บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1304 เจ้าเคยเสียใจหรือไม่
หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไป รับโคมไฟในมือของนางมาเสียบไว้ในร่องประตู กล่าวอย่างนุ่มนวล “เสียงดังจนเจ้าตื่นแล้วหรือ?”
“ท่านไม่อยู่ ข้าก็หลับไม่สนิท ในหม้อมีน้ำซุปที่อุ่นไว้ให้ท่านอยู่น่ะ รีบไปเอา!” หยวนชิงหลิงชี้ไปที่หม้อด้านหลังเตา ฟืนที่ยังไม่ได้ดับไฟกองไว้อยู่ในเตา
หยู่เหวินเห้าหิวเป็นอย่างมากจริงๆ ก็ไม่ได้สนใจความสำรวม รีบวิ่งไปด้านข้าง เปิดหม้อออก เห็นว่ามีน้ำซุปอยู่ด้านในจริงๆ เขาหยิบผ้าผืนหนึ่งมาลองแล้วก็ยกขึ้นมา นั่งด้านข้างโต๊ะเล็กๆในห้องครัวเล็ก ถามนาง “เจ้าหิวไหม? พวกเรากินด้วยกัน”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า และนั่งลงช้าๆมองดูเขา “ท่านกิน ข้าไม่หิว ตอนกลางคืนกินอะไรไม่ได้ กินอีกก็จะจุกท้อง นอนไม่หลับแล้ว”
“ตอนนี้อายุครรภ์หลายเดือนแล้ว ลำบากเจ้าแล้ว”
“ยังพอได้!”
หยู่เหวินเห้าขยับเข้าไปใกล้จูบนางเล็กน้อย แสงเทียนสลัว มีลมกลางคืนพัดโชยเข้ามาอ่อนๆ ยกผมอันสวยงามของนางขึ้น เขาจูบลงไป ก็จูบไปบนผมของนางพดี เขาหัวเราะแล้วปัดออก แล้วจูบลงไปที่หน้าผากของนางอีกครั้ง กล่าวว่า “ยายหยวน เจ้าไม่รู้ว่าคืนนี้วุ่นวายเพียงใด ไม่รู้ว่าเซียวเหยากงเป็นบ้าอะไร คิดไม่ถึงว่าจะให้ขบวนเสด็จกองเกียรติยศวนรอบเมืองหนึ่งรอบ ขุนนางทั้งหลายล้วนเหนื่อยจนแทบไม่ไหวแล้ว ผู้เฒ่าคนนี้ช่างผูกอาฆาตจริงๆ จำได้ว่าวันนั้นพวกเขาคัดค้านการออกศึก ลำบากใจอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาเปลี่ยนวิธีทำโทษพวกเขาไงล่ะ ขุนนางหลายคน เดินจนแทบอ้วกแล้ว”
หยนชิงหลิงหัวเราะ “เป็นเช่นนี้หรือ? ข้ายังคิดว่าเขาก่อปัญหาซะอีกน่ะ”
“ไม่ เขาอายุปูนนี้ จะไม่ก่อความวุ่นวายเพียงอย่างเดียว จะต้องมีเจตนาแฝงเป็นแน่ ตอนนี้ข้าเลื่อมใสพวกเขาทั้งสามเป็นอย่างมาก” หยู่เหวินเห้าก้มหน้าซดน้ำซุป ด้านในมีเนื้อ เขาฉวยหยิบตะเกียบคู่หนึ่งและกินขึ้นมา แต่กินไปกินมา ก็อดสงสัยการกระทำของเซียวเหยากงขึ้นมาไม่ได้ มีส่วนในการก่อเรื่องจริงๆ
หยวนชิงหลิงชำเลืองมองเขา ยิ้มแล้วกล่าว “ตอนนี้ท่านเลื่อมใสพวกเขาแล้ว? ข้าจำได้ตอนแรกเริ่มท่านกลัวเซียวเหยากงเป็นพิเศษ”
“นั่นเป็นเพราะเขาพูดจู้จี้” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างอัดอั้น
หยวนชิงหลิงกล่าว “รีบกิน กินแล้วรีบนอน ดึกแล้ว”
หยู่เหวินเห้ารีบซดน้ำซุปกินเนื้อ จะทำให้ยายหยวนเสียเวลานอนไม่ได้
หลังจากกองทัพใหญ่กลับเมืองหลวง กรมพิธีการก็กำหนดวันเฉลิมฉลองแล้ว จัดขึ้นสามวันหลังจากนี้
อาการบาดเจ็บของหยู่เหวินเห้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ช่วยดูแลสั่งการ อ๋องฉีก็ยุ่งเป็นอย่างมาก เพราะฝ่ายราชการจะต้องร่วมรื่นเริงกับประชาชน ถนนทุกเส้นในเมืองหลวง แสงไฟประดับประดา พ่อค้าแม่ขายก็ทยอยผลักดันกิจกรรมลดราคา สร้างกระแสการซื้อของขึ้น
ในเมืองหลวงไม่เคยคึกคักขนาดนี้มาก่อน
การว่าราชสำนักตอนเช้าก่อนงานเฉลิมฉลอง เป็นการให้บำเหน็จรางวัลตามความชอบ
เหล่าทหารเพิ่มยศขึ้นตำแหน่ง เหล่าทหารมีรางวัลพิเศษ เงินเดือนและเสบียงอาหารของทหารเพิ่มเป็นสองเท่า แม้แต่จอมยุทธที่เข้าร่วมสงครามก็ยังได้รับฉายานักรบผู้กล้า และคนในสำนักเหลิ่งหลังหลายคนก็ล้วนได้รับการแต่งตั้ง โดยเฉพาะฮุ่ยเทียนเมี่ยตี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพซ้ายขวา ทั้งยังได้รับแต่งตั้งการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยา ท่ามกลางบรรดาผู้คนที่ได้รับรางวัลการแต่งตั้ง ฮุ่ยเทียนเมี่ยตี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยา ความจริงก็ไม่ได้มีค่าให้เอ่ยถึง และไม่ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน
แต่ว่า ฮุ่ยเทียนเมี่ยตี้ก็กลายเป็นเจ้าพระยาเช่นนี้แล้ว และยังได้รับแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางติดตัว เป็นแม่ทัพของราชสำนัก
หลังจากที่ท่านชายสี่ได้ยินการแต่งตั้งนี้ กล่าวต่อหยู่เหวินเห้าประโยคหนึ่ง “ท่านพ่อตาเจ้าเล่ห์สุดๆ คนที่ข้าฝึกอบรมมาทั้งชีวิตจิตใจ ก็กลายเป็นคนของราชสำนักเช่นนี้แล้ว พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจอันดับสองของสำนักเหลิ่งหลัง นอกจากข้าและหรงเยว่ ก็สามารถประกาศคำสั่งในกองทัพของทั้งสำนักเหลิ่งหลังได้ ตอนนี้ สำนักเหลิ่งหลังแทบจะกลายเป็นของราชสำนักแล้ว”
หยู่เหวินหลิงกังวลใจมาก “งั้นจะทำเช่นไร?”
แต่งงานกับผู้ใดก็คล้อยตามผู้นั้น นางยังต้องไตร่ตรองถึงผลประโยชน์ของสามีก่อนเป็นแน่
ท่านชายสี่อยู่ในสภาพที่สงบสบายๆ “เวลาที่จำเป็น ค่อยไล่ฮุ่ยเทียนเมี่ยตี้ออกไป”
จะต้องทำให้แผนการที่รอบคอบของท่านพ่อตาไม่เป็นไปดั่งปรารถนาแน่นอน
ฮ่องเต้หมิงหยวนใช้ฮุ่ยเทียนหมากตัวนี้ อันที่จริงก็มีความคิดจะยึดสำนักเหลิ่งหลัง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้องใช้สำนักเหลิ่งหลังเพื่อราชสำนัก เพียงแค่รู้สึกว่าตอนนี้เหลิ่งซี่เป็นลูกเขยของเขา สำนักเหลิ่งหลังไม่สามารถทำการค้าศีรษะเช่นนี้ได้อีก ทำลายบารมีของเชื้อพระวงศ์
และสำนักเหลิ่งหลังไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการคุกคามอย่างหนึ่ง หากว่ามีวันหนึ่ง เหลิ่งซี่ไม่จัดการเรื่องราวแล้ว มีคนไปหาสำนักเหลิ่งหลังซื้อศีรษะของขุนนางในราชสำนักหรือคนในเชื้อพระวงศ์ นี่ก็อาจจะเป็นไปได้
ท่านชายสี่ไม่ยอมปล่อยสำนักเหลิ่งหลัง ทั้งชีวิตนี้ของเขาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่การค้าของเขา แต่เป็นสำนักเหลิ่งหลัง
ราชสำนักไม่ได้สั่งการอย่างเข้มงวดในการควบคุมสำนักเหลิ่งหลัง เป็นเพราะปัจจุบันนี้คนที่สำนักเหลิ่งหลังฆ่าล้วนเป็นคนโฉดชั่วเป็นที่สุด นี่เป็นจุดที่มือของกฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง สำนักเหลิ่งหลังสามารถทำได้
ทั้งยังสามารถทำเงินได้อีกด้วย
หยู่เหวินหลิงอ่อคำหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ความกังวลเมื่อครู่ของนางเป็นเพียงท่าทางที่แสร้งทำขึ้นมา นางรู้ว่าท่านชายสี่จัดการได้แน่ ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาจัดการไม่ได้
สิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ตอนนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดวงตาที่งดงามเหลือบขึ้นกลอกไปมาเล็กน้อย ใบหน้าที่สวยงามคล้ายดั่งถูกย้อมไปด้วยชาดทาหน้า แต่ตอนนี้นาง ไม่ได้ทาชาด ผิวพรรณที่สะอาดกระจ่างใสดุจดั่งหยกขาวเช่นนั้น สีแดงนั้นก็ยิ่งดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ท่านชายสี่แหงนหน้ามองนางพอดี เห็นสีหน้าของนางแดงงดงาม จึงเอื้อมมือไปป้องที่หน้าผากของนาง “เป็นไข้หรือ?”
ขนตาของหยู่เหวินหลิงสั่นเล็กน้อย สัมผัสถึงอุณหภูมิอุ่นๆจากฝ่ามือของเขา ความน่ารักบนใบหน้าก็ยิ่งแดงระเรื่อขึ้น รวบรวมความกล้าและพูดเบาๆ “ข้าไม่ได้เป็นไข้ ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่า เพียงแค่เป่ยโม่สงบ พวกเราก็จะกลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ”
ท่านชายสี่มองดูนางตรงๆ มือที่ป้องหน้าผากของนางค่อยๆเคลื่อนลงมา ลูบแก้มที่ขาวสะอาดใสของนาง นิ้วมือด้านนอกของเขาดูแล้วขาวสะอาดเรียวยาว แต่ท้องนิ้วหยาบกระด้างเล็กน้อย หยู่เหวินหลิงรู้สึกว่าบนแก้มบริเวณที่เขาลูบผ่าน มีความเจ็บแสบนิดหน่อย
นางก็มองดูเขาตรงๆ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ได้ขี้ขลาด ก่อนหน้าเสด็จแม่จะสิ้นพระชนม์ นางก็เป็นคนที่แยกแยะชัดเจนระหว่างความรักและความแค้น ชอบคนผู้หนึ่งก็พูดตรงๆ เกลียดคนผู้หนึ่งก็พูดตรงๆ แต่หลายปีมานี้ที่อยู่กับเขา นางค่อนข้างระมัดระวัง เพราะว่าในใจมีคนอยู่ผู้หนึ่งเช่นนี้ และคนผู้นี้ก็ค่อยๆหยั่งรากลึกในจิตใจ นางหวั่นกลัว กลัวว่าตัวเองรุกเกินไป จะทำให้เขาตกใจวิ่งหนี
นางรู้ว่าการแต่งงานนี้ คือเสด็จพ่อคิดบัญชีกับเขา และเขาก็ได้บริจาคเงินมากมายให้ราชสำนักอีก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าถึงแม้นางจะเป็นถึงองค์หญิงที่สูงศักดิ์แต่กลับขาดความมั่นใจอยู่เสมอ
“แต่งงานกับข้า ปัจจุบันนี้เจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่?” ท่านชายสี่เอ่ยถามเบาๆ
หยู่เหวินหลิงมองดูเขาอย่างงงงัน “น้อยเนื้อต่ำใจ? หมายความว่าอะไร?”
ท่านชายสี่ถอนมือกลับ ยกเสื้อคลุมกันหนาวสีขาวนวลขึ้นเล็กน้อย เพ่งมองนางด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ “ตอนที่เจ้าแต่งกับข้ายังอายุน้อย และตอนนั้นเจ้าก็เพิ่งจะผ่านเรื่องงานศพมารดาของเจ้า สถานการณ์ตอนนั้นบีบคั้น เจ้าจำเป็นต้องแต่งงานกับข้า ตอนนี้เจ้าอายุยี่สิบแล้ว ในสามสี่ปีมานี้ ข้าพาเจ้าเข้าไปทั่วทุกหนแห่ง เจ้าได้รู้จักคนไม่น้อย เรื่องมากมาย ตอนนี้วิสัยทัศน์เปิดแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าแต่งงานกับข้า ไม่เป็นธรรมเจ้าหรือไม่?”
หยู่เหวินหลิงส่ายหน้า นั่งตัวตรง กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่เสีย ข้าไม่เสียใจสักนิด แต่งงานกับท่านตอนนั้น แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่ราชโองการที่ยากจะขัดขืน ประกอบกับข้าอายุถึงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงาน ไม่แต่งกับท่าน ก็ต้องแต่งกับผู้อื่น แต่เมื่อเทียบกับการแต่งเข้าตระกูลเจ้าพระยาหรือตระกูลที่สูงส่งแล้ว มีข้อกำหนดมากมาย ข้ายอมเลือกท่านยังจะดีซะกว่า และตอนนั้นท่านมอบกระดิ่งลมให้ข้า เป็นช่วงเวลาที่ข้าเสียใจที่สุด ความคิดจิตใจที่จริงใจมากๆของท่าน ข้าซาบซึ้งใจท่าน และรู้สึกว่าท่านจิตใจละเอียดอ่อน สองสามปีนี้ที่อยู่ด้วยกัน ข้ายิ่งพบเห็นข้อดีของท่านมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นธรรมดาที่จะไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกในตอนนั้น”