บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1278 ศึกใหญ่ที่เมืองซิ่วโจว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองคน แล้วถามอย่างสับสนว่า “ทำไมเสด็จพ่อถึงต้องเตรียมการเรื่องราวเสียมากมายเช่นนี้? จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ต้องรีบร้อนเตรียมการตอนนี้ก็ได้ ยังทำสงครามอยู่แท้ ๆ ผลลัพธ์ก็ยังไม่รู้เลยด้วย พระองค์ไม่ควรต้องกังวลว่า แผ่นดินที่เจ้าห้าจะปกครองต่อจากนี้จะมีเสถียรภาพอย่างไรในอนาคต แต่พระองค์ควรกังวลเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ก่อนไม่ใช่รึ”
ทันทีที่หยวนชิงหลิงถามคำถามนี้ หรงเยว่กับฮูหยินเหยาค่อยตระหนักขึ้นมาได้ว่า มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เดิมทีเรื่องนี้ฟังดูก็สมเหตุสมผลดีอยู่ แต่ก็มักจะรู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกก็ยังไม่ทันฉุกคิด แต่ตอนนี้พอหยวนชิงหลิงพูดขึ้นมา ทั้งฮูหยินเหยาและหรงเยว่ต่างก็ตกตะลึงจนผงะ “จริงด้วย ทำไมกันนะ?”
หรงเยว่ลดเสียงลง “เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่าบาทจะตามรอยไท่ซ่างหวง ทำการสละราชสมบัติ นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ พระองค์เป็นฮ่องเต้อยู่ดี ๆ แท้ ๆ ไม่น่าจะคิดเรื่องสละราชสมบัติหรอก”
ฮูหยินเหยารับคำทันที “ต่อให้พระองค์ต้องการสละราชสมบัติจริง พระองค์ก็ควรรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะถ้าพระองค์ยังอยู่บนบัลลังก์ พระองค์ก็ยังสามารถช่วยสอนสั่งรัชทายาทให้มีประสบการณ์ได้ ให้ค่อย ๆ ควบคุมราชสำนัก พระองค์ไม่น่าจะไม่รู้ในจุดนี้”
นั่นกลับยิ่งทำให้สับสนกว่าเดิมแล้ว
หรงเยว่ถามหยวนชิงหลิงว่า “พระวรกายของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นี่คงต้องไปถามหมอหลวงแล้วล่ะ ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ได้ประชวรหนักอะไร ก่อนหน้านี้ แค่แกล้งประชวรเพื่อจะได้ให้เจ้าห้ายอมวางมือแล้วออกไปทำงาน ไม่ได้ทรงประชวรหนักจริง ๆ หรอก……ดูเหมือนว่าจะเคยประชวรหนักจริง แต่แค่ไม่กี่วันก็หายดี แล้วจากนั้นคือตามน้ำไปมากกว่า” นางสีหน้าขาวซีด หันไปมองพี่และน้องสะใภ้ทั้งสองคนอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ใช่ว่าทรงประชวรจริง ๆ เข้าแล้วหรอกนะ? ”
“อย่าพูดจาเหลวไหลสิ” ฮูหยินเหยารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งสามคนจึงนั่งคุยกันเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องพลานามัยของฮ่องเต้ สุดท้ายก็สรุปได้ว่าไม่มีความบกพร่องไม่เหมาะสม “ฝ่าบาทอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ทั้งหวงกุ้ยเฟยและฮู่เฟยต่างก็ตั้งครรภ์พร้อม ๆ กัน จึงเห็นได้ว่าสมบูรณ์ดี”
“ก็ถูก!” หรงเยว่พยักหน้า
“เอาเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้วดีกว่า ตอนนี้พุ่งความสนใจไปที่สงครามก่อน หวังว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ได้กลับมาเร็ว ๆ จากนั้นพวกเจ้าใครที่จะคลอดลูกก็ไปคลอดลูก ใครจะรักกันหวานชื่น ก็รักกันหวานชื่นต่อไป” ฮูหยินเหยาพูด
หรงเยว่กับหยวนชิงหลิงหัวเราะ แล้วพูดพร้อมกันว่า “ใครที่ควรแต่งงาน ก็ไปแต่งงาน!”
สีหน้าของฮูหยินเหยามืดทะมึนจมดิ่ง “นี่ข้าโกรธแล้วนะ”
หรงเยว่หัวเราะแล้วพูดว่า “โกรธอะไรของเจ้า? ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดไปหมดแล้วหรอกรึ? ว่าในใจเจ้าเองก็มีความคาดหวังอยู่เช่นกัน”
หยวนชิงหลิงพูดจี้ใจดำนาง คิ้วตาแย้มยิ้ม “นางแค่คิดว่า ถ้าสุดท้ายจะต้องแต่งให้ฮุ่ยเทียนจริง ๆ เช่นนั้นฮุ่ยเทียนก็ควรเป็นฝ่ายมาเอ่ยปากขอนางแต่งด้วยตัวเอง ไม่ใช่แต่งเพราะฮ่องเต้เป็นผู้พระราชทานให้”
หรงเยว่ถึงกับหลุดหัวเราะพรวดออกมา
ฮูหยินเหยาถอนหายใจเฮือก “ตอนนี้สงครามยังตึงเครียด พวกเจ้ายังมีแก่ใจมาพูดเรื่องความรักชายหญิงได้อีก ไม่คิดเป็นกังวลเรื่องของสามีพวกเจ้าแล้วจริง ๆ น่ะรึ?”
“ ก็เพราะว่ากังวลมาก ถึงได้ต้องหาเรื่องหยอกเจ้าเล่นนี่อย่างไรล่ะ ทำไมรึ? เจ้ากังวลใจแล้วใช่หรือไม่?” หรงเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินเหยายืนขึ้น “ช่างเถอะ ไม่คุยกับพวกเจ้าแล้วดีกว่า เหมือนจะไม่มีทางคุยกันถูกคอได้!”
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปดึงนางไว้ แก้มเป็นประกาย “เอาล่ะ ๆ นั่งลงเถอะ คุยไม่ถูกคออะไรกัน ก่อนหน้านี้เจ้าพูดจาหยอกเย้าพวกเรายังได้เลย มาตอนนี้พวกเราหยอกเจ้าบ้างกลับไม่ได้เลยเชียวรึ? เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก พวกเขาจะต้องชนะในศึกนี้แน่”
“หวังว่าจะไม่ต้องทำสงครามอีกไปตลอดกาลเลย!” ฮูหยินเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วปล่อยออกช้า ๆ ในอดีต นางไม่ได้รู้สึกว่าสงครามมันน่ากลัวอะไรมากมาย แม้แต่หยู่เหวินจุนก็ยัง เคยไปสนามรบ แต่ในตอนนั้น ทุกศึกล้วนเป็นเพียงการต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เคยมีศึกไหนที่ต้องทุ่มเทต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่ประเทศมี แบบสงครามครั้งนี้มาก่อน
หยวนชิงหลิงหวังยิ่งกว่าใคร ๆ ว่าจะไม่มีสงครามเกิดขึ้นในประเทศนี้อีกต่อไป ขอเพียงทุกอย่างมีเสถียรภาพ เจ้าห้าของนางก็จะได้หยุด และพักผ่อนได้อย่างเต็มที่เสียที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน เหนื่อยล้าเหลือเกินแล้วจริง ๆ
สถานการณ์การต่อสู้ในเมืองซิ่วโจวทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งไท่ซ่างหวงและโสวฝู่ฉู่ต่างก็พละกำลังถดถอยลงบ้างแล้ว มีเพียงเซียวเหยากงเท่านั้นที่ยิ่งรบก็ยิ่งกล้าขึ้นเรื่อย ๆ หยู่เหวินเห้าสั่งให้อ๋องชุนคุ้มครองไท่ซ่างหวงและโสวฝู่ฉู่ถอยกลับไปในภูเขาก่อน แต่ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครเต็มใจกลับ แค่พักผ่อนเอาแรงที่ข้างสนามชั่วครู่ แล้วก็เข้าร่วมรบในสงครามต่อ
เมื่อแม่ทัพใหญ่ฉินเห็นว่าใช้เวลาไปนานมากแล้ว กองทัพของตนก็ยังโจมตีได้ไม่สำเร็จ แต่ทหารของเขากลับบาดเจ็บล้มตายอย่างน่าอนาถ ในใจจึงอดรู้สึกร้อนรนไม่ได้ ออกคำสั่งให้เป่าแตรต่อไป ให้โจมตี โจมตี และโจมตี! ทัพใหญ่ดาหน้าขึ้นไป และแนวรบก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหลัง หยู่เหวินเห้านำคนเข้าต้านแบบแลกด้วยชีวิต เขาไม่รู้แล้วว่าเขาฆ่าศัตรูไปกี่คน ฆ่าจนเนื้อตัวอาบย้อมไปด้วยเลือดของศัตรูชุ่มโชก ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย แต่ไม่ร้ายแรง หงเย่กับหนานเปียนเค่อต่างก็อยู่ข้างกายเขา ร่วมฆ่าศัตรูไปพร้อม ๆ กับเขา บรรดาศิษย์และจอมยุทธ์จากอู่หลินล้วนมีวรยุทธ์แข็งแกร่ง ตอนนี้มีคนที่ได้รับบาดเจ็บบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มีใครตายในการต่อสู้เลย
ศัตรูเริ่มเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าลงบ้างแล้ว แม้ว่าเสียงแตรสั่งให้โจมตีจะยังเป่าอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ความเร็วในการบุกโจมตีกลับค่อย ๆ ช้าลงไปทุกขณะ
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เป่าแตรโจมตีด้วยตัวเอง ในขณะที่แม่ทัพทางนั้นหมดแรง ได้ยินเสียงแตรสั่งโจมตี ชั่วขณะนั้นก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมาทันที กัดฟันสู้รุกคืบไปข้างหน้าไม่หยุด
ไม่มีใครอยากหยุด เพราะการหยุดคือการให้โอกาสแก่คู่ต่อสู้ มีเพียงการกัดฟันยืนหยัดสู้ต่อไป สู้แบบแลกชีวิตโดยไม่กลัวตายเท่านั้น ถึงจะพอมีโอกาสชนะ
เมื่อถึงเวลาเที่ยงของวันที่สาม กองทัพก็อ่อนแรงจนสู้ต่อไม่ไหวแล้ว เดิมทีกำลังทหารของเป่ยถังก็น้อยกว่ากำลังทหารของเป่ยโม่มาก ในการรบครั้งนี้ มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก การที่ยืนหยัดต้านทานมาได้นานขนาดนี้ ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว
หยู่เหวินเห้าสั่งทัพให้ถอย ให้ทหารทั้งหมดถอยกลับไปที่ภูเขา
เป่ยโม่ไม่ได้ไล่ตาม พวกเขาก็เหนื่อยจนสู้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน นี่ไม่เอื้อต่อการไล่ตามหรือต่อสู้บนภูเขา พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อน
พวกหยู่เหวินเห้าสามารถถอยกลับได้อย่างราบรื่น หลังจากถอยกลับมาที่ภูเขา ทุกคนก็ทรุดตัวลงกับพื้น หอบหายใจกันเฮือกใหญ่
แต่หยู่เหวินเห้ายังไม่สามารถพักผ่อนได้ เพราะกองทัพไม่อาจยืนหยัดไปได้จนถึงวันที่อ๋องชินเฟิงอันร้องขอไว้ ยังเหลือเวลาอีกอย่างน้อยก็ราว ๆ ครึ่งค่อนวัน
ดังนั้น เขาจึงขอให้หนานเปียนเค่อใช้วิชาตัวเบาเหาะไปแจ้งข่าว ให้อ๋องอานกับอ๋องเว่ยไปช่วยกองกำลังของลู่หยวนสกัดกั้นกองทัพใหญ่ของเป่ยโม่ที่นอกเมืองต่อไป
แต่ชาวเป่ยโม่ไม่ได้เฝ้าอยู่เมืองนอกต่อจริง ๆ ดังที่คาด แม่ทัพใหญ่ฉินคิดว่า ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ก็จะล่าถอย มันสิ้นเปลืองเวลาเกินไป ไม่ควรให้พวกนั้นครองตำแหน่งมุมสูงของเมืองซิ่วโจวต่อไปได้อีก หากคิดจะทำลายล้างพวกนั้นให้หมด ก็ต้องหาทางล่อพวกนั้นออกจากเมืองซิ่วโจวให้ได้
ดังนั้น เมื่อชาวเป่ยโม่พักปรับรูปแบบขบวนทัพชั่วคราวเสร็จ กองทัพก็เดินทางออกนอกเมืองไปทันที ทหารห้าหมื่นนายของลู่หยวน เข้าร่วมกับกองกำลังของอ๋องอานและอ๋องเว่ย แม้ต้องเผชิญหน้ากับทหารที่เหนื่อยล้าของเป่ยโม่ ก็ยังเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่าสถานการณ์เดิมของหยู่เหวินเห้ามาก เพราะพวกเขารวมกันแล้ว ก็ยังมีไม่เกินหกหมื่นคนด้วยซ้ำ
อ๋องเว่ยกับอ๋องอานกดความตั้งใจที่จะสู้จนตัวตายไว้แล้ว อันที่จริง ชาวเป่ยโม่รบในสนามนี้ ได้รับบาดเจ็บล้มตายไปกว่าแสนคน แต่ก็ยังมีทหารเหลืออยู่อีกเก้าแสน ต่อให้ตายไป ก็ยังไม่แน่ว่าจะป้องกันได้ไหว
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด หลังจากฟ้ามืด ทั้งอ๋องอานและอ๋องเว่ยต่างก็ได้รับบาดเจ็บ กองไฟถูกจุดขึ้น ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ อาจไม่สามารถทำการต่อสู้ต่อไปได้ แต่ชาวเป่ยโม่ทุ่มสุดตัวเพื่อจะล่อพวกเขาออกจากเมืองซิ่วโจวให้ได้ ดังนั้น จึงเดินหน้าโจมตีต่อไป
อ๋องอานเห็นว่าชาวเป่ยโม่กัดฟันสู้ไม่ถอย ในใจของเขาก็เย็นเฉียบลงไปเกินครึ่ง ท่ามกลางความโกลาหลของการสู้รบ เขาและอ๋องเว่ยหันมองหน้ากัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แต่ในขณะเดียวกันก็บอกอีกฝ่ายด้วย ว่าให้เตรียมพร้อมต่อการสละชีวิต
ทุกคนทำดีที่สุดแล้วจริง ๆ ต่อให้พวกเขาจะล้มลง ขอแค่ยังพอมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ ก็ยังไม่ลืมที่จะยื่นดาบออกไปเพื่อฆ่าฟันศัตรู
ทหารที่อยู่บนภูเขา หลังจากได้พักผ่อนแล้ว ก็ลงจากเขาออกจากเมืองไปสนับสนุนทัพ ท่ามกลางความโกลาหลของการสู้รบ อ๋องเว่ยกับอ๋องอานก็พุ่งตรงไปหาแม่ทัพที่บัญชาการรบของศัตรู พวกเขาคิดว่าถ้ากุดหัวของแม่ทัพใหญ่ฉินได้ก่อน ย่อมทำให้เกิดความโกลาหลต่อเป่ยโม่ได้แน่
ท่ามกลางกองไฟที่ลุกโชน ทั้งสองเป็นเหมือนดั่งแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ขี่ม้าพุ่งเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ฆ่าคนไปหลายคนติดต่อกัน แม้ว่าจะล้มเหลวในการกุดหัวแม่ทัพใหญ่ฉิน แต่ก็ฆ่าแม่ทัพไปได้ถึงสองคน
แม่ทัพใหญ่ฉินโกรธจัด ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยไฟโทสะคุกรุ่น เขาเหวี่ยงดาบยาวฟันไปทางอ๋องเว่ย อ๋องอานยื่นมือออกไปผลักเขาโดยไม่รู้ตัว ดาบยาวของแม่ทัพใหญ่ฉินจึงเฉือนเข้าที่แขนของอ๋องอานจนเต็มใบดาบ