บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1263 ไม่ได้ต้องการหัวของเจ้า
แน่นอนล่ะ เขาต้องไม่เคยพบยอดฝีมือมากมายมาก่อน แค่พอได้เห็นท่านพ่อรำกระบี่ เขาก็รู้สึกว่านั่นร้ายกาจมากแล้ว
ในสวน หนานเปียนเค่อ เคลื่อนกายผ่านตาข่ายที่ทอด้วยปราณกระบี่ราวกับใบไม้ที่ปลิวไสว ดูสบาย ๆ เหมือนไม่ได้ออกแรงอะไร ราวกับว่าเขากำลังเล่นสนุกอยู่ก็ไม่ปาน ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายมาก กลับกันฝ่ายเจ้าห้ากับท่านชายสี่กลับต้องดิ้นรนอย่างหนัก พวกเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ เเต่ถ้าหนานเปียนเค่อ คิดจะทำร้ายพวกเขาจริง ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ แต่เขาก็ไม่ทำ คล้ายกับว่าเขากำลังเล่นเกมแมวหยอกหนูอย่างไรอย่างนั้น ให้พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่สามารถสัมผัสโดนกระทั่งเสื้อผ้าของเขาได้
นักแม่นธนูไม่กล้ายิงธนูอีกต่อไป ในระยะประชิดแบบนี้ ถ้ายิงธนูออกไป อาจจะไปทำร้ายโดนพวกเดียวกันได้ ดังนั้น นักแม่นธนูทุกคนจึงเข้าร่วมการต่อสู้ในสนามนี้ด้วย สถานการณ์แบบนี้ เป็นการสู้แบบใช้พวกมากเข้ารุมพวกน้อย เมื่อเทียบกับการรับมือนักฆ่าก่อนหน้านี้แล้ว เป็นอะไรที่ผ่อนคลายกว่ามาก เรียกว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยก็ว่าได้
ขณะที่เห็นทุกคนต่างทุ่มเทกำลังกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงกู่ร้องยาวมาจากหนานเปียนเค่อ จากนั้นก็เหินกายเข้าไปในเรือน คว้าเอาน้ำมันขวดหนึ่งมาถูที่มือ ไม่รู้ว่าหยิบหินเหล็กไฟมาจากไหน เสียดสีที่ฝ่ามือจนเกิดเปลวไฟ แล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้วงแหวนแห่งไฟลุกลามตามไปตลอดทาง ส่งผลให้แนวล้อมโดยรอบถูกบังคับให้แตกพ่ายไปทันที
ฉากนี้ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมการต่อสู้ระยะประชิดในที่เกิดเหตุต่างตกตะลึง บางคนถูกไฟคลอกจนต้องรีบถอยกลับไป บ้างถึงกับลงไปกลิ้งกับพื้น คิ้วและผมของสวีอีก็ถูกไฟไหม้ด้วยเช่นกัน เขารีบฝังศีรษะลงในทรายภายในสวน แล้วกลิ้งไปมารอบ ๆ เรียกได้ว่าสภาพเละเทะได้เท่าไหร่ ก็เละเทะได้เท่านั้นเลยทีเดียว
“ ยังจะสู้อีกหรือไม่? ถ้ายังจะสู้อีก จวนอ๋องฉู่จะถูกเผาจนวอดวายไม่มีเหลือแล้วนะ! ” หนานเปียนเค่อ ผุดรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้า ดวงตาเป็นประกายวับวาว ดูภาคภูมิใจและไม่ยี่หระ นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ามาในจวน แล้วแสดงท่าทางอื่นนอกเหนือไปจากความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ดูเหมือนว่านี่ต่างหาก ที่เป็นใบหน้าอันแท้จริงของเขา
แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะไม่ได้ถูกไฟคลอก แต่เขารู้สึกแอบขนลุกในขณะที่มองดูวงแหวนไฟที่ลุกขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อมองประสานสายตากับท่านชายสี่ ท่านชายสี่ก็สั่งอย่างเคร่งขรึมว่า”ควบคุมไฟ!”
ทุกคนหยุดมือ หยู่เหวินเห้าโอบกระบี่พลางสาวเท้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า สภาพเขาเองก็ร่อแร่มากแล้วเช่นกัน “ไม่ใช่ว่าเจ้าตั้งใจจะมากุดหัวข้าไปหรอกรึ?”
หนานเปียนเค่อ มองดูเขา “ข้าไม่เคยพูดนะ เป็นพวกเจ้าที่เข้ามารุมทุบตีข้าเองแท้ ๆ ข้าเห็นว่าน่าสนุกดี ก็เลยเล่นด้วยเสียหน่อย ข้าไม่ได้ออกแรงมาหลายปีแล้ว ถ้าเมียของข้ารู้เข้า น่ากลัวว่านางคงด่าข้าชุดใหญ่จนหูชาแน่”
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กลัวเมียรึ? นี่คือตัวตนที่แท้จริงของจอมมารกระบี่ผู้ไร้เทียมทานหรือนี่?
ท่านชายสี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าเจ้ามาเพื่อเอาทองหนึ่งล้านตำลึงไม่ใช่หรือ? เจ้าคือหนานเปียนเค่อ จอมมารกระบี่ใช่หรือไม่?”
มีแววสงสัยในดวงตาของหนานเปียนเค่อ “ข้าคือหนานเปียนเค่อ ไม่ผิด แต่ใครคือจอมมารกระบี่รึ?”
สีหน้าของหยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย อดถามพร้อมกันไม่ได้ว่า “เจ้าไม่ใช่จอมมารกระบี่หรอกหรือ?”
“เขาไม่ใช่ แต่ข้าน่ะใช่!” จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ริมกำแพง เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนั้นก็พากันหันไปมองด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงชายชราสวมชุดสีเขียวยืนอยู่บนกำแพง ซึ่งไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร เขาพกกระบี่มาด้วยเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนี้ไม่ได้สวมอยู่ในฝักจริง ๆ เผยให้เห็นเรียวกระบี่อันคมกริบ มีแสงเย็นเยียบบนใบมีด ได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา ใบหน้าของชายชราดูสงบราบเรียบ ไม่ได้แสดงความเป็นศัตรู แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นไออันโหดเหี้ยม ที่มาจากร่างของเขาได้อย่างไม่มีเหตุผล
ทุกคนชักกระบี่ออกมาเผชิญหน้ากับเขา ทั้งหมดเตรียมพร้อมระวัง
ชายชราในชุดสีเขียว หรือที่รู้จักกันในชื่อจอมมารกระบี่หนานเปียนเค่อ เหลือบมองชายชราแล้วถามว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องสวมหน้ากาก?”
ท่านชายสี่ได้ยินดังนั้น ก็รีบหันไปมองทางชายชรา เมื่อลองพินิจมองดูโดยละเอียด ก็ยังไม่พบว่าเขาปลอมตัวอยู่
ทั้งสองมองหน้ากันในอากาศ จนเห็นชายชรายกยิ้มเล็กน้อย “ดวงตาของเจ้าช่างแหลมคมนัก”
เขายื่นมือขึ้นมาเช็ด ๆ ถู ๆ บนใบหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่มีคิ้วหนาและหยาบกร้าน ไม่แก่ ดูไปแล้วน่าจะราวสามสิบกว่า ๆ โดยประมาณ คิ้วของเขาหนาและดำเป็นพิเศษ แทบไม่น่าเชื่อโดยสิ้นเชิงว่านี่คือชายชราที่แสนจะอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อครู่ เขาพูดขึ้นว่า”ข้ามีชื่อว่าฉีฮั่ว ไม่ใช่จอมมารกระบี่ แล้วก็ไม่ได้ชื่อหนานเปียนเค่อหรอก”
จอมมารกระบี่พูดขึ้นว่า “ข้าใช้กระบี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว ทักษะการสังเกตจึงแตกต่างจากคนทั่วไป การปลอมตัวของเจ้านั้นละเอียดและพิถีพิถันมากจริง ๆ แต่คิ้วของเจ้าหนาและดำเกินกว่าจะปกปิดได้”
ฉีฮั่ว ยิ้มพลางโบกมือไปมา “การปลอมตัวด้วยวิชาหน้ากากหนังมนุษย์นี้ เป็นความรู้ใหม่ที่ข้าได้เรียนรู้มา ถ้าข้าปลอมตัวด้วยวิธีอื่น ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองออก พี่ชายท่านนี้ เจ้ามาที่นี่เพื่อจะแย่งเงินหนึ่งล้านตำลึงทองกับข้าอย่างนั้นรึ? ข้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะมารับเงินล้านตำลึงทองนี้ ถ้าเจ้ามาแย่งมันจริง ๆ ข้าคงไม่อาจอ่อนมือต่อเจ้าได้หรอกนะ”
ดวงตาของจอมมารกระบี่ปรายไปทางหยู่เหวินเห้า จากนั้นจึงส่ายหน้าให้ฉีฮั่ว “ข้าคิดว่าข้าคงไม่อาจรับมือเจ้าได้ครบสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ ข้าไม่อาจยอมรับความอัปยศอดสูเช่นนั้นได้ ข้าขอยอมวางมือเพียงเท่านี้”
เขาประสานมือให้หยู่เหวินเห้า “รัชทายาท พวกเราคงได้พบกันอีก ข้าขอไปรอพบลูกศิษย์ของข้าก่อนล่ะ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ร่างนั้นก็ไหววูบ คนผู้นั้นพลันหายวับไปในทันที
การเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดานี้ ยังคงทำให้ทุกคนตื่นตกใจไม่หาย วันนี้มันเป็นวันรวมตัวของเหล่ายอดฝีมือหรืออย่างไรกัน? ท่านหนึ่งคือจอมมารกระบี่ ส่วนอีกท่านเป็นยอดฝีมือที่สามารถควบคุมเปลวไฟได้ ที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน ทั้งยังไม่ใช่พวกที่จะรับมือได้ง่าย ๆ อีกด้วย
จอมมารกระบี่จากไปแล้ว แต่ยอดฝีมือที่ชื่อว่า ฉีฮั่วยังอยู่ที่นี่ เจ้าตัวเอาแต่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขามาเอาทองหนึ่งล้านตำลึง แต่กลับพูดอีกว่าไม่ต้องการหัวของรัชทายาท นี่ช่างทำให้คนรู้สึกสับสนสิ้นดี ในเมื่อไม่มีหัวของรัชทายาท แล้วเขาจะไปรับเงินหนึ่งล้านตำลึงทองได้อย่างไรล่ะ?
“เฮ้ย คนเล่นการแสดงแทรก!” สวีอีตะโกนเรียกเขา “ เจ้าไม่ได้ต้องการฆ่าองค์ชายรัชทายาท แล้วเจ้ามาทำอะไรกันแน่?”
“ไม่ได้บอกไปแล้วหรอกรึ? ว่าอยากได้ทองคำ ในหมู่บ้านของข้ามีคนยากจนมากมาย ข้าอยากช่วยบรรเทาทุกข์ให้พวกเขา” ฉีฮั่วพูดพลางหันหลังเดินเข้าไปในห้องโถง ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “รัชทายาทเข้ามาคุยกันข้างใน ส่วนคนที่เหลือ ถอยออกไปให้หมด!”
หยู่เหวินเห้าวางกระบี่ลง หันไปสั่งแม่ทัพหลอแห่งหน่วยองครักษ์ลับผีว่า “พาคนถอยออกไปก่อนเถอะ!”
“รัชทายาท มันอันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพหลอรีบคว้าตัวหยู่เหวินเห้าไว้พลางเอ่ยห้าม
หยู่เหวินเห้าเหลือบมองเข้าไปข้างใน แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ถ้าเขาต้องการเด็ดหัวของข้าจริง ๆ จะมีหรือไม่มีพวกเจ้าอยู่ มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันหรอก!”
สิ้นคำพูดนี้ ทุกคนต่างก็ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกละอายใจอย่างมาก แต่พวกเขาไม่เคยพบเจอคนที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะรับมืออย่างไรไปชั่วขณะเลยทีเดียว
ท่านชายสี่ก็วางกระบี่ลงเช่นกัน แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปข้างในก่อน จอมมารกระบี่มองเขาด้วยแววตาชื่นชม “เจ้าหนูน้อย เจ้าช่างมีความกล้าหาญนัก”
“ถึงอย่างไรหัวของข้าก็ไม่ได้มีค่าถึงหนึ่งล้านตำลึงทองอยู่แล้ว” ท่านชายสี่นั่งลง ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เรียกได้ว่าเขาทุ่มเทกำลังภายในออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ
หยู่เหวินเห้าก็เข้ามาเช่นกัน เมื่อเห็นว่า ฉีฮั่วกำลังนั่งอยู่ในที่นั่งหลักของเขา จึงทำได้แค่ต้องไปนั่งในตำแหน่งถัดไป มองเขาแล้วถามว่า “ในเมื่อไม่ต้องการเอาหัวของข้า ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่า….” เขาพูดแบบนี้แล้วมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย จะเรียกว่าผู้เฒ่าก็ดูจะเป็นการไม่สมควรนัก เขาจึงหยุดพูดไปกลางคัน
ฉีฮั่วมองเขาอย่างมีเลศนัย “ช่วงนี้ข้าเพิ่งได้เรียนทักษะใหม่มา”
“ทักษะ?” หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่หันมามองหน้ากัน แม้ว่าจะเป็นการตอบไม่ตรงคำถาม แต่เพราะเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก จึงทำได้เพียงถามไปตามคำพูดของเขาว่า “ทักษะอะไรรึ?”
ฉีฮั่วพูดว่า”ขุดโคลนสีเหลืองมาถังหนึ่ง แล้วให้คนที่อยู่รอบ ๆ นี้ออกไปให้หมด”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองเขา จากนั้นค่อยหันกลับมาช้า ๆ แล้วไปสั่งกับทังหยางว่า “ทำตามที่เขาพูด”
ทังหยางพยักหน้า แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว สั่งให้คนไปขุดโคลนสีเหลืองในสวนหลังบ้านมาหนึ่งถังเต็ม ๆ แล้วนำมาที่นี่ จากนั้นจึงไปสั่งการหน่วยองครักษ์ลับผีให้แยกย้ายกันไปให้หมด