บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1265 อาจารย์ของใต้เท้าเหลิ่ง
สวีอีตกใจจนผงะ พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าที่ทำไปล้วนเสียแรงเปล่าหรอกรึ?”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าช้าๆ “มันจะไม่เสียแรงเปล่าหรอก ข้าเชื่อว่าเจตนาของอ๋องชินเฟิงอันคือให้ข้าพกอาวุธครบมือไปที่สนามรบอย่างลับ ๆ ฆ่าพวกนั้นแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ให้ทำลายขบวนทัพของพวกนั้นให้ระส่ำระส่าย เพราะในตอนนั้นสายตาของชาวเป่ยโม่ทั้งหมดจะพุ่งตรงไปที่กองกำลังหลัก ทั้งหมดจะเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้อย่างสุดกำลัง ย่อมไม่มีการคิดระวังป้องกันอย่างอื่น อีกทั้งยังมีความคิดว่าข้าตายแล้ว ราชวงศ์เป่ยถังจะต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน มันจะดึงดูดความปรารถนาของอ๋องชินหลายคนที่อยู่ในสนามรบ พวกเขาต้องพะวงถึงตำแหน่งรัชทายาทคนต่อไป ในใจอาจเกิดความสงสัยซึ่งกันและกัน ในสนามรบ สิ่งต้องห้ามที่สำคัญที่สุดคือการไม่มีสมาธิในการทำศึก หากเดาภายใต้ความคิดเช่นนี้ พวกเขาจะต้องรวบรวมกำลังพลบุกเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บุกเข้าโจมตี ย่อมมีใจฮึกเหิมที่จะเอาชนะและจะไม่เหลือทางถอยไว้ข้างหลัง ทันทีที่อาวุธและกองทัพของเราเข้าประจำที่แล้ว ก็จะสามารถกำจัดศัตรูให้หมดได้ในคราวเดียว ด้วยวิธีนี้ สงครามจะสามารถยุติลงได้อย่างรวดเร็ว และจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป่ยถังมากนัก”
ภายใต้การวิเคราะห์ของหยู่เหวินเห้า ทุกคนต่างก็ครุ่นคิดตามอย่างหนัก พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างมาก เมื่อพวกเขาหันไปมองฉีฮั่วอีกครั้ง ในดวงตาของทุกคนก็มีประกายที่สื่อถึงความเคารพยกย่อง ในเมื่อเป็นคนที่อ๋องชินเฟิงอันมอบหมายให้มา คนผู้นี้ย่อมต้องมีทักษะที่ยอดเยี่ยมแน่ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวรยุทธ์ที่ทุกคนล้วนได้เห็นกับตาตัวเองมาแล้ว จนถึงตอนนี้ทุกคนล้วนตั้งตารอคอยแล้วว่า หัวคนดินปั้นหัวนั้น เมื่อถูกเผาไฟแล้วจะมีลักษณะออกมาเป็นอย่างไร
ฉีฮั่วไม่สนใจสถานการณ์ปัจจุบันมากนัก และไม่ได้ออกความเห็นใด ๆ ด้วย เขาแค่หันหน้าไปถามหยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าด้วยคำพูดที่จริงใจว่า”ถ้าเรื่องนี้สำเร็จด้วยดี พวกเจ้ายินดีที่จะให้คำมั่นว่าจะยอมให้เด็กในท้องมาเป็นลูกศิษย์ของข้าหรือไม่? ข้าลองคำนวณชะตาดูแล้ว ข้ากับนางมีวาสนาต่อกัน ว่าในชีวิตนี้จะได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า”เรื่องนี้ รอจนกว่าเด็กจะเกิด แล้วเราค่อยมาวางแผนกัน ดีหรือไม่?”
ฉีฮั่วยิ้มแย้ม “ได้แน่นอน เด็กคนนี้มีวาสนากับข้า ต่อให้พวกเจ้าจะไม่อนุญาต นางก็จะเลือกมาเป็นลูกศิษย์ของข้าอยู่ดี”
หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าได้ยินเรื่องนี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ถูก เคยได้ยินแต่เรื่องหมั้นหมายตบแต่งตั้งแต่อยู่ในท้อง แต่ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการหมายมั่นให้มาเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่อยู่ในท้อง ปกติแล้วมันจำเป็นต้องดูคุณสมบัติก่อนไม่ใช่รึ? เด็กยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ จะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง จะฉลาดหลักแหลมหรือโง่เขลาเบาปัญญา ก็ยังไม่รู้สักอย่าง จู่ ๆ จะรับเป็นศิษย์เลยได้อย่างไรกันล่ะ?
หยู่เหวินเห้ากลับพูดในใจว่า ถึงแม้คนผู้นี้จะพยายามแสดงความถ่อมตัวและสุภาพออกมาก็จริง แต่บางครั้ง ก็จะเห็นเขาแสดงความเย่อหยิ่งอวดดีออกมาอย่างปิดไม่มิด ซึ่งนั่นแปลว่าเขาพยายามจะสะกดกลั้นนิสัยที่แท้จริงไว้ และถ้าหากว่าท้องนี้เป็นเด็กผู้หญิง นั่นก็จะเป็นแก้วตาดวงใจที่สุดแสนมีค่าของเขา เป็นอัญมณีที่ต้องโอบประคองไว้ในฝ่ามือ มีหรือที่เขาจะตัดใจให้ไปจับดาบเรียนวรยุทธ์ได้? ในโลกนี้ สิ่งที่ยากลำบากที่สุดก็คือการฝึกฝนวรยุทธ์นี่ล่ะ
เขาคิดว่าพอถึงเวลานั้น เขาจะคิดหาวิธีที่จะปัดเรื่องนี้ออกไป แต่ตอนนี้เขาจะยังไม่พูดถึงมัน หลังจากนี้ยังต้องไปถามอ๋องชินเฟิงอันให้ดี ว่าคนผู้นี้มาจากไหน
หยู่เหวินเห้าจัดหาที่พักให้เขา ส่วนท่านชายสี่ก็พักอยู่ในจวนด้วยเป็นการชั่วคราว โดยไม่พูดอะไรเลยตลอดทั้งคืน
รอจนตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ทังหยางก็มารายงานว่าหัวดินปั้นเผาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หยู่เหวินเห้าสั่งให้คนไปเชิญท่านชายสี่กับ ฉีฮั่วไปที่ห้องโถงด้านข้าง ปิดประตูจนแน่น แล้วทังหยางก็นำหัวคนปั้นออกมาจากกล่องไม้ มาวางลงบนโต๊ะ
เมื่อทุกคนเห็นหัวปั้น ต่างก็ตกใจกลัวจนหน้าถอดสี ตอนที่เห็นเมื่อวานยังดูไม่คล้ายซักเท่าไหร่เลย แต่ทำไมพอผ่านการเผาไฟแล้ว ถึงได้ดูเหมือนราวถอดแบบกันมาขนาดนี้ได้ล่ะ?
คิ้ว จมูก ริมฝีปาก หู นอกเหนือไปจากแค่ไม่มีขน ทุกอย่างล้วนเหมือนหยู่เหวินเห้าทุกประการ แม้แต่สีผิวก็เหมือนกันชนิดไม่มีผิดเพี้ยน แต่กลับยังมองออกได้ว่าเป็นหัวที่ปั้นมาจากดินเหนียว
ฉีฮั่วให้หยู่เหวินเห้าหยดเลือดลงบนส่วนของกะโหลกศีรษะ ในขณะที่หยู่เหวินเห้ายังตกตะลึงพรึงเพริดไม่หาย ก็หยิบกริชออกมาแล้วกรีดลงบนนิ้วมือ หยดเลือดลงไปสองสามหยดบนส่วนกะโหลก
เลือดค่อย ๆ หลอมรวมกัน และภายใต้การจ้องมองของทุกคน หัวคนปั้นหัวนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสี เป็นสีแดงดำกว่าผิวของหยู่เหวินเห้าเล็กน้อย แต่ส่วนพื้นผิวของผิวหนังนั้นค่อย ๆ ปริแตกออก หลังจากปริออกแล้วก็เริ่มเหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็ว มีสภาพเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วหลายวัน เริ่มมีกลิ่นเลือดและกลิ่นหืน ๆ โชยมา ในตำแหน่งของคอที่หักขาดนั้นดูเรียบร้อยมาก ทั้งยังมีรอยแดงดำบ้างเล็กน้อย สภาพเหมือนเลือดคั่งที่จับตัวกันเป็นก้อน
และเพราะว่ามันเหมือนจนเกินไป หยวนชิงหลิงที่มองดูหัวคนปั้นหัวนั้น จึงเกิดความรู้สึกทรมานใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ท่านชายสี่พูดพึมพำ“นี่มันเป็นไปไม่ได้ หัวคนปั้นดินเผาหัวนี้ ทำไมหลังจากหยดเลือดลงไปแล้ว มันถึงดูเหมือนหัวคนจริง ๆ ขึ้นมาได้ล่ะ?”
ฉีฮั่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เพราะว่าพอมีเลือดคนเป็นสื่อ เลือดนั้นเป็นสิ่งที่มีพลังหยินมากที่สุด มันจะรวบรวมเอาอารมณ์ความรู้สึกในด้านมืดที่หยินแฝงอยู่บางส่วนในตัวคนเรา นำมาหลอมรวมผูกมัดเป็นแกนกลาง นี่เป็นเคล็ดวิชาลับ เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”
“เคล็ดวิชาลับ? ท่านเป็นคนเจียงเป่ยรึ?” ท่านชายสี่จำได้ว่ามีศาสตร์วิชาลับแบบนี้มากมายในหมู่หมอผีของเจียงเป่ย ในหมู่มวลเหล่านั้น ยังมีมนต์คาถาที่สามารถปลุกเสกคนตายให้มีสภาพราวกับว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อีกด้วย
ฉีฮั่วมองไปที่ท่านชายสี่ ดวงตาอบอุ่น พูดขึ้นว่า”ใต้หล้านี้ไม่ได้มีแค่คนเจียงเป่ยเท่านั้นหรอกที่รู้เคล็ดวิชาลับ หัวคนปั้นหัวนี้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมแล้ว ข้าจะเอาหัวนี้ไปก่อน สำหรับกลยุทธ์ที่จะเดินหมากตานี้ พวกเจ้าก็จัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันเองแล้วกัน”
ฉีฮั่วหยิบผ้าชิ้นหนึ่งในกล่องไม้ออกมา พันห่อหัวคนปั้นเอาไว้ แล้วแบกสะพายไว้บนไหล่ ประสานมือกล่าวลาทุกคน แล้วก้าวเท้ายาว ๆ เดินจากไป
การวางกลยุทธ์ตลบหลังนั้น แน่นอนว่าไม่มีอะไรยาก เพราะหลายวันมานี้มีนักฆ่าดาหน้าเข้ามาไม่หยุด กับดักนี้สมควรวางให้ดีถึงจะสำเร็จ และเพราะว่าจอมมารกระบี่ตัวจริงอยู่ในเมืองหลวง เขาจะซุ่มซ่อนรอเวลาอยู่ในความมืดหรือไม่ก็ยังไม่รู้ จะให้ดีที่สุดคือต้องโหมกระพือเรื่องที่รัชทายาทเกิดเรื่องร้ายออกไปให้ใหญ่โต แต่พอหลังจากมีข่าวจนเซ็งแซ่แล้ว ก็ต้องทำเป็นระงับข่าวด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แค่พอทำให้สายลับในเป่ยโม่รู้เรื่องนี้ได้ก็พอแล้ว
และในเวลานี้เอง เหลิ่งจิ้งเหยียนกับหงเย่ก็กลับมาที่เมืองหลวงพอดี พวกเขาตรงกลับไปที่จวนอ๋องฉู่ก่อน หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เหลิ่งจิ้งเหยียนก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ไม่ง่ายดายแล้วหรอกรึ? ก็แค่ให้จอมมารกระบี่มาลอบสังหารที่จวนอ๋องฉู่ และการลอบสังหารนี้ก็ควรทำให้เอิกเกริกจนคนรู้ไปทั่วสารทิศได้ยิ่งดี ”
“ข้าว่าเรายังไม่ควรเสี่ยงแบบนั้น ถ้าจอมมารกระบี่มาจริง ๆ ไม่แน่ว่าเราอาจจะรับมือไม่ได้” ในเวลานี้ ท่านชายสี่ไม่มั่นใจในคนของตัวเองแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้เห็นวิชาตัวเบาของจอมมารกระบี่เมื่อคืน เขาก็รู้ว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือในหมู่มวลยอดฝีมือภายในวงการ ถ้าการป้องกันไม่แข็งแกร่งพอ แล้วรัชทายาทเกิดเพลี่ยงพล้ำโดนเขาเด็ดหัวไปจริง ๆ จะรู้สึกเสียใจเอาตอนนั้นก็คงไม่ทันเสียแล้ว
เหลิ่งจิ้งเหยียนกลับพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่า “ถ้ารับมือไม่ได้ ก็ปล่อยให้รับมือไม่ได้ไปเถอะ พวกเราแค่ต้องแสดงให้เห็นว่าเราทุ่มสุดตัวแล้วจริง ๆ”
หยู่เหวินเห้ามองเขา ทันใดนั้นก็เกิดการคาดเดาอันน่าประหลาดใจขึ้นมา “จอมมารกระบี่บอกว่าเขาจะไปหาลูกศิษย์ของเขา คงไม่บังเอิญว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเขาพอดีหรอกนะ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนยกแก้วน้ำขึ้นมา ใช้นิ้วที่เรียวบางจนสามารถแยกแยะกระดูกและข้อต่อบนมือได้อย่างชัดเจนไล้ไปตามขอบแก้ว ยกยิ้มที่มุมปาก “ใต้หล้าแห่งนี้ ช่างมีเรื่องบังเอิญอยู่จริง ๆ ใช่แล้วล่ะ!”
ทุกคนตะลึงงัน จอมมารกระบี่ที่ทุกคนพากันวิตกกังวลมานาน แท้จริงแล้วกลับเป็นอาจารย์ของเหลิ่งจิ้งเหยียนอย่างนั้นรึ?
สวีอีจ้องเขาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด “ถ้าอย่างนั้น จอมมารกระบี่สอนบทกวีให้เจ้า หรือสอนร้องกลอนเพลงให้เจ้าล่ะ?”
หงเย่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่เข้ามา ตอนนี้พอเขาได้ยินสวีอีถามคำถามนี้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เกรงว่าคงจะเป็นความแข็งแกร่งของพลังภายใน หรือไม่ก็วรยุทธ์เสียมากกว่า ความแข็งแกร่งของพลังภายในของใต้เท้าเหลิ่งคงจะลึกล้ำมาก แค่กลีบดอกไม้ปลิดปลิว หรือใบไม้ที่ร่วงหล่น ก็สามารถทำร้ายคนได้แล้วล่ะ!”
สวีอีส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว “เป็นไปไม่ได้ ข้ารู้จักใต้เท้าเหลิ่งมานานหลายปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นเขาแสดงวรยุทธ์ให้เห็นมาก่อนเลย!”
“นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าใต้เท้าเหลิ่งซ่อนเร้นตัวตนได้ลึกมากพอไม่ใช่รึ!” ขณะที่หงเย่จ้องมองเหลิ่งจิ้งเหยียน ก็พูดอย่างครุ่นคิดไปด้วย
รอยยิ้มของเหลิ่งจิ้งเหยียนสงบนิ่งและอบอุ่น “บางครั้ง การทำตัวเด่นก็อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”
ทังหยางพูดขึ้นว่า”เอาเป็นว่านี่คือเรื่องจริง ในเมื่อจอมมารกระบี่เป็นอาจารย์ของใต้เท้าเหลิ่ง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายแล้วล่ะ!