมองดูเขา บนใบหน้าที่ปกติแล้วเรียบเฉยก็ย้อมไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านก็ช่างน่าขันเสียจริง ท่านอยากอยู่ก็อยู่ต่อ อยากกลับเป่ยถังก็กลับเป่ยถัง อยากกลับแคว้นต้าโจวก็กลับแคว้นต้าโจว ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงนี้ ท่านไม่มีงานไม่มีตําแหน่ง ไร้ห่วงไร้กังวล ทำตามใจปรารถนา ไม่ดีหรอกหรือ?”
หงเย่กล่าวอย่างเย็นชา “ใช่สิ ข้าไร้ห่วงไร้ความกังวล ไร้งานไร้ตำแหน่ง อีกทั้งหนานเจียงก็สงบสุข และไม่มีค่าให้หลอกใช้ ก็สามารถละทิ้งเหมือนของไร้ค่าได้แล้วใช่หรือไม่?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนลุกขึ้น เสื้อสีเขียวโบกพลิ้วส่งเสียงในสายลม “หากว่าหาที่ไปไม่ได้จริงๆ ก็ตามข้ากลับเมืองหลวงเถอะ!”
พูดจบ จึงหมุนตัวเข้าไปแล้ว
หงเย่มองดูเงาหลังของเขา น้ำเสียงกลับไม่เย็นชาแล้ว “ท่านอยากเรียกให้ข้ากลับไป เช่นนั้นก็พูดตรงๆ จะพูดเยิ่นเย้อมากมายไปทำไมกันล่ะ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนไม่ได้หันกลับ แค่ยกมือขึ้นเล็กน้อย
หงเย่หมุนตัวกลับไปมองดูอะโฉ่ว ค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เจ้าดูสิ ก็ไม่ใช่ว่าข้าท่านชายของเจ้าไม่เต็มใจอยู่หนานเจียงเป็นเพื่อนเจ้า จริงๆแล้วมีคนแย่งข้าตั้งมากมาย”
อะโฉ่วมองดูเขาอย่างงงงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามจริงๆ “ท่านชาย ใต้เท้าเหลิ่งไม่ได้แย่งท่าน เขาเพียงแค่ขี้เกียจจะพูดกับท่าน ท่านไม่เข้าใจหรือเจ้าคะ?”
“เหลวไหล!” หงเย่กวาดตาดูนางแวบหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องกลับเจียงเป่ยหรือ? เก็บของกลับไปเถอะ”
“ไม่นะเจ้าคะ ข้าและหมอผีตั้งใจจะเดินเล่นในชายแดนทางใต้ ไม่ได้บอกว่าจะกลับไปเจ้าค่ะ”
“กลับเถอะ กลับไปจัดการเรื่องต่างๆให้เร็วหน่อย จะได้เข้าควบคุมเจียงเป่ย” หงเย่ยกมือขึ้น มุมปากยกขึ้น “ข้าไปเก็บของ เตรียมตัวกลับเมืองหลวงแล้ว”
อะโฉ่วไม่ยอม ไล่ตามขึ้นไปอีก “ท่านชาย ยังไงท่านก็อยู่ต่อเถอะเจ้าคะ ไม่มีท่านอยู่ข้างกาย ข้าไม่คุ้นเคยมาก คนเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติดีต่อข้าอย่างจริงใจหรือไม่ หากว่ารอจนท่านไปแล้ว พวกเขากลับไปเป็นแบบเดิมอีก หรือไม่ยอมรับข้าหมอผีสวรรค์ผู้นี้แล้วจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็มาขอพึ่งข้าที่เมืองหลวง” หงเย่เห็นนางเกาะติดแน่นจริงๆ ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “อะโฉ่ว เจ้าโตแล้ว ทั้งยังเป็นหมอผีสวรรค์ของเจียงเป่ย เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง จัดการเรื่องราวด้วยตัวเอง หลังจากนี้ ข้าคงจะไม่ได้ดูแลเจ้ามากมายขนาดนั้น เจ้าก็ต้องจัดการปัญหาด้วยตัวเอง เรื่องของทะเลสาบจิ้งยังไม่ได้ข้อสรุปเลยนะ”
“เป็นเพราะทะเลสาบจิ้งนี่เอง” เช่นนี้อะโฉ่วก็เข้าใจแล้ว “มิน่าล่ะท่านถึงได้เกาะติดใต้เท้าเหลิ่ง ที่แท้ก็อยากอยู่ต่อที่เมืองหลวงของเป่ยถังอย่างผ่าเผย ก็ดี เป็นใต้เท้าเหลิ่งที่เชิญท่านกลับไป พวกเขาก็จะไม่คาดเดาท่านมั่วซั่วแล้ว”
“ข้าก็คิดเช่นนี้” หงเย่หมุนตัวไปแล้ว
ก่อนออกเดินทาง พระราชโองการเร่งด่วนจากในเมืองหลวงมาถึง ให้อ๋องชุนนําทัพเดินทางไปช่วยไท่ซ่างหวง
หลังจากอ๋องชุนรับพระราชโองการแล้ว ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าไท่ซ่างหวงจะออกรบด้วยตนเอง ในฐานะหลานชาย เขาละอายใจอย่างเปรียบไม่ได้จริงๆ
อ๋องชุนระดมพลจากสนามฝึกทันที และร่ำลากับหมันเอ๋อ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ออกเดินทางพร้อมกับพวกเหลิ่งจิ้งเหยียนและหงเย่ ทว่า หลังจากออกเดินทางแล้ว ต่างคนต่างก็มุ่งไปคนละทิศทาง
คนที่เหลิ่งจิ้งเหยียนพาไป ยังมีเรื่องบางอย่างต้องสะสาง ดังนั้น รอบนี้เขาจึงกลับไปที่เมืองหลวงกับหงเย่ก่อน ทั้งสองคนควบม้าเดินไปบนถนนของหนานเจียง ทัศนียภาพของหนานเจียงงดงามเป็นที่สุด แนวเทือกเขาระหว่างทางเชื่อมต่อไม่ขาดสาย แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาระหว่างการเดินทางอย่างช้าๆ สงบและงดงามอย่างอธิบายไม่ถูก
เพราะในเมืองหลวงมีอันตราย ตลอดทางเหลิ่งจิ้งเหยียนจึงไม่ได้ชักช้า รีบเดินทาง กลางคืนค้างที่พักคนเดินทาง หากว่าไปไม่ทันที่พักคนเดินทาง ก็ค้างในป่า หงเย่คิดไม่ถึงว่าเขาที่ดูเหมือนปัญญาชน แม้ว่าจะเคยออกมือครั้งสองครั้งนั้น แต่คิดว่าเขาไม่ใช่คนที่ฝึกฝนวิทยายุทธมานาน เพียงแค่ช่ำชองหนึ่งถึงสองกระบวนท่าเท่านั้น และสามารถทนความลำบากได้เช่นนี้ ก็อดที่จะเลื่อมใสไม่ได้
หงเย่เริ่มจับงานทุกอย่างด้วยตัวเอง เช่นเอาน้ำ ล่าอาหาร ก่อไฟ แม้กระทั่งเห็นใจในความลำบากตลอดทางของเขา หลังจากเผาเสร็จยังส่งของไปถึงเบื้องหน้าของเขาอีกด้วย
ขณะที่กำลังกิน มีงูเขียวไผ่เลื้อยลงมาจากบนต้นไม้เงียบๆ เห็นว่ากำลังจะลงมาบนศีรษะของเหลิ่งจิ้งเหยียน หงเย่กำลังจะออกมือ แต่กลับเห็นเหลิ่งจิ้งเหยียนฉวยเด็ดใบไม้ใบหนึ่งง่ายๆ โบกมือไป ใบไม้นั่นทะลุผ่านหัวงูไปโดยตรง หัวและตัวของงูเขียวไผ่แยกจากกัน ร่วงลงบนพื้น
หงเย่ตะลึงตาค้าง โอ้โห กำลังภายในของเจ้าหมอนี่เก่งกาจขนาดนี้เชียว?
เหลิ่งจิ้งเหยียนฉีกกินปลาเผาต่อเรื่อยๆไม่รีบร้อน ใบหน้าสุขสบายเหมือนดังปกติ
“ท่านฝึกแค่กำลังลมปราณภายในไม่ได้ฝึกกระบวนท่าหรือ?” หงเย่ถามเขา
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าว “ประมาณนั้น!” วาจาสั้นกระชับได้ใจความ
“ถ้าพูดเช่นนี้ ท่านก็ไม่เข้าใจกระบวนท่า หากว่าต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ท่านจะชนะได้อย่างไร?” หลังจากที่หงเย่ถามออกไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองได้ถามคำถามโง่ๆไปทันที
กำลังภายในลึกล้ำ ยังต้องใช้กระบวนท่าอีกหรือ? ดอกไม้ร่วงเด็ดใบไม้ก็ล้วนสามารถทำร้ายคนได้
เหลิ่งจิ้งเหยียนใช้สายตามองดูคนโง่เช่นนั้นมองดูเขาดังคาด หงเย่ท้อใจ นั่งหน้าต้นไม้ สวมชุดสีแดงเหมือนดั่งเปลวไฟที่เปล่งประกาย
พระราชโองการส่งไปถึงจวนเจียงเป่ยด้วยวิธีที่เร่งด่วนเช่นเดียวกัน ในจวนอ๋องอาน
มีพระราชโองการสองฉบับ ฉบับหนึ่งให้อ๋องอานรีบรวมพลทหาร มุ่งไปยังสนามรบทันที
ฉบับที่สองเป็นหนังสือพระราชโองการมอบบรรดาศักดิ์ ชื่อของอานจือฮ่องเต้หมิงหยวนเป็นผู้ตั้งโดยพระองค์เอง หยู่เหวินเมิ่งเหอ แต่งตั้งเป็นอานเหอจวิ้นจู่
ขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการกล่าวต่ออ๋องอาน “ยศพระราชทานของจวิ้นจู่และชื่อของจวิ้นจู่ล้วนเป็นฝ่าบาทตั้งด้วยพระองค์เอง กรมพิธีการส่งชื่อมา พระองค์ล้วนไม่พอพระทัยสักชื่อ ฝ่าบาทตรัสว่า ท่านอ๋องสามารถมองทางเดินในอนาคตของตัวเองได้จากยศพระราชทานและชื่อของจวิ้นจู่พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องอานรับราชโองการ กล่าวอย่างแผ่วเบา “หม่อมฉันขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านอ๋องรีบเก็บของ ระดมพลมุ่งไปยังสนามรบเถอะพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการกล่าว
“โปรดทูลต่อเสด็จพ่อว่า ข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้!” อ๋องอานกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น
“ได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทูลลา!” ขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการกล่าว
“ใต้เท้าลำบากมาตลอดทาง ยังไงก็เชิญทานอาหารก่อนแล้วค่อยไป!” พระชายาอานรีบเดินขึ้นไปกล่าว
ขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการทำมือเคารพ “ข้าน้อยต้องกลับถึงเมืองหลวงในวันที่กำหนดเพื่อรายงานผลปฏิบัติงาน จึงไม่อยู่ต่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยในความประสงค์ดีของพระชายา ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวแล้วจากไป
อ๋องอานสามีภรรยาสบตากับแวบหนึ่ง ในตาล้วนมีความตกตะลึงเล็กน้อย
พระชายาอานกล่าวด้วยความไม่สบายใจ “คิดไม่ถึงว่าไท่ซ่างหวงจะขึ้นสนามรบตัวเอง เป็นเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกันล่ะเพคะ?”
อ๋องอานไม่ได้เอ่ยวาจาอยู่นาน นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ในมือถือพระราชโองการ ในตาเดี๋ยวหมองเดี๋ยวเป็นประกายสองสามครั้ง ชั่วครู่ใหญ่ เปล่งเสียงหัวเราะอย่างเจ็บปวดออกมา “ข้าละอายใจที่เป็นลูกหลานของตระกูลหยู่เหวินจริงๆ”
เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา หลังจากที่มาถึงตรงนี้ก็ราวกับว่าเป็นเรื่องในชาติที่แล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะตั้งใจมองข้ามอย่างไร เรื่องราวที่เคยทำก็สลักเป็นร่องรอยในจิตใจทีละมีดๆ
พระชายาอานเข้าไปกุมมือของเขา เพ่งมองใบหน้าที่ซีดขาวของเขา “แก้ไขตอนนี้ เวลายังไม่สาย อย่างไรก็ดีกว่าอยากแก้ไขแต่กลับไม่มีวิธีเพคะ”
นัยน์ตาของอ๋องอานว่างเปล่า “เจ้าว่า ในอดีตข้าแก่งแย่งอะไรกันแน่นะ? เป็นฮ่องเต้สำคัญเพียงนั้นจริงๆหรือ? คุ้มค่าพอให้ข้าฝ่าฝืนศีลธรรมจรรยาของมนุษย์ ทำร้ายพี่น้อง? เหยียนเอ๋อ ข้าเสียใจจริงๆ หากไม่ใช่เพราะพวกเราพี่น้องทะเลาะกันมาหลายปีขนาดนี้ ร่วมใจกันช่วยเหลือสนับสนุนเสด็จพ่อ ก็ไม่ต้องถึงขั้นนี้จริงๆ แต่เสียใจแล้วจะได้อะไร? เสด็จปู่ท่านสุขภาพไม่ดี ออกจากเมืองหลวงข้าไม่วางใจเป็นที่สุดก็คือเขาผู้เฒ่าคนนี้แล้ว ตอนนี้เขายังจะขึ้นสนามรบ…….”
เสียงอ๋องอานสะอึกสะอื้น เขาแย่งตำแหน่งรัชทายาท เดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจในความสัมพันธ์ของพี่น้อง เขาในอดีตยังเคยโกรธแค้นตัวเอง ที่จิตใจยังโหดเหี้ยมไม่พอขณะที่ดำเนินการ หากว่าสามารถสังหารหยู่เหวินเห้าได้เร็วหน่อย เขาก็ได้นั่งตำแหน่งรัชทายาทอย่างมั่นคงไปนานแล้ว
แต่ว่า ถึงนาทีนี้ สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจและเจ็บปวด บังเอิญก็คือการละทิ้งความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขา