บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1262 เริ่มสู้กันแล้ว
ทันทีที่หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ได้ยินข่าว ก็รีบรวบรวมกองกำลังแล้วเร่งกลับมาทันที บรรดายอดฝีมือของสำนักเหลิ่งหลัง กับหน่วยองครักษ์ลับผีก็มาถึงอย่างรวดเร็วเช่นกัน กระจายกำลังซุ่มดูอยู่รอบ ๆ จวนอ๋องฉู่ กระทั่งนักแม่นธนูก็เตรียมพร้อมประจำที่แล้ว!
วิชาตัวเบาของสำนักเหลิ่งหลัง กับหน่วยองครักษ์ลับผีต่างก็ดีมาก ขณะที่ทิ้งตัวลงพื้นเรียกได้ว่าเงียบมากจนแทบจะไม่มีเสียงให้ได้ยิน แต่หนานเปียนเค่อกลับยิ้มแล้วพูดว่า “โอ้! รัชทายาทกลับมาแล้ว”
ทันทีที่ทังหยางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสวีอีกำลังเดินอยู่ข้างหน้า ที่ด้านหลังมีท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าเดินตามเข้ามาพร้อมกระบี่ในมือ แต่งกายด้วยชุดสีดำที่ดูปราดเปรียว สีหน้าสงบนิ่งเคร่งขรึม กระบี่ในมือยังทันเงื้อขึ้นมาก็สั่นระรัวจากพลังปราณที่ปล่อยเข้าไปพร้อมที่จะสู้รบแล้ว
หนานเปียนเค่อยืนขึ้น ประสานมือโค้งคำนับให้หยู่เหวินเห้า “ข้าน้อยคารวะองค์ชายรัชทายาท!”
หยู่เหวินเห้าเหลือบตามองทังหยางแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัย คนผู้นี้ก็คือจอมมารกระบี่หนานเปียนเค่ออย่างนั้นรึ?
ทังหยางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ แต่แทบจะในเวลาเดียวกัน ก็กลับมีความรู้สึกสงสัยด้วยเล็กน้อย เพราะชายชราที่มีชื่อว่าหนานเปียนเค่อผู้นี้ นับตั้งแต่เข้าประตูมา ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพอย่างมาก ทั้งยังไม่มีความเยือกเย็น หรือความเย่อหยิ่งตามแบบฉบับของนักฆ่า รอบตัวเขายิ่งไม่มีกลิ่นไอความกระหายเลือดเลยแม้แต่น้อย
“ท่านคือ?” หยู่เหวินเห้ารับการคารวะ แล้วถามกลับไป ดึงพลังปราณกระบี่กลับ
หนานเปียนเค่อก้าวไปข้างหน้าแล้วโค้งคำนับอีกครั้ง ” ข้าน้อยหนานเปียนเค่อ มาเพื่อรับเงินหนึ่งล้านตำลึงทอง”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ก็เท่ากับได้รับการยืนยันตัวตนแน่ชัดแล้ว หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ต่างก็ชักกระบี่ออกมาพร้อมสู้ทันที ทังหยางก็หมุนตัวกลับไปชักกระบี่ แล้วเล็งไปที่หนานเปียนเค่อด้วย สวีอีเป็นผู้นำการโจมตี ออกกระบี่จู่โจมเข้าไป พลังของกระบี่นั้นแข็งแกร่งมาก ฟันตรงไปที่ส่วนหัวของหนานเปียนเค่อปราณกระบี่ห่อหุ้มไปทั่วห้อง ถ้าหนานเปียนเค่อคิดจะหลบหลีกกระบี่เล่มนี้ ก็อาจจะต้องเปลืองแรงอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะแสดงวรยุทธ์ในห้องรับแขกแห่งนี้
แต่กลับไม่มีอันตรายใด ๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับหนานเปียนเค่อ เขาเหยียดสองนิ้วออก แล้วหนีบกระบี่ของสวีอีไว้จนแน่น ได้ยินเสียงหนึ่งที่คมชัด กระบี่ที่อยู่ระหว่างสองนิ้วของเขาพลันหักสะบั้น ชั่วขณะที่หนานเปียนเค่อ ยกมือออกด้วยท่าทีสบาย ๆ กระบี่ส่วนที่หัก ก็ลอยไปฝังตัวอยู่กับผนังกำแพงอย่างแน่นหนา
สวีอีแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ยอดฝีมือระดับแนวหน้า แต่อย่างน้อยในด้านการเป็นผู้ใช้กระบี่ในเมืองหลวง เขาก็นับว่าอยู่ในห้าอันดับแรก แต่เพราะกระบี่เล่มนี้เขาถ่ายเทพลังลงไปราว ๆ แปดถึงเก้าส่วน ฝ่ายคู่ต่อสู้ไม่ได้หลบหรือหลีกแม้แต่น้อย แค่ใช้สองนิ้วหักกระบี่ของเขาทิ้งง่าย ๆ แบบนี้เลย?
ไม่เพียงแค่สวีอีเท่านั้น แม้กระทั่งท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็น หัวใจเย็นวาบไปชั่วขณะ พวกเขารู้ว่าจอมมารกระบี่นั้นร้ายกาจ แต่ไม่รู้ว่าจะร้ายกาจมากขนาดนี้
หลังจากที่สวีอีผ่านพ้นความตกใจ ก็รู้สึกเป็นทุกข์ตามมา กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้รับตั้งแต่เริ่มฝึกเพลงกระบี่ ต้องมาถูกหักทิ้งไปง่าย ๆ เช่นนี้ หัวใจของเขาก็แทบจะแตกสลายไปด้วยแล้ว
เวลานี้เอง ท่านชายสี่ก็กระซิบพูดที่ข้างหูของหยู่เหวินเห้าประโยคหนึ่ง “ข้าขอคืนคำที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้”
“คำพูดไหน?” หยู่เหวินเห้าถือกระบี่ เล็งไปที่หนานเปียนเค่อ โดยไม่เอียงหน้ามา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ ถ้าจอมมารกระบี่มาคนเดียวลำพัง แค่สำนักเหลิ่งหลังของข้าก็รับมือได้แล้ว ประโยคนี้!” เป็นครั้งแรกที่ท่านชายสี่แสดงอาการวิตกกังวลออกมาเช่นนี้ มือที่ถือกระบี่ก็ค่อย ๆ จมลง หันปลายดาบไปทางหนานเปียนเค่อ
หยู่เหวินเห้าถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ทำไมเจ้าไม่รอให้สู้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดล่ะ? อย่างไรก็ดีกว่ามาท้อแท้กลางคันเช่นนี้”
“ไม่ ที่ข้าบอกเจ้าตอนนี้ เป็นเพราะอยากให้เจ้าเตรียมใจให้พร้อม ทิ้งภาพลวงตาว่ามันจะราบรื่นไปให้หมด แล้วเตรียมออกไปแลกชีวิตซะ!” ท่านชายสี่มองไปที่หนานเปียนเค่อ ก็เห็นว่าเขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมา จึงอดแปลกใจไม่ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาคิดจะใช้มือเปล่าปะทะกับคนจำนวนมากขนาดนี้ ? นักแม่นธนูบนกำแพงก็เตรียมพร้อมแล้วแท้ ๆ
หนานเปียนเค่อ มองดูพวกเขาอย่างตกตะลึง “นี่ข้าน้อยไปทำให้ทุกท่านขุ่นเคืองใจตอนไหนอย่างนั้นรึ?”
“พูดจาเหลวไหลให้มันน้อย ๆ หน่อย นำอาวุธออกมาได้แล้ว!” สวีอีพูดอย่างโกรธจัด หันกลับมาแย่งกระบี่เล่มหนึ่งจากทหารอารักขา เล็งไปทางหนานเปียนเค่อ
หนานเปียนเค่อ มึนงงเล็กน้อย “ข้าไม่มีอาวุธหรอกนะ”
“อย่าแสร้งทำเป็นเล่นลูกไม้ไปหน่อยเลย เจ้าคือจอมมารกระบี่ ไม่ใช่รึ? กระบี่ของเจ้าล่ะ?” สวีอีถามอย่างระแวดระวัง
หนานเปียนเค่อ เดินออกไป หยิบกิ่งไม้บนพื้นขึ้นมากิ่งหนึ่ง แล้วชี้ไปที่สวีอี
สวีอีโกรธมาก “นี่เจ้าจะใช้กิ่งไม้แทนกระบี่อย่างนั้นรึ? กล้าดูถูกพวกเราซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้เลย?”
หนานเปียนเค่อ ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ใช้กระบี่มานานหลายปีแล้ว เจ้าเด็กน้อย เจ้าถอยไปเสียเถอะ ข้าจะสู้กับองค์ชายรัชทายาทเท่านั้น หัวของเจ้าไม่ได้มีราคาหนึ่งล้านตำลึงทองหรอกนะ”
พูดมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดอีก ท่านชายสี่ชิงลงมือก่อน หยู่เหวินเห้าก็พริ้วกายไหววูบเหินกระบี่เข้าไป ปราณกระบี่ของทั้งสองคนห้อมล้อมหนานเปียนเค่อ อย่างรวดเร็ว แต่หนานเปียนเค่อ กลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ใช้กิ่งไม้ในมือกวาดออกไป ท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าพลันรู้สึกว่ามีแรงผลักอันทรงพลังกำลังพุ่งโจมตีเข้ามา บีบบังคับให้พวกเขาตีลังกากลับหลังไปอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ถอยไปตามแรงบีบอัดของลมไปหลายก้าว ถึงค่อยฝืนยืนให้มั่นคงได้ในที่สุด
เมื่อเจอกระบวนท่านี้เข้าไป หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อีก ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขาห่างชั้นกันเกินไป พวกเขาจะสู้อย่างไรไหว?
ท่านชายสี่สีหน้าหนักอึ้ง ยกมือขึ้นแล้วออกคำสั่ง “ปล่อยลูกธนู!”
นักแม่นธนูได้รับคำสั่ง ลูกธนูจึงพุ่งออกไปราวกับสายฝน ทุกคนรีบถอยห่างออกไป ในทางกลับกัน หนานเปียนเค่อ กลับยังคงนิ่งงันไร้การเคลื่อนไหว ยืนอยู่ใต้ระเบียง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงานพวยพุ่ง เสื้อผ้าพองตัวขึ้น และลูกธนูที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วเหล่านั้นก็ลอยผ่านไปโดยไม่มีดอกไหนที่แตะโดนเขาเลย ต่างค่อย ๆ ร่วงลงไปที่พื้นทีละดอก ๆ แม้แต่หัวธนูก็ยังหักสะบั้นไม่มีเหลือ
กำลังภายในของคนคนหนึ่ง สามารถฝึกฝนให้แข็งแกร่งลึกล้ำจนมาถึงขั้นนี้ได้ ในระดับที่มีดดาบล้วนฟันแทงไม่เข้า ย่อมไม่มีหนทางจะทำร้ายให้บาดเจ็บได้แน่นอนแล้ว
หมาป่าของเปาจื่อกระโดดเข้าไป กางกรงเล็บพุ่งใส่หน้าเขาตรง ๆ เขาแค่สะบัดแขนเสื้อครั้งเดียว หมาป่าของเปาจื่อก็ลอยคว้างออกไปชนเข้ากับกำแพง แล้วไถลลงไปกองกับพื้น แม้ว่าเจ้าหมาป่าจะไม่เป็นไร แต่กลับเป็นความล้มเหลวอย่างน่าอนาถที่สุดที่มันเคยพบ
ทุกคนล้วนตกตะลึง แม้แต่หยวนชิงหลิงที่ซ่อนตัวอยู่ตรงทางเดินเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา
เมื่อท่านชายสี่เห็นว่า หมาป่าของเปาจื่อพ่ายแพ้ตั้งแต่การโจมตีครั้งแรกของหนานเปียนเค่อ หัวใจของเขาจะแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ให้ได้แล้ว เลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้าของเขา กระโดดเหินขึ้นไป แล้วใช้เคล็ดวิชาที่งดงามดั่งเทพธิดาโปรยดอกไม้โจมตีเข้าใส่ หยู่เหวินเห้ากับหน่วยองตรักษ์ลับผีก็โจมตีพร้อมกัน แถวกระบี่เรียงรายดุจดั่งผ้าทอ แน่นขนัดจนลมแทบไม่สามารถลอดผ่านได้ กระบี่นับสิบ ๆ เล่มต่อสู้กับกิ่งไม้ในมือของหนานเปียนเค่อ แต่พวกเขากลับไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบ
แต่ท้ายที่สุดมันก็คือการต่อสู้กันจริง ๆ แค่ไม่ถึงกับมีคนถูกฆ่าตายภายในไม่กี่วินาที
หมาป่าเปาจื่อวิ่งไปข้างกายหยวนชิงหลิง พลางส่งเสียงครวญครางในลำคอดังงี้ด ๆ ๆ ราวกับว่ามันไม่อาจยอมรับการโจมตีนี้ได้ หยวนชิงหลิงนั่งลงแล้วกอดมันไว้ ไม่อาจแบ่งใจไปคิดเรื่องปลอบมัน ได้แต่สนใจดูการต่อสู้ในสวนอย่างวิตกกังวล อะซี่พยายามเร่งเร้าอย่างหนักเพื่อให้นางกลับไปที่ตำหนักเซี่ยวเยว่ นางก็ไม่ยอมไป
แฝดสามกับแฝดสอง ต่างก็ออกมาดูการต่อสู้นี้เช่นกัน แต่พวกเขากลับมีท่าทีสงบและผ่อนคลายมาก ส่วนความล้มเหลวของหมาป่าเปาจื่อนั้น ตัวเปาจื่อก็พูดใส่มันไปตรง ๆ ว่า”เจ้าโง่รึ? คนผู้นั้นมีความสามารถสูงถึงขนาดนั้น เจ้าเล่นไปกระโจนใส่ตรง ๆ แบบนั้น จะทำอะไรเขาได้ล่ะ? เจ้าต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสิ”
หมาป่าเปาจื่อส่งเสียงงี้ด ๆ สองครั้ง แล้วคลานไปที่เท้าของเปาจื่อ ท่าทางดูท้อแท้อย่างเห็นได้ชัด หยวนชิงหลิงจึงถามอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “ความสามารถที่แท้จริงอะไรรึ?”
เปาจื่อตอบว่า”ก็คือความสามารถที่ท่านแม่ไม่อนุญาตให้พวกเราใช้อย่างไรล่ะ”
หยวนชิงหลิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองเปาจื่อ “หมาป่าหิมะก็ทำได้ด้วยรึ?”
เปาจื่อเอามือลูบไปที่ใบหูของหมาป่า จากนั้นก็กอดมันอย่างแผ่วเบา แนบคางวางลงบนหน้าผากของหมาป่า มองไปที่หยวนชิงหลิงแล้วพูดว่า “ทำได้สิ เจ้าเสือน้อยก็ทำได้เช่นกัน”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว “นี่สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
พวกเปาจื่อเรียกได้ว่ามีการกลายพันธุ์ แต่หมาป่าหิมะกับเจ้าเสือน้อยไม่น่าจะมีได้หรอกกระมัง? หรือมันถ่ายทอดให้กันได้เหมือนการสอน? แล้วทำไมไม่ถ่ายทอดให้นางล่ะ?
“ ถ้าหมาป่าของเปาจื่อใช้ความสามารถที่แท้จริง จะสามารถเอาชนะคนผู้นั้นได้อย่างนั้นรึ?” หยวนชิงหลิงเฝ้าดูการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในหัวใจก็รู้สึกกังวลมาก
“ข้าก็ไม่รู้!” เปาจื่อพูด “คนผู้นั้นร้ายกาจมากจริง ๆ ข้าเองก็ยังไม่เคยพบยอดฝีมือที่ร้ายกาจมากขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน”