บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1303 ไท่ซ่างหวงได้ชัยชนะกลับมา
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองไปทางหงเย่ “สวีอีมีประโยคหนึ่งที่พูดถูกแล้ว เขาเป็นคนทรยศคนชั่วร้ายใหญ่หลวงหรือไม่ ใครพูดก็นับไม่ได้ คนที่เคยถูกทำร้ายจึงจะมีอำนาจพูดได้ แน่นอน อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์จะไม่สืบสาวราวลึกกับเรื่องภายในของเป่ยถัง เขาเกลียดคนประเภทหนึ่งที่สุด นั่นก็คือคนที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง อ๋องอานทำผิดในข้อห้ามอันใหญ่หลวงของเขา เขาจะไม่ช่วยอ๋องอาน”
ทุกคนได้ฟังการวิเคราะห์ของเหลิ่งจิ้งเหยียน ล้วนรู้สึกว่ามีเหตุผล อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นต้าโจว จะต้องเกลียดคนที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพื่อตำแหน่งฮ่องเต้เป็นแน่
หงเย่มองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน กล่าวอย่างราบเรียบ “ท่านกลับเข้าใจอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ของแคว้นต้าโจวเป็นอย่างดี”
เหลิ่งจิ้งเหยียนกลับเผยรอยยิ้มออกมาแล้ว มองดูเขาแล้วกล่าวด้วยความหมายอันลึกล้ำ “อืม สำหรับผู้คนมากมายข้าล้วนรู้จักดี”
หงเย่งงงัน จากนั้นก็เคลื่อนสายตาทันที
ทั้งสามสี่คนดื่มอีกครู่หนึ่ง คนที่มีครอบครัวก็ต่างคนต่างต้องการกลับบ้านไปมอบตัวแล้ว หงเย่รู้สึกหมดสนุก ความน่าสนใจเพิ่งจะมา พวกเขาก็ต้องการจะไปแล้ว จึงเริ่มรั้งไว้เอง
หยู่เหวินเห้าโบกมือ “ไม่ได้ ที่บ้านมีภรรยาตั้งครรภ์!”
สวีอีก็โบกมือ “ไม่ได้ ที่บ้านมีภรรยาตั้งครรภ์!”
กู้ซือโบกมือ “ไม่ได้ ที่บ้านมีเด็กอ่อน!”
คนที่แต่งานทั้งสามพูดจบก็ทยอยออกไปตามกัน
เหลิ่งจิ้งเหยียนยืนขึ้น หงเย่กล่าวด้วยความโกรธเคือง “หรือว่าที่บ้านท่านก็มีภรรยาตั้งครรภ์ด้วยงั้นหรือ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าว “ที่บ้านมีท่านพ่อที่เคร่งครัดท่านแม่ที่มีเมตตา ข้ามีข้อห้ามในการเข้าบ้าน ไม่สามารถกลับดึกเกินไปได้”
หงเย่หงุดหงิดใจ “แค่ข้าคนเดียวที่ไร้คู่!”
“หากว่าท่านไม่รังเกียจ ไม่เช่นนั้นก็ไปที่จวนของข้า ข้าค่อยดื่มกับท่านอีก” เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวเชิญ
“อาจารย์ของท่านล่ะ?”
“ยังอยู่!”
“งั้นก็ได้ เขาเป็นเพื่อนร่วมสงครามของข้า!” หงเย่ยืนขึ้นทันที เดินออกไปพร้อมเขา
เมื่อออกไป ทั้งสองคนก็ถูกกั้นไว้ให้คิดบัญชี เหลิ่งจิ้งเหยียนทำได้เพียงทำเป็นไม่ได้ยิน เสี่ยวเอ้อทำได้เพียงขวางหงเย่ไว้
“ไม่ใช่หยู่เหวินเห้าเลี้ยงหรือ?” หงเย่ตะโกนไปทางเหลิ่งจิ้งเหยียนคำหนึ่ง
เหลิ่งจิ้งเหยียนยักไหล่ “เขาเป็นคนอับจน!”
หงเย่โกรธแทบบ้า งานเลี้ยงฉลองนี้จริงๆเป็น…….
ควักเงินด้วยความโกรธ ออกไปก็บ่นหยู่เหวินเห้าคนผู้นี้ไม่สามารถเอามาเป็นเพื่อนได้จริงๆ เหล้ามื้อหนึ่งก็เลี้ยงไม่ได้ มิน่าล่ะรีบจะจากไป
เหลิ่งจิ้งเหยียนหัวเราะเท่านั้นไม่ได้พูดจา มีบางเรื่อง คุ้นเคยก็ได้แล้ว
ผ่านไปหลายวัน กองทัพใหญ่มาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้หมิงหยวนนำรัชทายาทและเหล่าขุนนางมาต้อนรับหน้าประตูเมืองด้วยพระองค์เอง
สามผู้ยิ่งใหญ่ควบม้ามาถึงอย่างช้าๆ เสื้อคลุมทำสงครามที่ใส่ส่งเสียงดังในสายลม จอนผมย้อมไปด้วยสีขาว แรงสังหารของการกลับมาจากสนามสงครามยังไม่ลดลง ภายใต้ยามอาทิตย์ตกแสงสีแสดแดง เข้าเมืองอย่างช้าๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนนำเหล่าขุนนางคุกเข่าต้องรับไท่ซ่างหวง เสียงร้องของราษฎรด้านข้างดังสนั่นฟ้า ทั้งสามคนยังสามารถทำเป็นเคร่งขรึมได้ รักษาท่าทางที่สุขุมเย็นชา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับราษฎรที่ชื่นชมยินดี บนใบหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากของชีวิต สุดท้ายก็บีบเป็นรอยยิ้มแห่งความปีติยินดีออกมาได้
หยู่เหวินเห้าขึ้นหน้าไปประคองไท่ซ่างหวงลงจากม้า ในเมืองได้เตรียมขบวนเสด็จกองเกียรติยศไว้แล้ว ต้อนรับสามผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปโดยพร้อมเพรียงกัน ทีแรกต้องการจะมุ่งตรงไปที่พระราชวัง แต่เซียวเหยากงเสนอให้วนรอบเมืองรอบหนึ่ง
การตัดสินใจนี้เขาไม่ได้หารือเป็นการส่วนตัวกับไท่ซ่างหวงและโสวฝู่ฉู่ แต่ยืนอยู่หน้าขบวนเสด็จกองเกียรติยศโบกมือขึ้นแล้วตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดี ไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ฉู่อยากจะบีบคอเขาให้ตาย
ความเหนื่อยล้าจากตอนทำสงคราม ตลอดทางกลับเมืองหลวงลำบากตรากตรำ รู้สึกอ่อนเพลีย ตอนนี้แค่อยากอาบน้ำอุ่นๆ นอนอยู่บนเตียงอรหันต์ จุดบุหรี่ห่อหนึ่ง แล้วสูบถึงจะเป็นเรื่องถูกต้อง
เรื่องออกหน้าออกตาระดับนี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาชื่นชอบ แต่เขาก็พูดไปเช่นนี้แล้ว ราษฎรก็ให้ความอบอุ่นเป็นอย่างมาก เสียงร้องเรียกด้วยความปีติยินดีสูงดั่งลอกคลื่น ทำอะไรไม่ได้ ขบวนเสด็จกองเกียรติยศทำได้เพียงวนรอบเมืองหลวงรอบหนึ่ง
ที่ลำบากใจที่สุดก็ยังเป็นฮ่องเต้หมิงหยวนและเหล่าขุนนาง ไท่ซ่างหวงยังไม่ได้กลับไป พวกเขาจะกลับไปได้อย่างไร? ไท่ซ่างหวงเดินขบวน พวกเขาจะไม่เดินขบวนได้อย่างไร? ก็จ้องมองอาทิตย์ตกดินไปอย่างเฉยเมยเช่นนี้ ขบวนเสด็จกองเกียรติยศของไท่ซ่างหวง ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนจุดไฟแล้ว ทุกที่ที่ไปถึง เสียงร้องเรียกดังสนั่นกึกก้อง
เซียวเหยากงแรงดี หลายปีมานี้ไม่เคยละทิ้งทักษะวิชาวิทยายุทธ การเดินขบวนรอบหนึ่งนี้ เขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา แต่ว่า ไท่ซ่างหวงและโสวฝู่ฉู่กระทั่งฮ่องเต้หมิงหยวนและเหล่าขุนนาง ล้วนเหนื่อยล้าจนอยากล้มหัวลงนอนแล้ว
แต่บนทางด้านนอกเมืองไปทางหมู่ตึกเหมย อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาควบม้าพาองครักษ์สองสามคนกลับภูเขา เสียงอึกทึกครึกโครมภายในเมือง สามารถดังสะพัดมาถึงที่นี่ได้
ตลอดทางล้วนเงียบไม่พูดจา เมื่อถึงครึ่งเขา ชายาชินเฟิงอันก็อดไม่ได้แล้วจริงๆ “เจ้าพวกโง่กลุ่มนั้น!”
ใบหน้าของอ๋องชินเฟิงอันเรียบเฉย “ข้าบอกแล้วว่าไม่กลับเมืองหลวงพร้อมกับพวกเขา เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องสินะ?”
“ต้องเป็นความคิดของน้องสิบแปดแน่” พระชายากล่าว
อ๋องชินเฟิงอันเอียงศีรษะมองดูนาง “เจ้าสอนรึ!”
“ข้าไม่รู้จักเขา!” พระชายาควบม้าไปด้านหน้า ทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง เต็มไปด้วยความรังเกียจ
ในภูเขา เสียงคำรามของเสือทะลุผ่านท้องฟ้า หมาป่าหิมะกระโจนออกมาจากภูเขา ราวกับแม่น้ำนับร้อยสายมารวมตัวกัน ดั่งเหล่าทหารนับหมื่นรุมล้อมพวกเขาให้กลับไป เป็นอำนาจที่อธิบายออกมาไม่ได้
ส่วนทางด้านนั้น ไท่ซ่างหวงและคนอื่นๆกลับมาถึงพระราชวัง ก็ใกล้จะถึงยามจื่อแล้ว
เข้าเมืองยามอาทิตย์ตก กระทั่งถึงยามจื่อเพิ่งจะกลับมาถึงวัง เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไรอีก เซียวเหยากงก็ตามเข้าวัง ยังไม่ได้กลับจวน เพราะขณะที่พวกเขากลับเมืองหลวงได้พูดไว้แล้ว หลังจากกลับถึงเมืองหลวง จะต้องนั่งดื่มด้วยกันให้ดีๆสักมื้อ
เขารอเหล้ามื้อนี้อยู่
ดังนั้น ถึงพระตำหนักฉินคุน ไม่รอให้นั่งลง เขาก็จัดการด้วยความดีอกดีใจแล้ว “กับข้าวต้องเยอะ เหล้าต้องดี รีบไปจัดการ”
ไท่ซ่างหวงและโสวฝู่ฉู่ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ มองดูท่าทางดีอกดีใจของเขา โมโหจนถอดรองเท้าขว้างไปทางเขาพร้อมกันแล้ว ไท่ซ่างหวงกล่าวด้วยความหอบ “ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สุด จะต้องต่อยเจ้าสักรอบ แต่ไม่รีบร้อน พรุ่งนี้ค่อยจัดการเจ้า”
โสวฝู่ฉู่กลอกตาสองข้าง พูดด้วยเสียงอ่อนแรง “พรุ่งนี้ตอนจัดการเรียกข้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
เซียวเหยากงรับรองเท้าสองข้างไว้ สีหน้างงงัน “ข้าทำอะไรผิดหรือ?”
เมื่อครู่มีความสุขมากเพียงใด
หยู่เหวินเห้าคุ้มกันส่งไท่ซ่างหวงกลับพระตำหนักตลอดทางเพิ่งจะได้ออกจากวังกลับจวน ขณะที่กลับถึงจวน ก็แทบจะเป็นยามโฉ่วแล้ว
เขาเดินเข้าไปในห้องเบาๆ หยวนชิงหลิงหลับสนิทมาก อันที่จริงนางก็รอจนถึงสามทุ่มห้าทุ่มแล้วจึงได้นอนลง ได้ยินว่าไท่ซ่างหวงพาเหล่าขุนนางเดินขบวนในเมืองรอบหนึ่ง คิดว่าเจ้าห้าไม่ได้กลับเร็วขนาดนี้ นางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเข้านอนก่อน
หยู่เหวินเห้าเข้าห้องมามองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง เห็นว่านางหลับสนิท ก็เดินย่องออกไปเบาๆ ด้านนอกไม่มีคนเฝ้ายามกลางคืน ตลอดมายายหยวนล้วนไม่ชอบให้คนเฝ้ายามกลางคืน
ตอนนี้พ่อครัวล้วนนอนไปแล้ว ทั้งจวน นอกจากองครักษ์ในจวนที่ลาดตระเวนยามดึก ก็ไม่มีคนที่อื่นที่สามารถใช้ได้อีก
เขาหิวนี่!
ช่วงกลางวันได้ทานอาหารเที่ยงแล้ว จึงเริ่มจัดเตรียมเรื่องการต้อนรับ ในวังได้จัดเตรียมอาหารค่ำไว้แล้ว เพื่อจัดงานเลี้ยงต้อนรับไท่ซ่างหวงที่เดินทางมาไกล แม้ว่าจะไม่ใช่งานเลี้ยงฉลอง แต่ก็สามารถสังสรรค์ก่อนได้
ด้วยเหตุนี้ จึงรอทานอาหารค่ำอย่างดิบดี ผลสรุป เมื่อเซียวเหยากงดีใจ เดินขบวนไปครึ่งคืน กลับถึงวัง ก็เป็นยามจื่อแล้ว ยังจะเลี้ยงฉลองอะไรอีกล่ะ? ต่างคนก็ต่างกลับหมดแล้ว
ก็น่าเสียดายอาหารที่ห้องเครื่องจัดเตรียมไว้อย่างดีแล้ว และเสียดายที่เขาเริ่มอดท้องหิวตั้งแต่ตอนพลบค่ำ
ถือตะเกียง หยู่เหวินเห้าแอบเข้าไปในห้องครัวเล็กของตำหนักเซี่ยวเยว่
ห้องครัวเล็กของตำหนักเซี่ยวเยว่มีไว้สำหรับทำขนมและอาหารให้พวกเด็กๆและเจ้าแฝดโดยเฉพาะ มักจะเตรียมอาหารเอาไว้
เขาเข้าไปเดินวนเตล็ดเตร่รอบหนึ่ง พบว่าในคลังน้ำแข็งเล็กๆมีเนื้อและผัก แต่ก็ล้วนดิบทั้งหมด จะทำก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ก็แค่จุดไฟแล้วจากนั้นก็เอาเข้าไปเผา ก็เหมือนกับตอนสงครามเช่นนั้น เขาทำได้
แต่ปัญหาก็คือ จุดไฟในนี้เกรงว่าก็คงไม่ดีนักสินะ?
กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา พอหันกลับไป หยวนชิงหลิงก็ถือตะเกียงเดินเข้ามา ยิ้มหวานแล้วกล่าว “หิวแล้วหรือ? ไม่ได้กินมาหรือ?”