บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1275 กุดศีรษะของไท่ซ่างหวงก่อน
เมื่อมองดูใบหน้าที่อ่อนโยนของเขา หยู่เหวินเห้าอดคิดถึงเรื่องที่ทุกคนคาดเดาขึ้นมาไม่ได้ จึงลดเสียงให้เบาลงแล้วถามอย่างกระซิบกระซาบว่า “เสด็จปู่ เมื่อก่อนท่านเคย…..แค่ก ๆ ๆ คิดอะไรแบบนั้นกับพระชายาชินเฟิงอันหรือไม่?”
ไท่ซ่างหวงกลอกตาใส่เขาไปหนึ่งที “อะไรคือคิดอะไรแบบนั้น? ใครบอกเจ้ารึ?”
หยู่เหวินเห้ายิ้มเจื่อน ๆ พลางพูดว่า “ฉางกงกง เขาบอกว่าเมื่อตอนที่ท่านได้พบกับพระชายาชินเฟิงอันครั้งแรก นางยังเป็นเพียงคุณหนูสามของจวนกั๋วกง ซึ่งหมายความว่า ท่านได้รู้จักนางเร็วกว่าเสด็จปู่ใหญ่ด้วยซ้ำ”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นั่นล้วนเป็นความเข้าใจผิด”
“ หมายความว่า ท่านไม่เคยชอบนางเลยอย่างนั้นรึ?” หยู่เหวินเห้าถามด้วยความสงสัย ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมทั้งฉางกงกงและแม่นมสี่ต่างก็เคยพูดแบบนั้น?
“ในตอนนั้น” ไท่ซ่างหวงหรี่ตาแล้วหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น “ตอนที่ได้พบกับเสด็จย่าใหญ่ของเจ้า นางเรียกตัวเองว่าเป็นคุณหนูสามแห่งจวนกั๋วกงซูลั่วเฉี่ยน แต่ต่อมาจึงพบว่านางไม่แค่พยายามปกปิดสถานะของตัวเอง อีกทั้งยังจำเรื่องนี้ไม่ได้เลยด้วย พูดอะไรว่ารักว่าชอบ? เสด็จย่าใหญ่ของเจ้าเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตข้า ทั้งยังมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้ามา ชั่วชีวิตนี้ ข้ารู้สึกขอบคุณในบุญคุณของนางมาโดยตลอด”
“แต่ทำไมท่านถึงกลัวนางขนาดนี้ล่ะ ? แล้วหลังจากนั้นท่านก็แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย”
“นางเข้มงวดมาก เรียกได้ว่าเข้มงวดกับข้าเป็นพิเศษเชียวล่ะ” ไท่ซ่างหวงพูดกับตัวเองพลางหัวเราะ “แต่ว่านะ คนเรายิ่งรักใครมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งต้องการความสนใจและรับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น ความรักและเมตตาของนางที่มีต่อข้า มันถูกจดจำไว้ในหัวใจของข้าเสมอไม่เคยลืม ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมภายหลังเราถึงไม่ค่อยเจอหน้ากัน นั่นไม่ใช่เพราะเรื่องของการแก่งแย่งบัลลังก์ฮ่องเต้อย่างที่โลกภายนอกคาดเดากันหรอก เป็นเพราะตอนพวกเขาตัดสินใจว่าจะไปท่องเที่ยวจนทั่วหล้า ก็ออกไปจากเมืองหลวง ถึงขั้นที่ออกไปจากเป่ยถังด้วยซ้ำ ตอนนั้นข้าโกรธมาก ทั้งขอร้องทั้งอ้อนวอนให้พวกเขาอยู่ แต่พวกเราหลายต่อหลายคนต่างขอร้องกันอยู่หลายวัน พวกเขาบอกว่าจะไปก็ไปเลย ช่างน่าชังยิ่งนัก!”
พูดจนถึงตอนท้าย น้ำเสียงของไท่ซ่างหวงยังแฝงแววพร่ำบ่นน้อย ๆ พูดเสริมไปอีกสองประโยคว่า “หลังจากผ่านความทุกข์ยากลำบากมามากมายขนาดนี้ ทำไมถึงพูดว่าจะไปก็ไปเลยได้นะ?”
หยู่เหวินเห้าร้องอ๋อขึ้นมาเสียงหนึ่ง ความขุ่นเคืองในลักษณะนี้ ดูแล้วก็เหมือนเด็กขี้โมโหจริง ๆ นั่นล่ะ จะทนอยู่กับมันมานานหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไรกันล่ะ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่พอเขาเห็นว่าพระชายาอ๋องชินเฟิงอันกลับมา ไท่ซ่างหวงก็เอะอะพาลพาโลเหมือนกับเด็ก ๆ ก็ไม่ปาน อาจเป็นเพราะในหัวใจของคนเป็นพี่สะใภ้ เขาจะยังเป็นเด็กที่ไม่เคยโตขึ้นเลยไปตลอดกาล
ในตอนท้าย ไท่ซ่างหวงมองดูโคมไฟที่กะพริบวูบวาบ แล้วบ่นพึมพำว่า”ในชีวิตนี้ของข้า แท้ที่จริงแล้ว ช่วงที่มีความสุขที่สุดก็คือช่วงเวลานั้นแล้ว ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยจะดีนัก อยากโตเร็ว ๆ อยากไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวให้ได้ แต่ในเวลานั้น ทุก ๆ คนที่รักใคร่ห่วงใยต่างก็อยู่เคียงข้างเสมอ ทุกวันต้องพบเจอความลำบากหรืออันตรายแค่ไหน ก็ร่วมแรงฝ่าฟันมาด้วยกันไม่เคยทอดทิ้ง”
ประสบการณ์ที่ผ่านมาของหยู่เหวินเห้า ยังไม่มากพอที่จะเข้าใจคำพูดของไท่ซ่างหวงได้ แต่พอเขามาใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพ มีทหารกลุ่มหนึ่งที่พร้อมร่วมเป็นร่วมตายกับเขา มาตอนนี้พอเขาหวนคิดขึ้นมา ก็รู้สึกว่าความรู้สึกที่เรียกว่ารักนั้นมีคุณค่ามหาศาลมากจริง ๆ
หลังจากนั้นไท่ซ่างหวงก็หลับไป แต่หยู่เหวินเห้ากลับนอนไม่หลับอยู่เป็นนานสองนาน การต่อสู้จะเริ่มในเช้าวันพรุ่งนี้ สำหรับกองทัพเป่ยถัง นอกจากการสู้กับป้องกันจนตัวตาย ก็ไม่มีหนทางให้ถอยหนีได้อีกแล้ว และอันตรายของการต่อสู้ครั้งนี้คือ ถึงแม้มีกำลังเสริมก็ไม่สามารถมาช่วยได้ พวกเขาต้องยืนหยัดสู้อย่างยากลำบากกันเองให้ถึงที่สุด
หากรักษาด่านนี้ไว้ได้ อย่างน้อย ๆ ก็สามารถแลกสันติภาพที่แนวชายแดนของเป่ยถังมาได้ราว ๆ สิบถึงยี่สิบปีเลยทีเดียว
เขามีทั้งผู้คน หน้าที่ และสิ่งสำคัญที่จะต้องปกป้องมากเกินไปจริง ๆ
เมื่อมองดูใบหน้าที่กำลังหลับใหลของไท่ซ่างหวง ดวงตาของเขาก็อ่อนโยนลงไปหลายส่วน มีโอกาสร่วมมือกันสังหารศัตรูกับเสด็จปู่ ไม่แน่ว่านี่อาจจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ได้
รุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าได้เตรียมรูปแบบการเคลื่อนทัพ สั่งให้ลู่หยวนกับอ๋องชุนนำคน สามหมื่นคนไปบุกค่ายพักของเป่ยโม่ก่อน หลังจากโจมตีแล้ว ให้พวกเขารีบเคลื่อนทหารกลับมาทันที ไม่ให้ยื้อเวลา การจู่โจมคือจะต้องบุกฆ่าอีกฝ่ายแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้พวกนั้นตื่นตระหนกสับสน หลังจากจู่โจมกองกำลังหลักแล้ว ค่อยบุกกวาดล้างทันที
เนื่องจากการต่อสู้ครั้งก่อนล้วนเป็นเพียงการหยั่งเชิง ชาวเป่ยโม่ถูกโจมตีแบบใช้เล่ห์เหลี่ยมหลายครั้ง จึงคิดว่าครังนี้หยู่เหวินเห้าก็คงจะซ่อนตัวแล้วหาโอกาสโจมตีอีก แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกโจมตีในตอนเช้าตรู่ และอาวุธที่ใช้ก็ยังเป็นอาวุธประเภทที่ระเบิดได้เหมือนเดิม ทำให้ชาวเป่ยโม่ล้วนตกใจจนมือเท้าสับสนไปชั่วขณะ
เสียงเป่าแตรดังกึกก้อง กังวานไปทั่วท้องฟ้า ตามด้วยม้าตัวหนึ่งที่วิ่งทะยานออกไป เสียงร้องตะโกนว่าเป่ยถังต้องมีชัยดังขึ้น ทหารกว่าสองแสนนายพลันเคลื่อนทัพ พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของค่ายทหารเป่ยโม่
เงาของคมดาบที่ปะทะกัน เสียงย่ำของเกือกม้าทองและเหล็กดังเสียดหูเลื่อนลั่น สนามรบเกิดการรบราเข่นฆ่าอย่างโหดร้าย จนแทบจะย้อมท้องฟ้าให้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
ความตื่นตระหนกของเป่ยโม่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ไม่นานทัพก็ถูกปรับรูปแบบอย่างเป็นระเบียบ รุกคืบบีบบังคับขึ้นไปทีละขั้นทีละตอน แค่ดูจากจำนวนคน ก็สามารถบดขยี้กองทัพเป่ยถังได้หมดชนิดไม่เหลือซากแล้ว
กองทัพเป่ยถังเองก็แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และความดื้อรั้นที่หาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยอมตายแต่ไม่ยอมถอย เซียวเหยากงนำคนของเขาพุ่งเข้าไปหาแม่ทัพใหญ่ฉินโดยตรง การเผชิญหน้าระหว่างแม่ทัพกับแม่ทัพ การเข่นฆ่าระหว่างทหารกับทหาร เพียงชั่วอึดใจ เมืองซิ่วโจวก็ถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดที่ไหลหลั่งดั่งสายธาร
ในขณะที่กำลังสู้รบเข่นฆ่าจนเลือดตาแทบกระเด็นอยู่นั้น ก็มีคนขี่ม้าพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ม้าตัวที่หนึ่ง ตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สิบ กระทั่งสุดท้ายมีเป็นร้อย ๆ ตัว ท่ามกลางฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจาย ได้ยินเพียงเสียงคนเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “หนานเปียนเค่อ มาให้ความช่วยเหลือไท่ซ่างหวงอีกแรง!”
“นักฆ่ากองพันสิบสองมาให้ความช่วยเหลือไท่ซ่างหวงอีกแรง!”
“เอ๋อเหมยทั้งสำนักมาให้ความช่วยเหลือไท่ซ่างหวงอีกแรง!”
“สำนักซาไห่มาให้ความช่วยเหลือไท่ซ่างหวงอีกแรง!”
ผู้คนยิ่งมาเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหวดแส้ที่ดังสนั่น คนควบม้าทะยานเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในสนามรบที่มีคนกว่าล้านคน การมาถึงของคนไม่ถึงพันคน อาจดูแล้วไม่นับว่ามากนัก แต่ทว่า สิ่งที่สร้างความน่าตกตะลึง คือการโห่ร้องก้องตะโกนออกมาได้ราวกับว่ามีคนอยู่นับแสน ๆ คนไม่ก็ปาน
ไท่ซ่างหวงกับหยู่เหวินเห้ากำลังเข่นฆ่าศัตรู เมื่อหันหน้ากลับไป พวกเขาเห็นเพียงเงาดำบินโฉบผ่านไป ปราณกระบี่ที่วาดออกไปเกิดเป็นลำแสงเย็นเยียบสายแล้วสายเล่า ทุกที่ที่พลังปราณกระบี่แล่นไป ต้องได้ตัดหัวของศัตรูจนขาดเลือดสาดกระเด็น
ชั่วขณะนั้น ขวัญกำลังใจของกองทัพก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เดิมที มีกำลังรบน้อยศัตรูมาก อาศัยแค่คำว่ากล้าหาญคำนี้เพียงคำเดียว แต่ตอนนี้ได้เห็นชาวยุทธ์ต่างพากันมาช่วยรบ จึงเห็นได้ชัดว่า เป่ยถังทั้งดินแดนล้วนเปี่ยมด้วยความสามัคคีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้ทุกคนเกิดความฮึกเหิมขึ้นมาในบัดดล พุ่งเข้าหาศัตรูนับหมื่นแสนอย่างห้าวหาญไม่หวั่นกลัว
หงเย่ก็มาด้วย เขาถือง้าวในมือ บุกทะลวงฆ่าฝ่าเข้าไปในสนามรบ ง้าวยาวกวาดจนเกิดเป็นพื้นที่ว่างผืนหนึ่ง รอจนถึงตอนที่เขาขี่ม้าไปถึงข้างกายหยู่เหวินเห้า เสื้อผ้าของเขาก็อาบย้อมไปด้วยเลือดจนแดงเถือกเป็นริ้ว ๆ ไปหมดแล้ว
เขาหันไปยิ้มให้หยู่เหวินเห้า ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดเลือดบนใบหน้า แล้วพูดว่า “ถูกต้อง ข้าก็คนเป่ยถังนะ!”
นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสถานะของเขา และเขาก็มาเพื่อพิสูจน์สถานะของตัวเองแล้ว
จะอ๋องชิน จะท่านชายหงเย่แห่งแคว้นซู่เซียนเปยอะไรก็แล้วแต่ เขาไม่ใช่ทั้งนั้น เขาคือชาวเป่ยถังต่างหาก
หยู่เหวินเห้าก็หันไปยิ้มให้เขา แล้วเตือนไปประโยคหนึ่งว่า “ระวังด้วยล่ะ!”
หงเย่หน้ายังไม่หันด้วยซ้ำ ก็เหวี่ยงง้าวไปด้านหลัง แทงทะลุหน้าอกของศัตรู พวกเขาต่อสู้เคียงบ่ากัน เมื่อดึงอาวุธออก แล้วฆ่าศัตรูไปอีกสองสามคนติด ๆ กัน ก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “ไม่รู้ว่าถ้าข้าสามารถฆ่าศัตรูได้ถึงพัน จะได้รางวัลอะไรบ้างหนอ?”
“ เหล้าหนึ่งกา บวกกับได้ข้าเป็นสหายอีกหนึ่งคน!” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยรอยยิ้ม ยังคงใช้กระบี่สังหารศัตรูต่อไป
แม่ทัพใหญ่ฉินแห่งเป่ยโม่เห็นว่าคนจากอีกฝั่งเริ่มมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังเป็นพวกยอดฝีมืออีกด้วย แม้จะพูดได้ว่าพวกเขาสองหมัด อย่างไรก็ยากจะสู้สี่มือสี่เท้า แต่เมื่อไหร่ที่พวกยอดฝีมือลงสนามมาร่วมสู้ มันย่อมสร้างความเสียหายอย่างมากต่อขวัญกำลังใจของกองทัพ เขาแอบร้อนใจ คิดว่าจะต้องเลือกลงมือกับไท่ซ่างหวงก่อน เพื่อให้จิตวิญญาณของชาวเป่ยถังถูกทำลายลงได้มากที่สุด
เขาตะโกนต่อหน้ากองทัพ “ใครที่กุดศีรษะของไท่ซ่างหวงฝ่ายศัตรูมาได้ มีรางวัลให้หนึ่งหมื่นตำลึง!”
กองทัพเป่ยโม่รุมล้อมเข้ามาทันที เมื่อเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร หยู่เหวินเห้าก็รีบส่งคนไปปกป้องไท่ซ่างหวงทันที แต่เขาไม่ต้องการ เพราะมีชาวยุทธ์จำนวนมากเร่งเข้ามาช่วยไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาเห็นว่าไท่ซ่างหวงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย จึงรีบพริ้วกายเหินมาทันที สร้างรูปแบบการยืนเป็นวงกลม เพื่อเข่นฆ่าศัตรูที่ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง