บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1296 โหดร้ายจริงๆ
หยู่เหวินเห้ารู้ว่างานแต่งงานในครั้งนี้หากมีลุงใหญ่อยู่ด้วย สำหรับเจ้าหยวนถือว่ามีความหมายมากขนาดไหน และนี่ก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก ตอนที่เขาอยากที่จะจัดงานแต่งงานของพวกเขา ตอนที่พูดคุยเรื่องนี้อยู่บนรถม้ากับลุงใหญ่ พวกเขาไม่ได้พูดถึงปัญหาข้อนี้ พวกเขาคุยกันถึงสถานะของเขาในตอนนั้น ว่าควรที่จะเข้าร่วมในสถานะไหนถึงจะเหมาะสม บางทีลุงใหญ่อาจจะคิดว่า จัดงานแต่งงานไม่ต้องใช้เวลาเตรียมนานมั้ง
แต่เขาก็ไม่อยากเร่งรีบ หลังจากกลับเมืองหลวงแล้ว ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องจัดการก่อน การศึกสู้รบกับเป่ยโม่ในครั้งนี้ได้ชัยชนะมาอย่างรวดเร็ว ภายในประเทศจะต้องมีการเฉลิมฉลอง เจ้ากรมพิธีการเตรียมงานเฉลิมฉลองก็ยุ่งมากพอแล้ว ยังจะมีเวลาใส่ใจงานแต่งงานระหว่างเขากับเจ้าหยวนหรือ?
คิดแบบนี้แล้วก็เศร้าใจ
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว อาศัยตอนที่หยวนชิงหลิงไปคุยกับฟางหวู เขาไปหาทังหยางเพื่อคุยเรื่องนี้ ดูว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไหม
กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากทังหยางได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วก็อึ้ง จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างจริงจังว่า “องค์ชายรัชทายาท กระหม่อมคิดว่าพระองค์กับพระชายารัชทายาท ไม่เหมาะที่จะจัดงานแต่งงานขึ้นใหม่”
เดิมหยู่เหวินเห้าคิดว่าทังหยางที่เห็นด้วย กลับคิดไม่ถึงว่าจะไม่เห็นด้วย จึงถามขึ้นว่า “ทำไม?”
ทังหยางนั่งตัวตรง พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “พระองค์กับพระชายารัชทายาทเคยจัดงานแต่งงานแล้ว ครั้งนี้จะถือว่าเป็นการจัดใหม่ไม่ได้ และพระองค์เป็นว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป ว่าที่กษัตริย์มีเพียงตอนที่ขึ้นของราชย์ ถึงจะสามารถจัดพิธีแต่งงานอีกครั้ง หากพระองค์จัดงานแต่งงานอีก นอกจากเป็นการดูหมิ่นแล้ว ยัง…..”
ทังหยางเงียบไปสักพัก แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “เป็นการสาปแช่งฮ่องเต้ กับบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละบัลลังก์ องค์ชายรัชทายาท ตอนนี้พระองค์ก็เพิ่งทำศึกได้ชัยชนะกลับมาพอดี เวลานี้ ไม่ควรที่จะกระทำเรื่องอะไรที่เอริกที่สุด”
ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าเพิ่งรอดมาจากความตาย และทำศึกอยู่ข้างนอกมาช่วงเวลาหนึ่ง ความสนใจในช่วงนี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนอยู่ที่การทำศึก คิดถึงเรื่องชีวิตของตนเองจนมากไป จึงง่ายที่จะมองข้ามพิธีสำคัญพวกนี้ โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงเรื่องแต่งงาน ตอนที่พูดคุยกับพี่ชายหยวน ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นและรอคอยอย่างมาก จนลืมคิดถึงผลร้ายที่จะตามมา
ตอนนี้ได้ยินทังหยางพูดเตือน ก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปสักพัก แล้วค่อยถอนลมหายใจแรง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก”
แต่เขาบอกเจ้าหยวนไปแล้ว และเจ้าหยวนก็ดีใจอย่างมาก หากทำไม่ได้ นางจะต้องผิดหวังมากอย่างแน่นอน
ทังหยางมองดูเขา พร้อมถามขึ้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยว่า “องค์ชายรัชทายาท ทำไมจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้งให้ได้?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “งานแต่งงานระหว่างข้ากับเจ้าหยวนที่ผ่านมา เป็นการทำไปด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ในวันแต่งงาน นอกจากข้าจะเต็มไปด้วยความโกรธเคืองแล้ว ยังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดังนั้นข้าจึงอยากที่จะชดเชยให้นาง”
คำพูดพวกนี้ ให้พูดกับสวีอีบางทีอาจจะใช้ได้ แต่ใต้เท้าทังเป็นใคร? สองปีมานี้พระชายารัชทายาท สนใจเรื่องทะเลสาบจิ้งมาตลอด เขาก็สามารถคาดเดาได้อย่างมากมาย
แน่นอนว่า ความคาดเดาพวกนี้ ทังหยางเก็บไว้ในใจ ไม่เคยคิดที่จะถาม ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องถาม หากองค์ชายรัชทายาทเห็นว่าควรที่จะบอกเขา องค์ชายรัชทายาทก็จะพูดเอง
หยู่เหวินเห้ากลับเครียดว่า จะพูดเรื่องที่ยังไม่จัดงานแต่งงานกับเจ้าหยวนยังไง วันนี้ตอนที่พูดกับนาง นางดีใจอย่างมาก เขาไม่อยากที่จะบอกนางให้จริงๆ ว่างานแต่งงานยังไม่จัดในเร็วๆนี้
หยวนชิงหลิงกับฟางหวูคุยกันอยู่เนิ่นนาน ครั้งนี้ฟางหวูสอนหยวนชิงหลิงเป็นหลัก ว่าควรที่จะแนะนำพวกเด็กๆ ควบคุมพลังความสามารถของตนเองอย่างไร เรื่องนี้สำหรับหยวนชิงหลิง ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมาก และจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่สุด
มีพลังความสามารถที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็ก ไม่เปิดเผยออกมาถึงจะปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะพวกเขาเกิดในราชวงศ์ ความเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนมีคนมองอยู่อย่างมากมาย
ฟางหวูบอกนางว่า หากจะให้พวกเขามีชีวิตเหมือนอย่างคนปกตินั้นเป็นไปไม่ได้ นอกจากพวกเขาจะมีพลังความสามารถเหนือคนธรรมดาแล้ว สติปัญญาก็มีมากกว่าเด็กทั่วไปอย่างมาก และเพราะพวกเขามีสติปัญญาสูงและมีพลังความสามารถมาก แต่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์กับความสงบที่สามารถเข้ากันได้ ดังนั้นจึงอาจจะเกิดการกระทำเรื่องที่กลับกัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ให้พวกเขามีขอบเขตเป้าหมายที่สนใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นขอบเขตเป้าหมายที่พวกเขาชอบ พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำในสิ่งนั้นอย่างรวดเร็ว ให้พวกเขามีสถานะทางสังคมที่แน่นอน และทำให้มีความรู้สึกถึงวิกฤตความอันตรายในทางศีลธรรม เช่นนั้น พวกเขาจะค่อย ๆ ยับยั้งพฤติกรรมของตนเอง
ฟังฟางหวูพูดแล้ว หยวนชิงหลิงเริ่มครุ่นคิด ควรที่จะให้พวกลูกๆเรียนอะไรกันดีล่ะ?
มือของฟางหวู ตบบนบ่าของนางเบาๆ พร้อมถามขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “เคยคิดไหม ให้พวกเขากลับไปรับการศึกษาในยุคปัจจุบัน? เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมีความกังวลใจ ก็เป็นเหมือนกับคนในยุคสมัยพวกเรา ที่มีการไปเรียนต่างประเทศไม่ใช่หรือ?ได้เรียนรู้เยอะ มีความรู้กว้างขวาง ก็จะยิ่งรู้จักถ่อมตน ก็จะยับยั้งตัวเองดียิ่งกว่า”
เรื่องนี้หยวนชิงหลิงไม่ปฏิเสธ แต่ปัญหาก็คือ ยังไม่สามารถเดินทางผ่านไปมาในทะเลสาบจิ้งได้อย่างอิสระ ดังนั้นนางจึงเล่าเรื่องทะเลสาบจิ้งให้ฟางหวูฟัง หลังจากกลับเมืองหลวงแล้ว ให้ฟางหวูไปทะเลสาบจิ้งกับนางสักครั้ง ทั้งสองคนช่วยกันหาเส้นทางกลับบ้านในทะเลสาบจิ้ง
ฟางหวูตอบตกลงอยู่แล้ว นางก็หวังที่จะสามารถกลับมาเที่ยวในโลกนี้อย่างมาก เมื่อหาเส้นทางได้แล้ว อยากมาเมื่อไหร่ก็ได้มาเมื่อนั้น
หลังจากคุยกับฟางหวูเสร็จแล้ว หยวนชิงหลิงกลับมาที่ห้อง กลับเห็นเจ้าห้าหน้ามุ่ยคิ้วขมวด จึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรหรือ?”
หยู่เหวินเห้าดึงจับมือของนางไว้ ให้นางนั่งอยู่ตรงหน้าของตน พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ทังหยางบอกว่า เรื่องงานแต่งงานยังไม่ต้องจัดในตอนนี้ดีที่สุด”
หยวนชิงหลิงพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “อืม ได้”
หยวนชิงหลิงไม่ได้ถามสาเหตุ แต่คำพูดนี้เมื่อทังหยางเป็นคนพูด เขาก็จะต้องมีเหตุผลของเขา
หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าที่อ่อนโยนของนาง ในใจก็ยิ่งโศกเศร้า เดิมคิดว่าจะสามารถจัดงานแต่งงานให้กับนางได้ สุดท้ายแม้แต่เช่นนี้ก็ไม่สามารถทำได้
เขาเพิ่งรู้สึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ว่าอะไรที่เจ้าหยวนต้องการ ตนเองล้วนไม่สามารถให้ได้
หยวนชิงหลิงเห็นเขาไม่สบายใจ จึงยื่นมือไปลูบคิ้วหนาของเขา พร้อมยิ้มพูดปลอบว่า “ที่จริงงานแต่งงานในครั้งนี้ จัดหรือไม่จัดก็ไม่สำคัญ เพราะพี่ชายกับฟางหวู ไม่สามารถอยู่ได้นาน เขาไม่ได้ร่วมงานแต่งงานของข้า งั้นงานแต่งงานนี้ยังไงก็ไม่สมบูรณ์ รอหลังจากที่พวกเราไขปริศนาทะเลสาบจิ้งได้แล้ว ค่อยกลับไปจัดที่บ้านของข้า แบบนี้ไม่ดียิ่งกว่าหรือ?”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองดูนาง ในใจรู้สึกโชคดีและมีความสุขอย่างพูดไม่ออกจริงๆ จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าก็เข้าใจทุกอย่าง เจ้าหยวน เจ้าดีมากเลยจริงๆ ชาติที่แล้วข้าทำความดีอะไรไว้มากมาย ถึงทำให้ข้าได้เจอกับเจ้า?”
หยวนชิงหลิงยิ้มหวาน พร้อมพูดขึ้นว่า “บังเอิญจัง ข้าก็คิดเช่นนี้”
ทั้งสองสามีภรรยามองตากันแล้วก็หัวเราะ แล้วก็โอบกอดกันไว้อย่างแผ่วเบา
เขาก้มหัวลงมา จูบริมฝีปากของนาง มือจับท้องน้อยของนางไว้ สัมผัสได้ถึงลูกในท้องกำลังดิ้น มีพลังความร้อนถ่ายเทออกมาเล็กน้อย
“เจ้าหยวน” เขาค่อยๆปล่อยนาง จ้องมองตาของนาง ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เพียงแค่ได้จูบนาง เขาก็รู้สึกห่างนางไม่ได้แล้ว สูดลมหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “มีคำพูดประโยคหนึ่ง ไม่ได้พูดกับเจ้ามานานแล้ว ข้ารักเจ้า”
หยวนชิงหลิงมองดูสายตาลึกซึ้งของเขา ยื่นมือกดริมฝีปากของเขาไว้ เงยคางขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากเบ่งบานดุจดั่งดอกไม้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าก็รักเจ้า แต่อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ไม่ได้”
หยู่เหวินเห้ากัดมือของนางหนึ่งที ฝ่ามือรวบจับเอวของนาง พร้อมยิ้มพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว? ข้าก็แค่พูดกับเจ้าว่ารักเจ้าเฉยๆ เจ้าคิดชั่วร้าย”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ ข้าคิดชั่วร้าย เข้าในเจ้าผิด”
หยู่เหวินเห้าลูบใบหน้าของนาง ค่อยๆเลื่อนไปข้างหลังหู พร้อมพูดขึ้นว่า “แต่เมื่อเจ้าพูดขึ้นมาแล้ว ข้าคิดว่าก็ได้นะ บาดแผลข้าไม่เป็นไร และเจ้าไม่คิดว่าอยู่ระหว่างทางนั้นมีความรู้สึกพิเศษหรือ?”
หยวนชิงหลิงจับใบหน้าของเขาไว้ ผลักเขาออก ส่งสายตายิ้มอย่างน่าหลงใหล พร้อมพูดขึ้นว่า “อืม เป็นเช่นนี้จริง แต่จะต้องรอให้เจ้าหายดีแล้วก่อน”
หยู่เหวินเห้าหน้าเสีย พร้อมพูดขึ้นว่า “โหดร้ายจริงๆ”
หยวนชิงหลิงยกมือลูบท้อง พร้อมพูดขึ้นอย่างค่อนข้างเศร้าว่า “ใช่ว่าข้าโหดร้าย ข้ารู้สึกว่าเหมือนลูกจะรู้ทุกอย่าง ดังนั้น เจ้าทนรออีกหลายเดือน รอหลังจากคลอดลูกแล้ว……”
เข้าร้องพูดข้นว่า “หลายเดือน?คร่าชีวิตเลยนะ”
ด้วยความเดือด จึงอุ้มนางขึ้นมาแล้วก็เดินไปที่เตียง….