บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1277 พระชายาอานกลับเมืองหลวงแล้ว
การรบที่ด่านหน้าตึงเครียด ทุกคนในเมืองหลวงต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตาม ๆ กัน
พระชายาอานพาอานจื้อกลับมาถึงเมืองหลวง ยังไม่ทันจัดที่ทางให้เรียบร้อย ก็พาลูกสาวไปจวนอ๋องฉู่เพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ตอนนี้ทันที
การเดินทางครั้งนี้นางเดินทางได้ช้ามาก สาเหตุหลักมาจากร่างกายหลังคลอดของนางค่อนข้างอ่อนแอ อานจือก็ทนความเหนื่อยล้าจากการโดยสารรถนาน ๆ ไม่ได้ แต่ในใจนางคิดอยากจะกลับมาให้ไวดั่งลูกธนูที่หลุดจากแล่ง เพราะมีแต่ต้องกลับมาที่เมืองหลวงเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่แนวหน้า
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าสี่ไปออกรบ แต่สงครามครั้งนี้ ต่อให้นางที่เป็นผู้หญิงซึ่งอยู่แต่เหย้าเฝ้าแต่เรือนเป็นคนวิเคราะห์ ก็ยังรู้สึกว่าโอกาสชนะมีไม่สูง ประเด็นหลักก็เพราะกองทัพเป่ยโม่ยาตราทัพออกมาอย่างเต็มกำลัง มีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเป่ยถังอย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อมาถึงจวนอ๋องฉู่ ถึงได้รู้ว่าหรงเยว่ก็มาพักอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน จึงถามถึงสถานการณ์ในแนวหน้าทันที
หรงเยว่ตอบว่า”ข้าได้รับจดหมายเรื่องการบุกโจมตีเมื่อสองวันก่อน สองสามวันนี้คงจะเป็นกุญแจสำคัญแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก จดหมายเขียนมาว่าแผนการล้วนได้รับการวางแผนมาอย่างดี ขอแค่ยืนหยัดไว้ให้ได้ในช่วงสองสามวันนี้ บวกกับการซุ่มโจมตี ก็จะสามารถทำลายล้างกองทัพส่วนใหญ่ของเป่ยถังลงได้แล้วล่ะ”
เมื่อพระชายาอานได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกวางใจลงได้มาก หยวนชิงหลิงสั่งให้คนนำผ้าขนหนูร้อนมาให้นางเช็ดหน้าเช็ดตา นางเช็ดหน้าไปพลาง ก็พูดไปพลางว่า “เมื่อตอนที่ข้ากลับมา ได้ยินว่ามีการอพยพคนในเมืองซิ่วโจวให้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นไปก่อน แต่เจียงเป่ยอยู่ติดกับแนวหน้า กลับไม่มีการสั่งอพยพคนออกจากพื้นที่ ข้ายังคิดอยู่เลยว่าผู้คนในแถบเจียงเป่ยนั้นคงต้องตกระกำลำบากแน่แล้ว”
“เมืองซิ่วโจวป้องกันได้ง่ายแต่โจมตีได้ยาก เหมาะสมแล้วที่พวกเขาจะเลือกเมืองซิ่วโจว เมืองเจียงเป่ยเชื่อมต่อกันทุกทิศทาง มีทางออกมากมาย ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อพวกเรา” หยวนชิงหลิงพูด หลังจากนั้นนางยังดูแผนที่ไปด้วย ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น สายตาที่สามผู้นำใหญ่มองแผ่นดินของตนเองนั้น สามารถเรียกได้ว่าแม่นยำเสียจนให้ท่องกลับหลัง ก็ยังไม่มีตกหล่นได้เลยทีเดียว
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!” พระชายาอานหัวเราะยินดี เมื่อมองเห็นฝุ่นบนผ้าขนหนู นางก็ส่ายหน้า “การเดินทางครั้งนี้รีบร้อนนัก ฝุ่นผงคละคลุ้ง ข้าเองก็ไม่กล้าชักช้าเสียเวลา แต่รถม้าก็วิ่งได้ไม่เร็วเลยจริง ๆ จะกินก็กินไม่ลง กังวลใจแทบตายให้ได้แล้ว”
ทุกคนไม่เคยเห็นพระชายาอานมีสภาพทั้งมอมแมม ทั้งยังวิตกกังวลถึงขนาดนี้มาก่อน ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
“ทำไมเจ้าไม่พาอานจือมาที่นี่ด้วยล่ะ?” หรงเยว่คิดถึงแม้หนูน้อยขึ้นมาแล้ว จึงเอ่ยถามหา
“ นางเหนื่อยแล้ว ให้แม่นมกล่อมนางกินนมนอนไปแล้วล่ะ” พระชายาอานจิบชาพลางถอนหายใจ“บ้านเกิดนี้ดีจริง แม้แต่น้ำก็ยังหวานกว่ามาก”
หรงเยว่”แน่นอนอยู่แล้ว ในที่หนาวเย็นและลำบากอย่างเจียงเป่ย แม้แต่น้ำก็มีรสขมฝาด เจ้าเป็นลูกสาวจากตระกูลขุนนางในเมืองหลวง หลังจากแต่งให้อ๋องอาน ได้เป็นพระชายาอยู่นานหลายปีแล้วจะให้ไปทนตกระกำลำบากได้อย่างไรล่ะ? ไม่แน่นะว่าหลังจากจบสงครามนี้ ฝ่าบาทอาจจะมีพระราชานุญาตให้เจ้ากลับมาอยู่เมืองหลวงก็ได้”
พระชายาอานยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ แค่ความลำบากทางกาย นับเป็นความลำบากเสียที่ไหนล่ะ? อยู่ที่นั่นก็สบายใจดีออก ไม่ต้องคิดอะไรมาก จิตใจก็สงบลงมาได้ไม่น้อย ถ้าข้าคิดถึงพวกเจ้าจริง ๆ ข้าก็จะกลับมาเมืองหลวงปีละครั้ง มาพักอยู่สักเดือนสองเดือน แต่การจะกลับมาลงหลักปักฐานที่เมืองหลวง ข้ารู้สึกว่านั่นไม่ดีเท่าไหร่”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่านางคิดได้ถูกต้องทีเดียว ธรรมชาติของมนุษย์คือสิ่งไม่อาจทดสอบได้ที่สุดแล้ว
พระชายาอานพูดขึ้นอย่างกังวลใจอีกครั้งว่า “ถ้าเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องใช้ชีวิตที่ลำบากหรือหนาวเหน็บไปตลอดชีวิต ข้าก็ยินดี”
“คิดอะไรอย่างนั้นล่ะ? อย่างไรก็ต้องกลับมาได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้วสิ” หรงเยว่ตำหนินางที่คิดอะไรเหลวไหล
“ใช่ ๆ ข้านี่พูดจาเหลวไหลเสียจริง เพ้ย ๆ ๆ !” พระชายาอานรีบกระทืบเท้าพลางถ่มน้ำลายขับไล่ลางอัปมงคล ท่าทางดูไม่เหมือนพระชายาผู้สูงศักดิ์ในอดีตเลยแม้แต่น้อย แต่ถูกย้อมไปด้วยบรรยากาศของชาวบ้านล้านตลาดที่สามัญมาก ๆ ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
หลังจากพระชายาอานกลับไป หรงเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าฮูหยินเหยาไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว จึงพูดว่า “หลังจากที่นางเข้าวังไปเพื่อกล่าวขอบคุณในวันนั้น นางก็ไม่มาอีกเลย เสด็จพ่อตรัสอะไรกับนางกันแน่นะ?”
“ไม่รู้สิ หรือไม่ ส่งคนไปเชิญนางมาที่นี่สักหน่อยน่าจะดี? ” หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในเวลานี้การต่อสู้ในแนวหน้านั้นตึงเครียดมาก นางเองก็น่าจะกังวลใจมากเช่นกัน เมื่อไม่กี่วันก่อน นางยังมาที่นี่ทุกวันเพื่อถามถึงสถานการณ์รบอยู่เลย
“ ก็ดี ข้าจะไปเรียกคนมานะ!” หรงเยว่อุ้มท้องใหญ่ ๆ ของนางเดินออกไปทันที หรงเยว่เป็นคนที่ไม่สามารถอยู่ว่าง ๆ ได้ เมื่อไหร่ที่นางว่าง นางมักจะชอบคิดอะไรฟุ้งซ่าน เมื่อครู่นางเพิ่งจะพูดจาเกลี้ยกล่อมพระชายาอานอย่างจริงจังไปแท้ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ตัวนางเองกลับคิดกังวลเสียจนทำอะไรไม่ถูก
หลังจากที่ฮูหยินเหยามาถึง ก็เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงตรัสในวันนั้นให้ทั้งสองคนฟัง พูดจบ นางก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “บอกตามตรง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดหรอกนะ เขาคอยปกป้องดูแลข้ามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ก็ทำธุระมากมายให้ข้าหลายอย่าง ข้าล้วนเห็นได้ทั้งหมดด้วยสายตาตัวเอง ในชีวิตนี้ของข้า ไม่มีใครจะทำดีกับข้าไปมากกว่าเขาอีกแล้ว หากจะบอกว่าข้าไม่หวั่นไหว นั่นก็นับว่าเป็นการโกหกแล้ว
แต่ว่า ทันทีที่ฝ่าบาทเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ก็มักจะรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องก็เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังต้องการให้พวกเราแต่งงานแบบออกหน้า พวกเจ้าว่า นี่มันไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ? พระองค์มาเจรจาเรื่องงานแต่งให้ลูกสะใภ้ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป จะไม่ทำลายใบหน้าของราชวงศ์จนป่นปี้หมดรึ? ”
หยวนชิงหลิงกลับเข้าใจความคิดของฝ่าบาท นางพูดเบา ๆ ว่า”พระองค์ใส่พระทัยเกี่ยวกับหน้าตาของจวิ้นจู่ ทรงคิดเพื่อวันข้างหน้าของพวกนาง จะได้หาคนจากครอบครัวดี ๆ มาแต่งงานด้วยได้ เจตนาดี ๆ เช่นนี้ เจ้าก็ยอมรับไปเถอะนะ”
หรงเยว่ก็เห็นด้วย พูดว่า “ถ้าไม่เจรจาเรื่องการแต่งงาน อาศัยแค่ตัวเองค่อย ๆ คิดแบบช้า ๆ ต้องใช้เวลาจนถึงเมื่อไหร่ล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเสด็จพ่อเป็นผู้พระราชทานงานสมรสเอง ก็จะมีคำนินทาว่าร้ายกับข่าวลือน้อยลง และยังสามารถแสดงความเอื้ออาทรอันเป็นพระกรุณาธิคุณได้อีก นี่เท่ากับฆ่านกสามตัวด้วยก้อนหินก้อนเดียวแท้ ๆ เลยนะ”
หยวนชิงหลิงคิดไตร่ตรอง “มีสองประเด็นที่ข้าคิดไม่ถึง หนึ่งคือ หวงกุ้ยเฟยถึงกับออกปากพูดให้เจ้าเองเลยจริง ๆ เดิมทีในตอนแรกนางไม่เห็นด้วย ส่วนอีกประเด็นคือ เสด็จพ่อทรงต้องการเปลี่ยนให้นักฆ่าของกระดูกมนุษย์หมาป่า ไม่กลายมาเป็นอันตรายในที่ลับของเจ้าห้าอีกต่อไป การที่พระองค์ยินดีบอกเจ้าถึงการพิจารณาทางการเมืองเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าพระองค์เชื่อใจเจ้ามาก เพราะฝ่าบาทเป็นคนที่แบ่งแยกชัดเจน ในเรื่องที่ไม่ให้ผู้หญิงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง”
ฮูหยินเหยาพยักหน้ารับ “ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”
หรงเยว่มองนาง “ที่จริงแล้วการที่เสด็จพ่อทำเช่นนี้ ก็เข้าใจได้ไม่ยากเลยแม้แต่น้อย บางทีทุกคนอาจลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว นั่นคือฮูหยินเหยามีหลักฐานหลายอย่างของพวกขุนนางใหญ่อยู่ในมือ คนเหล่านี้ อาจไม่ถึงขั้นทำความชั่วช้าเลวทรามใหญ่โต แต่เมื่อไหร่ที่หลักฐานเหล่านี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน มันจะสามารถทำลายชื่อเสียงเกียรติยศได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หลักฐานเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมพวกนั้นได้ดีที่สุด การดึงตัวฮุ่ยเทียนมา นอกจากข้อพิจารณาข้างต้นแล้ว ก็ยังเป็นเพราะไพ่ตายที่อยู่ในมือของฮูหยินเหยา เสด็จพ่อทรงต้องการให้คนพวกนี้ฟังรัชทายาท และต้องไม่ขัดขวางการปกครองแผ่นดินของรัชทายาทต่อจากนี้ แต่พระองค์ก็รู้ด้วยว่า ไพ่ตายในมือเจ้า หากใช้ได้ดี ก็จะเป็นประโยชน์ต่อรัชทายาท แต่หากใช้ได้ไม่ดี นั่นก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เจ้ามีความสามารถในการปลุกระดมหรือควบคุมพวกนั้นได้ กล่าวโดยสรุปคือ ผู้ที่เสด็จพ่อต้องการจะดึงตัวไว้จริง ๆ ก็คือฮูหยินเหยา เขาจำเป็นต้องเก็บเจ้าไว้ในเมืองหลวง และต้องรักษาน้ำใจให้เจ้ายังมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ประทานรางวัลให้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งยกเรื่องการแต่งงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ไม่ลังเล พูดกันตรง ๆ นี่ถือว่าเป็นการซื้อใจคนวิธีหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมองแล้วรับมือกับวิธีนี้อย่างไร ซาบซึ้งในบุญคุณ มีความสุขกันถ้วนหน้า ดูถูกเหยียดหยาม หรือไปถึงขั้นแตกหักไม่ลงรอย ”
หยวนชิงหลิงกับฮูหยินเหยาหันมามองประสานสายตากัน ทั้งคู่ไม่อาจไม่ถอนหายใจให้กับความสามารถที่มองขาดต่อเรื่องราวต่าง ๆ ของหรงเยว่ อันที่จริงแล้วในจุดนี้ ทั้งคู่ต่างก็เข้าใจมันดี แต่พวกนางแค่คิดว่า ชั้นกระดาษหุ้มหน้าต่างชั้นนี้ ไม่เจาะมันให้ขาดจะเป็นการดีที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่เจาะจนขาดขึ้นมา สิ่งที่ไม่อยากให้เปิดเผย ก็จะเผยออกมาราวถูกวางแสดงบนโต๊ะเลยทีเดียว * (เป็นการเปรียบเปรยถึงเรื่องบางอย่าง หรือปัญหาของใครบางคนถูกเปิดเผย เนื่องจากบ้านคนจีนในสมัยโบราณ หน้าต่างจะทำจากกระดาษ เมื่อไหร่ที่กระดาษนั้นขาดหรือเป็นรู จะทำให้คนสามารถมองลอดเข้ามาในบ้าน จนเห็นทั้งคนหรือสิ่งของในนั้นได้โดยง่าย)
การที่ในตอนนั้น อ๋องจี้สามารถหยิ่งยโสโอหัง ถึงขั้นที่มีความตั้งใจว่าจะคว้าตำแหน่งรัชทายาทมาได้ ก็เพราะเขามีภรรยาที่มากความสามารถเช่นนี้เป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือ จวนอ๋องฉู่น่ากลัวตรงไหนน่ะรึ? ก็น่ากลัวตรงที่มีฮูหยินเหยานั่นอย่างไรล่ะ
มาตอนนี้ฮูหยินเหยาตกต่ำลง นอกจากหยู่เหวินจุนกับฉู่หมิงหยางที่มาสร้างความลำบากให้นางในตอนแรกแล้ว ใครจะกล้าลงมือโหดเหี้ยมกับนางได้อีก? ใครก็ไม่อยากให้นางโชคร้ายทั้งนั้น เพราะเมื่อไหร่ที่นางโชคร้าย นางจะสามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง เว้นเสียแต่ว่านางจะตายเร็ว แต่ต่อให้นางตายเร็วก็ยังน่ากลัวอยู่ดี ใครจะไปรู้ล่ะว่า นางจะเอาหลักฐานที่มีในมือตัวเองไปส่งมอบไว้ในมือใคร?