บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1280 ฝันร้าย
หนานเปียนเค่อตามหาอ๋องชินเฟิงอันจนพบ รับยาเม็ดจื่อจินมาได้สำเร็จ การเตรียมการของอ๋องชินเฟิงทางนี้ก็เกือบจะพร้อมแล้ว หลังฟ้าสาง โดยพื้นฐานแล้วก็จะก็เสร็จสมบูรณ์
หลังจากหนานเปียนเค่อได้รับยาเม็ดจื่อจินแล้ว ก็รีบกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนไหวดั่งเงา บวกกับการพรางกายในยามค่ำคืน จึงแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ต่อให้มีใครสังเกตเห็นได้ ก็จะคิดไปว่านั่นเป็นหน่วยสายลับเท่านั้น
หยู่เหวินเห้ากินยาเม็ดจื่อจินเข้าไป จึงมีอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่หมอทหารบอกว่าน่าจะเป็นเพราะปอดได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าถึงจะกินยาเม็ดจื่อจินแล้ว ก็อาจจะทนต่อไปได้อีกไม่กี่วัน
ไท่ซ่างหวงถามหมอทหารด้วยสีหน้าหนักใจว่า “จากการอนุมานของเจ้า พอจะยืนหยัดต่อไปได้กี่วัน?”
หมอทหารครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คนธรรมดา เมื่อกินยาเม็ดจื่อจินจะสามารถยื้อไว้ได้ราวสองถึงสามวัน แต่รัชทายาทมีกำลังภายในแข็งแกร่ง ยืนหยัดถึงห้าวันก็ไม่ใช่ปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงขมวดคิ้ว ห้าวัน ห้าวันก็ไม่ได้ จากเมืองซิ่วโจวกลับไปเมืองหลวงใช้เวลาห้าวันก็ไม่ทันอยู่ดี อีกทั้งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจรีบร้อนเดินทางโดยใช้ความเร็วมาก ๆ ได้
หนานเปียนเค่อถามขึ้นว่า “ถ้ามีข้าเป็นคนคุ้มกัน ถ่ายเทกำลังภายในหล่อเลี้ยงให้ตลอดทาง จะยื้อเวลาได้ถึงสิบวันหรือไม่?”
หมอทหารตอบว่า”ถ้าใช้กำลังภายในหล่อเลี้ยง ประมาณสิบวันก็พอจะเป็นไปได้ แต่ข้าก็ไม่กล้ารับประกัน เพราะสุดท้าย การใช้วิธีเติมกำลังภายในก็จำเป็นต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ หากเติมมากเกินไป จะส่งผลให้เกิดเลือดออกภายใน จะยิ่งไม่เป็นผลดี”
“ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าควบคุมได้แม่นยำชำนาญมาก” หนานเปียนเค่อพูด
เมื่อตกลงได้ดังนี้ก็ไม่รอช้า อ๋องเว่ยและอ๋องซุนรีบเตรียมการทันที ขอแค่พวกเขาออกจากเมืองซิ่วโจวได้ เมื่อไปถึงข้างนอกก็จะมีฮุ่ยเทียน เมี่ยตี้ของสำนักเหลิ่งหลังมารับช่วงต่อในการส่งหยู่เหวินเห้ากลับเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ การมีคนของตัวเองอยู่จึงช่วยให้รู้สึกวางใจไปได้มาก
หลังจากที่หยู่เหวินเห้ากินยาเม็ดจื่อจินแล้ว ก็ได้สติฟื้นขึ้นมา สามผู้นำใหญ่และบรรดาอ๋องชินต่างก็มาเฝ้าไข้อยู่ข้างเขากันหมด ยกเว้นเพียงอ๋องอาน
หยู่เหวินเห้าสอดส่ายสายตามองอยู่หลายครั้ง ไม่เห็นอ๋องอาน จึงเอ่ยถามด้วยความยากลำบากว่า “เจ้าสี่?”
“วางใจเถอะ พี่สี่กำลังรักษาตัวอยู่ เขาไม่เป็นไร” อ๋องชุนรีบพูด
หยู่เหวินเห้าตอบรับด้วยเสียง”อ๋อ”เบา ๆ แล้วมองไปที่ไท่ซ่างหวง ตอนนี้เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของบาดแผลเลย ระหว่างที่เขาอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ก็พอจะรู้ว่าตัวเองกินยาเม็ดจื่อจินเข้าไป ทั้งรู้ด้วยว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อเห็นไท่ซ่างหวงมีท่าทีกังวล เขาก็เอ่ยปลอบใจไปประโยคหนึ่งว่า “หลานไม่เป็นไร”
ไท่ซ่างหวงยื่นมือไปลูบหน้าผากของเขา เหมือนตอนที่เขายังเด็ก มีแววของความเมตตาที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา พูดอย่างหนักแน่นว่า “เจ้าจะไม่เป็นไร”
เมื่อเตรียมความพร้อมที่จะส่งหยู่เหวินเห้าออกจากเมืองเสร็จ อ๋องอานค่อยเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ แขนเสื้อด้านซ้ายของเขาว่างเปล่า สีหน้าซีดเซียวอย่างน่ากลัว
เขายืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองหยู่เหวินเห้า แล้วพูดว่า “จริง ๆ แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยข้าก็ได้ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ายังเกลียดข้าอยู่”
หยู่เหวินเห้าหลับตาลง จากนั้นครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ “ในสนามรบ ไม่มีความแค้นส่วนตัว มีแต่สหายร่วมรบเท่านั้น”
“ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เจ้าจะช่วยแบบนี้หรือไม่? ข้าไม่มีค่าคู่ควรให้ช่วยขนาดนั้น” สีหน้าของอ๋องอานดูซับซ้อนยุ่งเหยิง ความสง่างามก็ลดลงไปมาก
หยู่เหวินเห้ามองเขา แววตาซับซ้อน พูดขึ้นเบา ๆ ว่า”เสด็จพ่อหวังอยู่เสมอว่าหยู่เหวินจุนจะรู้สำนึกได้ว่าตัวเองทำผิด รอคอยให้เขากลับเนื้อกลับตัว ให้โอกาสเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง ส่วนเจ้า…. จริง ๆ แล้ว เจ้ายิ่งชั่วร้ายกว่าหยู่เหวินจุนเสียอีก แต่เจ้ายังรู้จักสำนึก ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีความผิด ตลอดครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้า ก็จงชดใช้บาปให้ดีเถอะ ระหว่างเจ้ากับข้า เราไม่ต้องพูดถึงการให้อภัยหรอก แค่หวังว่าจากนี้จะไม่มีการวางแผนลอบฆ่ากันอีกก็พอ”
อ๋องอานมองเขา แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพ่อลำเอียงทำผิดต่อเจ้ามาโดยตลอด ทำไมเจ้าถึงยังสนใจว่าเขาจะเสียใจหรือไม่อยู่อีก?”
“เพราะข้าเองก็เป็นพ่อคนแล้วเหมือนกัน” สติของหยู่เหวินเห้าค่อนข้างคลุมเครือ หลังจากพูดไปได้ไม่กี่ประโยค ก็รู้สึกเหนื่อยจนเกินจะทนไหว จึงค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ
ถูกต้อง เขาเองก็เป็นพ่อคนแล้วเหมือนกัน ที่จริงเขาก็รู้ว่าถึงคนเป็นพ่อจะมีความลำเอียง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความรักให้ลูกคนอื่นเลย เสด็จพ่อลำเอียงทำผิดต่อเขาหรือ? แน่นอนว่าเคยมี แต่พ่อทุกคนย่อมก้าวหน้าไปอย่างช้า ๆ ได้ทั้งนั้น
ในอนาคตเขาก็อาจจะลำเอียงรักลูกสาวที่กำลังจะเกิดมากกว่าจริง ๆ แต่จะพูดได้หรือว่า เขาจะไม่สนใจแฝดสามกับแฝดสองเลย?
เขาเป็นคนมีนิสัยดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก โอ๋คนไม่เป็น ทั้งยังรักสันโดษและเด็ดเดี่ยว การที่ฮ่องเต้จะไม่ใส่ใจเขามากมาย ก็เป็นเรื่องปกติ
ที่เมืองหลวง
หยวนชิงหลิงตื่นจากฝันร้ายกลางดึก รีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว หวนนึกถึงฝันร้ายเมื่อครู่ นางก็รู้สึกหนาวเยือกจนตัวสั่น นางฝันว่าเจ้าห้านอนอยู่บนพื้นในสภาพเลือดอาบนอง มีแต่ไฟสงครามแผ่ขยายออกไปทุกหนแห่ง ไม่มีใครเห็นเขาเลย
ฉี่หลอซึ่งอยู่เวรดึกรีบเข้ามารินน้ำให้นางแก้วหนึ่ง แล้วถามว่า “พระชายารัชทายาท เป็นอะไรไปเพคะ ? ท่านฝันร้ายหรือ?”
หน้าผากของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มโชก นางยื่นมือออกไปเช็ด ท่าทางตื่นตระหนกจนขวัญหาย รับน้ำที่ฉี่หลอส่งมาให้แล้วดื่มลงไปคำโต ๆ จากนั้นค่อยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ขาวเซือดเผือดสีว่า”ทำไมเจ้าถึงยังอยู่เวรดึกอีกล่ะ? ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าไม่ต้องอยู่เฝ้า แล้วให้กลับไปนอนหรอกรึ?”
“ ข้าน้อยเป็นห่วงว่าท่านจะฝันร้ายกลางดึกน่ะเพคะ ดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่?” ฉี่หลอรับแก้วน้ำกลับมา แล้วมองดูนางอย่างกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่ฝันร้ายน่ะ” หยวนชิงหลิงยื่นมือขึ้นไปนวดคลึงที่หว่างคิ้ว รู้สึกว่าจู่ ๆ สมองก็รู้สึกปวดขึ้นมากะทันหัน
“ ฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะเพคะ ท่านไม่ต้องกังวล ตอนนี้เพิ่งจะยามสี่ ท่านนอนต่ออีกสักหน่อยเถอะเพคะ” ฉี่หลอไม่กล้าถามว่ามันเป็นฝันร้ายแบบไหน เพราะกลัวว่าเกิดนางหวนนึกได้ขึ้นมา นางจะตกใจอีก
หยวนชิงหลิงรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ความกลัวที่อธิบายไม่ถูกเข้ามาโรมรันนางไม่หยุด นางยกผ้าห่มขึ้น “ข้าจะไปหาเจ้าแฝดสองหน่อย”
ก่อนหน้านี้เจ้าห้าเคยเผชิญกับอันตราย แฝดสองก็รับรู้ได้ ถึงกับส่งเจ้าเสือน้อยไปช่วยถึงที่ นางจึงอยากไปหาความรู้สึกปลอดภัยจากเจ้าแฝด
ฉี่หลอวางแก้วน้ำลง แล้วยื่นมือไปช่วยพยุงนางลุกขึ้น “เด็ก ๆ หลับไปแล้วเพคะ”
“ ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากไปดูสักหน่อย” หยวนชิงหลิงสวมรองเท้า รู้สึกราวกับว่าเท้าเหยียบไปบนสำลี รู้สึกง่อนแง่นโคลงเคลงมาก
ฉี่หลอถือโคมไฟเดินอยู่ข้างหน้า ร้องเรียกเสียงหนึ่งว่า “ลู่หยา!”
ลู่หยาวิ่งออกมาตามระเบียงทางเดิน ค้อมกายลงมอง เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงออกมา ก็รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อคำนับทันที “พระชายารัชทายาท ทำไมท่านถึงลุกมากลางดึกล่ะเพคะ?”
“เจ้าก็ยังไม่นอนรึ?” หยวนชิงหลิงเห็นนางวิ่งมาตามระเบียงทางเดิน จึงอดพูดแบบโกรธ ๆ ไม่ได้
ลู่หยาแลบลิ้น “ก็ท่านไม่อนุญาตให้พวกเราเฝ้าเวรกลางคืน ข้าน้อยรู้สึกไม่วางใจ จึงไปเฝ้าอยู่ข้างนอกแทน ท่านวางใจเถอะ เราใช้ผ้าห่มปูพื้นก่อนด้วย”
“ ช่างเถอะ จากนี้ถ้าพวกเจ้าจะอยู่เวรกลางคืน ก็กลับไปที่ห้องอยู่เป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน ไม่ให้พวกเจ้าอยู่เวรกลางคืน พวกเจ้าก็ยังอุตส่าห์เอาผ้าห่มมาปูนอนข้างนอกอีก ตอนกลางคืนอากาศหนาวตั้งเท่าไหร่?” หยวนชิงหลิงพูดพลางส่ายหน้า
ลู่หยาพูดว่า”เพคะ!”
ทั้งสามคนเข้าไปในห้องเด็ก ๆ แม่นมกำลังนอนหลับอยู่ข้างนอก พวกเด็ก ๆ นอนอยู่ข้างใน มีเสียงกรนเบา ๆ ดังต่อเนื่องกันเป็นทอด ๆ ฉี่หลอถือโคมไฟเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พูดกับหยวนชิงหลิงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า”หลับกันหมดแล้วเพคะ หลับสบายมาก ๆ เลยทีเดียว”
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปมองดูแฝดสองช้า ๆ ท่านอนของทั้งสองคนเป็นระเบียบดีมาก นอนหงาย มือทั้งสองข้างวางอยู่ข้างตัว นอนหลับอย่างมีความสุข ขนตางอนยาวเป็นแพจนเกิดเป็นเส้นเงาพาดใต้ตาสายหนึ่ง แลดูงดงามมาก
เมื่อเห็นพวกเขานอนหลับอย่างเป็นสุข หัวใจของหยวนชิงหลิงค่อยผ่อนคลายลง รู้สึกว่าตัวเองทำตัวน่าขันไปหน่อย ถึงกับต้องมามองหาความรู้สึกปลอดภัยจากตัวของลูก ๆ คิดว่าเจ้าห้าคงจะไม่เป็นไร เพราะถ้าเจ้าห้าเกิดเรื่อง เจ้าแฝดสองน่าจะรับรู้ได้
นางหันหลังกลับ เพิ่งจะเดินไปได้เพียงสองก้าว กลับได้ยินเสียงเรียกที่ไม่รู้ว่าเป็นใครเรียกขึ้นมาเสียงหนึ่งว่า “ท่านพ่อ!”
นางหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นเจ้าแฝดสองลุกขึ้นนั่งกะทันหัน ประกายในดวงตาแล่นวาบ จากนั้นก็มองดูนางนิ่ง ๆ “ท่านแม่?