บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1302 ทยอยกลับเมืองหลวง
ก่อนที่จะกรีธาทัพใหญ่กลับราชสำนัก เหล่าแม่ทัพที่ได้รับบาดเจ็บทุกท่านก็ถูกส่งตัวกลับเมืองหลวงก่อนแล้ว
หงเย่คุ้มกันไปส่งอ๋องอานด้วยตัวเอง เดิมทีสองคนนี้เคยมีปมกันมาก่อน ตอนนั้น ทุกคนต่างแอบซ่อนแผนการความคิดในใจ ใครจะคิดว่าสักวันหนึ่ง ทั้งสองจะขึ้นสนามรบเพื่อปกป้องรักษาเป่ยถัง?
อ๋องเว่ยและอ๋องชุนร่วมเดินทางไปกับขบวนกองทัพใหญ่ คุ้มกันผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม พวกเขากลับมาพร้อมกับขบวนกองทัพใหญ่ เหลือพลทหารหนึ่งแสนนายไว้ที่ชายแดน นอกจากนั้น ล้วนเดินทางกลับเมืองหลวงก่อน
ขณะที่อ๋องอานกลับถึงเมือง พระชายาอานได้ทราบข่าวว่าตอนออกศึกเขาได้รับบาดเจ็บแขนขาดข้างหนึ่ง และเพราะขณะที่หงเย่และคนอื่นคุ้มกันส่งเขากลับเมืองหลวง มีการรายงานตลอดการเดินทาง ถึงเมืองหลวง พระชายาอานพาบุตรสาวอานจือจวิ้นจู่มาต้อนรับที่ประตูเมือง
แสงฟ้าขาวปนเทายามอาทิตย์ตกสาดส่องลงบนดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของพระชายาอาน ริมฝีปากของนางแฝงไปด้วยรอยยิ้มสั่นๆเล็กน้อย มองทหารม้าที่ค่อยๆมาถึงประตูเมือง
มือของนางอุ้มอานจือไว้ ไม่ได้ลงจากรถม้า เพียงรอให้เขาเข้ามา
ตอนนี้โดยพื้นฐานแล้วอาการบาดเจ็บของอ๋องอานไม่ได้เป็นอะไรมาก เห็นพระชายามาต้อนรับที่ประตูเมือง เขาเช็ดหนวดเคราบนใบหน้าของตัวเองมั่วๆ ส่งยิ้มให้จากที่ไกลๆ ควบม้าเข้าไป เพ่งมองอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง จึงได้พลิกตัวลงจากม้า สาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เขาอุ้มอานจือขึ้นมาก่อน อานจือหลับไปแล้ว หลังจากที่ท่านพ่ออุ้มมา นางก็ตกใจตื่นเล็กน้อย มองด้วยความงุนงงแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลับต่อทันที อ๋องอานก้มศีรษะลงไปหอมแก้มน้อยๆของนาง หนวดเคราบนใบหน้าของเขาทำให้นางไม่สบายตัว ทั้งตัวสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นมา แล้วเหลือบมองอีกทีหนึ่ง ทำปากจู๋แล้วหลับไปอีก
อ๋องอานหัวเราะขึ้นมาแล้ว เอาอานจือให้แม่นมอุ้มออกไป เพ่งพินิจพระชายาอาน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ข้ากลับมาแล้ว!”
พระชายาอานพยายามไม่มองไปทางแขนที่ว่างเปล่าของเขา เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่ใบหน้าของเขา ฝืนกลั้นน้ำตาไว้สุดท้ายก็ยังคงไหลอาบแก้มลงมา กล่าวสะอึกสะอื้น “ดี กลับมาก็ดีแล้ว ข้าภูมิใจในตัวท่าน!”
มือข้างหนึ่งของเขาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด พระชายาอานรู้สึกเศร้าโศกทันที ดมกลิ่นอายไฟสงครามและความยากลำบากที่เผชิญในการเดินทางบนตัวของเขา ยื่นมือสองข้างออกไปกอดเขากลับอย่างแนบแน่น กล่าวพึมพำ “กลับมาก็ดี กลับมาก็ดีแล้ว!”
หงเย่ควบม้าตามอยู่ด้านหลัง ชำเลืองมองอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง “ข้าไปก่อนแล้ว!”
ไม่มีคนสนใจคนไร้คู่อย่างเขา รอบข้างมีประชาชนเดินผ่าน ที่มองดูก็คือคนอื่นเขาสามีภรรยาที่พลอดรักกัน กลับเป็นทหารที่เฝ้าประตูเมืองยื่นยาสูบให้เขาอันหนึ่งกับชาร้อน พูดคำสอพลอสองสามประโยค
หงเย่ไม่รับ ควบม้าจากไป
กลับถึงจวน ลานในจวนกองเต็มไปด้วยใบไม้ ในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่น ไร้กลิ่นอายของคน เคว้งคว้าง อยากดื่มน้ำสักอึกก็ต้องต้มเอง
เขาหอบหญ้าแห้งมาให้ม้าจำนวนหนึ่ง มองดูม้ากินด้วยความอร่อย กล่าวพึมพำอย่างอดไม่ได้ “ชีวิตของข้ายังดีเทียบกับเจ้าไม่ได้เลย”
ประตูถูกถีบออก เสียงของหยู่เหวินเห้ากรอกเข้ามาในหู “เหล่าหง กลับมาแล้วรึ? ไป ไปกินเหล้าในจวน!”
หงเย่หันกลับไป เห็นหยู่เหวินเห้าพาสวีอีและกู้ซือเข้ามาด้วยความดีอกดีใจ เหลิ่งจิ้งเหยียนติดตามมาด้านหลัง เข้าเอามือไขว้หลัง ดวงตาทะลุผ่านเข้ามาทางช่องว่างระหว่างทั้งสามคน ชัดเจนลึกล้ำ
หงเย่เอื้อมมือไปค้ำม้า กล่าวอย่างเฉยเมย “กินเหล้า? ข้าอาจจะไม่ว่างนะ มีธุระต้องทำ”
หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปมองดูเขา “เจ้ามีธุระอะไร? พวกเราตั้งใจมาเชิญเจ้า เดิมทีวันนี้ควรไปต้อนรับเจ้าที่ประตูเมือง นี่ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องขึ้นชั่วคราว รีบเข้าไปจัดการที่ทำการปกครองแล้วหรือ จนพวกเราจัดการเรื่องเรียบร้อยรีบไปที่ประตูเมือง ก็บอกว่าเจ้าไปแล้ว ดังนั้นจึงรีบมาหาเจ้า”
หงเย่เหลือบตาขึ้น ลำบากใจเป็นที่สุด “แต่เรื่องนี้ของข้าก็ค่อนข้างเร่งด่วน ร่วมดื่มกับพวกท่านไม่ได้จริงๆ ครั้งหน้าเถอะ ครั้งหน้าข้าเป็นเจ้ามือ!”
หยู่เหวินเห้าผิดหวังเล็กน้อย “เร่งด่วนเพียงนี้เชียวน่ะหรือ?”
หงเย่ลูบหัวม้าเบาๆ “จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
กู้ซือกล่าว “เช่นนั้นครั้งหน้าก็ค่อยเชิญท่านชาย แต่ว่าโต๊ะอาหารจองไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านชายไม่ว่าง พวกเราก็ต้องไปน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าอืมคำหนึ่ง หันกลับไปกล่าวต่อหงเย่ “เช่นนั้นรอว่าเจ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็บอกพวกเรา พวกเราค่อยจัดเวลารวมตัวกัน”
พูดจบ พาทุกคนจากไป
หงเย่ตาละห้อย กัดฟันกรอดอย่างขุ่นเคือง ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าพวกเขาจะจากไปเช่นนี้แล้ว มีความจริงใจในการเชิญคนไปกินเหล้า ทำไมไม่ขอร้องมากขึ้นสักสองสามที?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูใหญ่เปิดขึ้นอีกครั้ง เหลิ่งจิ้งเหยียนยืนอยู่หน้าประตู เหลือบตาที่สงบนิ่งมองดูเขา “ไม่มาจริงๆหรือ?”
หงเย่แตะหญ้าแห้งคว่ำไปทันที “รอข้าครู่หนึ่ง เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไป!”
หยู่เหวินเห้าจองโต๊ะอาหารที่หอเหิงฝู ไม่มีคนอื่น และไม่ได้เรียกขุนนางในราชสำนัก รู้ว่าหงเย่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่กับผู้คนมากมาย ล้วนตามใจเขา ก็ถือว่าเป็นการแสดงการของคุณที่เขาไปที่สนามรบด้วยตัวเอง
เริ่มแรกบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย หงเย่ความรู้สึกช้า แต่ขณะที่ทุกคนพูดถึงเรื่องในสนามรบ ก็ดื่มเหล้าไปสองสามแก้วแล้ว บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมา
โดยปกติเหลิ่งจิ้งเหยียนไม่ค่อยได้พูดอะไร ก็ฟังพวกเขาพูดจาอยู่เงียบๆ จากนั้นก็เทเหล้าให้พวกเขา ได้ยินจุดที่ตื่นเต้น เขาก็แสดงอาการตื่นเต้น แม้จะรู้ว่าสุดท้ายก็ชนะแล้ว แต่เหตุการณ์ระหว่างนั้นช่างน่ากลัวจริงๆเชียว
สุดท้ายหงเย่กลายเป็นหนึ่งคนที่พูดมากที่สุดในนั้น เขาพูดถึงอ๋องอาน เพราะตลอดทางนี้ เป็นเขาที่คุ้มกันส่งอ๋องอานกลับเมืองหลวง
เขามองดูหยู่เหวินเห้า “มีประโยคหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูด”
หยู่เหวินเห้าดื่มเหล้ามาระยะหนึ่งแล้วและดื่มไปไม่น้อย จึงมึนเล็กน้อยแล้ว ได้ยินคำพูดนี้ ก็โบกมือทันที “เชื่องช้าเพียงนี้ มีอะไรก็พูด”
หงเย่มองดูเขา “อันที่จริง ตอนนั้นข้ากับแม่ทัพฉินล้วนเคยไปมาหาสู่กับอ๋องอาน ตอนนั้นอ๋องอานคิดอาศัยกำลังภายนอกมาช่วยเขาแย่งตำแหน่งรัชทายาท แต่ว่า สุดท้ายเจรจากันไม่ได้ รู้ว่าทำไมหรือไม่?”
“ทำไม?” ทุกคนเห็นเขาเล่าเรื่องราวเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างฉับพลันเช่นนี้ ล้วนหยุดลงมาแล้วมองดูเขาอย่างอดไม่ได้
หงเย่หมุนแก้ว มองดูหยู่เหวินเห้า “เป็นเพราะอ๋องอานไม่ยินยอมทรยศเป่ยถัง แม้กระทั่งข่าวสารการทหารบางส่วนของเป่ยถังเขาก็ไม่ยินยอมเสนอให้ ให้เขาสอดแทรกไส้ศึก เขายิ่งไม่ยินยอม”
เรื่องการสอดแทรกไส้ศึก หยู่เหวินเห้ารู้ นั้นล้วนเป็นอะหลูสอดแทรกให้ท่านชายใหญ่หงเล่ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับหงเย่
นี่ก็เป็นเหตุผลที่หงเย่ไม่ได้ยึดครองจำนวนไส้ศึกในเป่ยถังอย่างรวดเร็ว
กู้ซือหัวเราะและกล่าว “เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาแค่อยากจะจับหมาป่าด้วยมือเปล่าใช่หรือไม่?”
“เขาสามารถจ่ายค่าตอบแทนได้ แต่เขายอมจ่าย เป็นค่าตอบแทนของตัวเอง แต่ไม่ใช่เป่ยถัง” หงเย่วางแก้วลง หัวเราะแล้วหัวเราะอีก “พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้พูดเพื่อเขา แต่จากการสังเกตทุกๆอย่างของคนผู้นี้ จริงๆก็ไม่นับว่าเป็นคนทรยศชั่วช้ามากนัก เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวค่อนข้างแรง และไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพี่น้อง จุดนี้เทียบกับหยู่เหวินจุนขึ้นมา นับว่าดีแล้ว หยู่เหวินจุนเพื่อตำแหน่งรัชทายาท เจ้าให้เขาทรยศพ่อ เขาก็ยอม เพราะเขาเคยเริ่มติดต่อกับแม่ทัพใหญ่ฉินเอง นี่เป็นตอนที่ข้าแลกเปลี่ยนข่าวสารกับแม่ทัพใหญ่ฉิน เขาเคยเอ่ยถึง น่าเสียดาย แม่ทัพใหญ่ฉินก็ไม่ได้ยินยอมช่วยเขา เขาไร้ประโยชน์”
สวีอีกล่าว “เป็นคนทรยศชั่วช้ามากมายหรือไม่ ใครพูดก็ล้วนนับไม่ได้ คนที่เคยถูกเขาทำร้ายพูดถึงจะสามารถนับได้ อ๋องเว่ยถูกเขาทำร้ายจนอนาถที่สุด เกือบจะบ้านแตกสาแหรกขาดจริงๆ แต่ตอนนี้อ๋องเว่ยก็ดีกับเขาแล้ว”
กู้ซือกล่าว “พวกเขาพี่น้องช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ แขนก็ขาดไปข้างหนึ่งแล้ว”
สวีอีรีบกลืนเหล้า “นี่ อ๋องอานดีกว่าหน่อย อ๋องอานยังหูหายไปอีกข้างหนึ่ง”
กู้ซือชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง นี่ยังจะแย่งแพ้ชนะอะไรกันอีก?
เขามองหยู่เหวินเห้าอีกครั้ง “เรื่องแขนขาดนี้ กลับไม่ได้ยาก ไปที่แคว้นต้าโจวรอบหนึ่งก็หายแล้ว”
เหลิ่งจิ้งเหยียนส่ายหน้า “ไปแล้วก็ไร้ประโยชน์อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์จะไม่ช่วยเขา”
ทุกคนงงงัน ล้วนมองไปทางเหลิ่งจิ้งเหยียน หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม “ทำไม?”