บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1264 หัวจริงหัวปลอม
จากนั้นก็เห็นฉีฮั่วพับแขนเสื้อ เทโคลนสีเหลืองลงบนพื้น เติมน้ำลงไป ขณะที่เติมน้ำ ตัวเขาเองก็ยังก้มหน้าลงไปดื่มเสียหลายอึกด้วย เกิดเป็นเสียงดังอึ๊ก ๆ ขณะที่กลืนลงไป เขาพลันส่ายหน้า “อย่างไรก็อร่อยสู้น้ำแข็งไม่ได้จริง ๆ นั่นล่ะ”
เขาหันกลับไปมองทังหยาง “ไปเอาน้ำแข็งมาให้ข้าเคี้ยวเล่นอีกสักก้อนซิ”
ทังหยางจึงต้องเรียกคนให้ไปเอาน้ำแข็งอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน น้ำแข็งก้อนใหญ่ก็ถูกขนเข้ามา ฉีฮั่วใช้นิ้วบีบที่มุมของก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ ก้อนน้ำแข็งนั้นแข็งมาก เมื่อเขาออกแรงน้ำแข็งก็ปริแตกออกจากกัน เขาหยิบมันใส่เข้าปากไปเลยโดยตรง
“อร่อยจริงๆ!” หลังจากได้ยินเขาพูดจบ ก็มีเสียงเคี้ยวดังกรุบๆกรอบๆ แว่วมาจากในปากของเขา
หยวนชิงหลิงและเด็ก ๆ ก็มาถึงหน้าประตูแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นเขากินน้ำแข็งแบบนี้ ในใจก็เหมือนมีไฟกองหนึ่งปะทุขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเทพบันดาลหรือผีร้ายดลใจให้เดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว “เจ้าบีบให้ข้าสักก้อนหนึ่งสิ!”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกไป ตัวนางเองก็ยังถึงกับตกตะลึงไปด้วย หยู่เหวินเห้ารีบลุกขึ้นยืนพยายามจะดึงนางออกไป แต่กลับเห็นฉีฮั่ว เอียงหน้ามามองนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเริงร่าว่า”โอ้ !ได้เลย!”
เขาหักมันออกแบบสบาย ๆ แล้วส่งน้ำแข็งที่หักแล้วก้อนหนึ่งให้หยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงรีบนำมันเข้าปากไปอย่างอดใจไม่อยู่ แสดงท่าทีที่แสนพึงพอใจเช่นเดียวกับฉีฮั่ว และเมื่อ ฉีฮั่วเห็นสิ่งนี้ มุมปากของเขายกขึ้นสูง แล้วหัวเราะอย่างมีความสุขมาก
เมื่อเห็นฉากอันสุดแสนประหลาดนี้ ทุกคนก็บังเกิดความรู้สึกร่วมอันพิสดารประการหนึ่งคือ อยากจะลุกไปทุบน้ำแข็งสักก้อนหนึ่งมากิน
หยู่เหวินเห้ายังคงดึงตัวหยวนชิงหลิงกลับมา แล้วสั่งให้ทังหยางเก็บกวาดพื้นที่อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนคนนี้คิดจะทำอะไร แต่เป็นศัตรูหรือมิตร จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัด อย่างไรก็ควรต้องระวังไว้สักหน่อย ยิ่งมีคนอยู่น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ฉีฮั่วกำลังผสมโคลนสีเหลือง จากนั้นใช้ฝ่ามือถูและนวดไปบนโคลนสีเหลืองเหล่านั้น เพียงไม่นานมันก็นิ่มลง โคลนสีเหลืองเหนียวมาก เมื่ออยู่ภายใต้มือของเขามันก็ยิ่งยืดหยุ่นมากขึ้น ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมามองหยู่เหวินเห้า จ้องเขม็งมองชนิดตาไม่กะพริบ หยู่เหวินเห้าถูกจ้องมองจนรู้สึกขนลุกไปหมด พึมพำถามไปว่า “เจ้ามองอะไรของเจ้าน่ะ?”
ฉีฮั่วไม่พูดอะไร หันหน้ามา แล้วเริ่มบีบดินเหนียวให้เข้ารูป
ความเร็วของมือของเขานั้นรวดเร็วมาก การเคลื่อนไหวขึ้นลงวูบไหวเหมือนดั่งภาพลวงตา แต่หลังจากนั้นไม่นาน ต้นแบบก็ถูกบีบปั้นขึ้นเป็นรูปร่าง ที่ทุกคนมองแล้วดูเหมือนหัวคนไม่มีผิด
เมื่อท่านชายสี่เห็นดังนี้ ก็อดยิ้มอย่างประชดประชันไม่ได้ “คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะปั้นแต่งหัวคนขึ้นมา แล้วแสร้งทำเป็นว่านี่คือหัวของรัชทายาทหรอกนะ? ชื่อเสียงเรื่องความเฉลียวฉลาดของตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่นั้นเลื่องลืออื้ออึงไปทั่ว หัวจริงหรือหัวปลอม พวกเขาจะแยกแยะไม่ออก แล้วยอมมอบทองคำล้านตำลึงให้เจ้าง่าย ๆ อย่างนั้นรึ?”
ฉีฮั่วไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ พูดอย่างเฉยเมยว่า”ความหมายของเจ้าคือ ข้าควรเอาหัวคนจริง ๆ ไปใช่หรือไม่?”
ประโยคนี้ ทำเอาท่านชายสี่พูดไม่ออกไปเลยทีเดียว คู่สามีภรรยาหยู่เหวินเห้า คู่สามีภรรยาสวีอี รวมถึงทังหยางต่างก็มองไปที่เขาเป็นตาเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่ไว้หน้าท่านชายสี่สักนิด ทุกคนประสานเสียงพูดขึ้นพร้อมกันว่า ” หุบปาก!”
ท่านชายสี่ปิดปากฉับ แต่ใบหน้าของเขายังคงแสดงท่าทีไม่เชื่อถือ เขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวด้วยวิธีนี้เป็นอะไรที่โง่เขลาเกินไป คนที่มีแขนขาที่พัฒนาไปถึงขั้นสูง หัวสมองมักคิดอ่านอะไรที่เรียบง่ายจริง ๆ วรยุทธ์ของเขายอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น จึงถูกกำหนดมาให้มีสติปัญญาต่ำ
ฉีฮั่วเมินเขาแล้วปั้นต่อไป ห้องโถงใหญ่เงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ และไม่มีใครเปิดประตูเดินจากไปด้วย ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้ว คนผู้นี้จะปั้นออกมาเป็นอย่างไร
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็เป็นรูปเป็นร่าง มีตา หู จมูก ปากครบหมด ดูเหมือนหยู่เหวินเห้าราว ๆ ห้าถึงหกส่วน แต่คนที่ทำจากดินเหนียวนั้น เมื่อรอจนมันแห้งเมื่อไหร่ ความคล้ายคลึงกันก็จะยิ่งลดลงไปอย่างมาก
ชั่วขณะนี้เอง แม้แต่สวีอีก็อดพูดไม่ได้ว่า “นี่ดูอย่างไรมันก็ไม่เหมือนหัวคนจริง ๆ เลยนะ”
“เจ้าจะไปรู้อะไร? เผาเสร็จมันก็เหมือนแล้ว”
“แต่มันแห้งเกินไปนะ ไม่มีแม้แต่เส้นผมด้วยซ้ำ”
ฉีฮั่วปั้นหูให้ตั้งขึ้น เมื่อปั้นใบหูจนได้รูป จึงเงยหน้าขึ้นมองสวีอี “คนเราหลังจากตายไป ล้วนต้องแห้งเป็นซาก เจ้าอยากลองตัดหัวตัวเองลงมาทิ้งไว้สักหลาย ๆ วัน แล้วดูว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะไหนดูหน่อยหรือไม่ล่ะ?”
สวีอีก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว เขาไม่อยากลองหรอกนะ
ฉีฮั่วหยิบหัวคนปั้นขึ้นมา ยื่นส่งไปให้ทังหยาง “เอาไปที่เตาเผาแล้วเผาหน่อย หลังจากเผาแล้ว ให้นำเลือดของรัชทายาทเทลงไปสักสามสี่หยด เทลงไปในส่วนกะโหลกศีรษะล่ะ ”
“นี่จะสำเร็จหรือไม่?” ทังหยางยังคงมีใจระแวดระวังอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนตอนแรกแล้ว เพราะถ้าคนผู้นี้ต้องการจะฆ่ารัชทายาทจริง ๆ เขาก็คงลงมือไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาปั้นดินหรือให้นำไปเผาแบบนี้แน่
“ ไม่รู้สิ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทำน่ะ ” ฉีฮั่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกตื่นเต้นสนใจเล็กน้อย อยากจะดูว่าหัวที่ถูกเผาไฟแล้วหน้าตาจะออกมาเป็นอย่างไร จึงให้ทังหยางไปทำตามที่เขาพูด
ทังหยางถอดเสื้อชั้นนอกออกคลุมหัวคนปั้น แล้วอุ้มออกไป แม้ว่าจะเป็นหุ่นดินปั้นก็จริง แต่อย่างไรก็ดูเหมือนรัชทายาทอยู่ดี ชั่วขณะที่ทังหยางอุ้มหัวนั้นออกไป ในใจของทุกคนก็พลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ
แต่เวลานี้ฉีฮั่วก็ได้นั่งลงแล้ว เขามองไปที่หยวนชิงหลิง สายตาค่อย ๆ ทิ้งลงที่ส่วนท้องของนาง แล้วถามขึ้นว่า “อีกนานแค่ไหนลูกศิษย์ของข้าถึงจะเกิดรึ?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง ลูกศิษย์?
หยู่เหวินเห้ารีบดึงหยวนชิงหลิงกลับมานั่งลงที่ด้านข้างของเขาทันที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้?”
ฉีฮั่วถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ลูกศิษย์ของข้าอย่างไรล่ะ เด็กที่อยู่ในท้องของพระชายารัชทายาทเป็นลูกศิษย์ของข้า พวกเจ้าไม่รู้หรอกรึ?”
“พวกเราไม่รู้จริงๆ” หยู่เหวินเห้าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว แม้ว่าคนคนนี้จะมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ลูกเป็นของเขา ตัวเขาผู้เป็นพ่อแท้ ๆ กลับไม่รู้เรื่องนี้ ใครเป็นคนให้คำมั่นสัญญาไม่ทราบ?
ฉีฮั่วรู้สึกมีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเห็นด้วยแล้วหรอกรึ? ตกลงกันแล้วนี่ว่าเด็กในท้องของพระชายารัชทายาทเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าถึงได้ยอมมาที่นี่อย่างไรเล่า”
หยวนชิงหลิงฟังแล้วเริ่มจับประเด็นอะไรบางอย่างได้ “ท่านคุยกับใครรึ?”
“เจินอี้เฟิงอย่างไรล่ะ”
เจินอี้เฟิง คือใครกัน? ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ฉีฮั่วมองดูใบหน้าที่ตกตะลึงของทุกคน ก็เริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมาแล้วเช่นกัน “ที่นี่คือเป่ยถังใช่หรือไม่?”
“คือเป่ยถัง!” สวีอีตอบ
“แล้วที่นี่คือจวนอ๋องฉู่ใช่หรือไม่?” เขามองหยู่เหวินเห้า “เจ้าคือหยู่เหวินเห้ารัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยถัง?”
“ใช่ ถูกต้อง แต่พวกเราไม่รู้จักเจินอี้เฟิง!” หยู่เหวินเห้ามองเขาอย่างนึกสงสัย คิดว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำเป็นโง่เง่า แต่กลับไม่เห็นร่องรอยใด ๆ เลย เขาดูเหมือนจะโกรธจริง ๆ แล้ว
หยวนชิงหลิงถามว่า “ใครคือเจินอี้เฟิง ?”
ตอนนี้เอง ฉีฮั่วคล้ายว่าจะจำบรรดาศักดิ์ของเขาที่นี่ได้ จึงพูดอย่างร้อนรนว่า“อ๋องชินเฟิงอัน!”
“อ๋องชินเฟิงอัน?” หยู่เหวินเห้าโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แล้วอธิบายว่า “อ๋องชินเฟิงอันไม่ได้ชื่อว่าเจินอี้เฟิง เขาชื่อหยู่เหวินเซียว”
“อย่างนั้นรึ?” สีหน้าของฉีฮั่วเต็มไปด้วยความสงสัย ราวกับว่าในความคิดของเขา ชื่อของอ๋องชินเฟิงอันคือ เจินอี้เฟิง ไม่ใช่หยู่เหวินเซียว
เมื่อได้ยินว่าเป็นคนที่อ๋องชินเฟิงอันส่งมา หัวใจของหยู่เหวินเห้าก็ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเป็นศัตรูกับฉีฮั่วก็หายไปด้วย คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าอ๋องชินเฟิงอันจะกอดคอร่วมหัวจมท้าย ทั้งยังช่วยเตรียมการให้หลายสิ่งหลายอย่างเช่นนี้
เขาเคารพยกย่องอ๋องชินเฟิงอันเป็นอย่างมาก หลังจากที่ฉีฮั่วพูดชื่อของเขาออกมา จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเจ้าประติมากรรมหัวดินเผานั่น มันจะสามารถหลบหลีกการตรวจสอบไปได้จริงๆ
หยวนชิงหลิงถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอ๋องชินเฟิงอัน ฉีฮั่วตอบตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อมว่าเขาไม่นับว่าสนิทกัน แต่พอจะรู้ว่า เขาอยากรับลูกศิษย์มาตลอด เมื่อสองสามวันก่อนอ๋องชินเฟิงอันได้ส่งคนไปหาเขา ให้เขาไปหลอกเอาทองคำของตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่มา จากนั้นก็ให้คำมั่นสัญญาว่า จะชี้เป้าให้เด็กในท้องของพระชายารัชทายาทมาเป็นลูกศิษย์เขา
“ แต่ถ้าชาวเป่ยโม่ไม่ติดกับ พวกเราจะทำอย่างไรล่ะ?” ท่านชายสี่ถาม
ฉีฮั่วตอบว่า”พวกเขาจะติดกับอย่างแน่นอน แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีการเบี้ยวหนี้ เพราะตอนนี้กองทัพของเป่ยถังได้ออกยาตราทัพแล้ว สงครามนี้ยากจะหลีกเลี่ยง พวกเขาจะต้องเก็บทองไว้สำหรับใช้ทำสงคราม”