บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1305 ในงานเฉลิมฉลองของท่านอ๋องทุกท่าน
ท่านชายสี่ฟังนางกล่าวเงียบๆ มองดูนัยน์ตาที่ค่อยๆเปล่งประกายขึ้นของนาง แก้มก็แดงก่ำเป็นปื้น รู้ว่าคำพูดนี้ของนางเป็นความจริงใจ และไม่ได้เป็นการถูไถๆไป
เขายื่นมือเข้าไป กุมมือที่อ่อนนุ่มของนางช้าๆ กล่าว “แต่งงานหลายปีแล้ว นอนเตียงเดียวหมอนเดียวกัน แต่ตั้งแต่ต้นข้ากลับไม่เคยแตะต้องเจ้า มีการไตร่ตรองสามอย่าง อย่างแรก ร่างกายของเจ้าก็ไม่ดี เมื่อข้าและเจ้าเข้าหอ ก็จำเป็นจะต้องให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาว ใช้ยาคุมกำเนิดใดๆ ก็ล้วนเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็นเป็นหลัก วิธีที่ดีที่สุดคือรอบำรุงให้สุขภาพของเจ้าดีแล้ว อายุมากสักหน่อย ทำให้อันตรายในเวลาให้กำเนิดบุตรของเจ้าลดต่ำลงที่สุด จุดที่สอง แม้ว่าข้าจะเป็นคนทำการค้า แต่ข้าก็ถือว่าเป็นคนในยุทธภพครึ่งหนึ่ง ฐานะของพวกเราแตกต่างกัน ประสบการณ์ในการเติบโตไม่เหมือนกัน เจ้าอยู่ในวังกินอยู่อย่างดี ข้าคลุกคลีอยู่ในวงการการค้าและยุทธภพ หากเจ้าไม่คุ้นเคยกับความเสียงดังวุ่นวายของแสงสีเช่นนี้ เช่นนั้นการแต่งงานของพวกเราก็เป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง อย่างที่สาม ก็คือเช่นที่ข้าได้กล่าวไปเมื่อครู่นั้น แต่งงานกับข้าเพราะการบีบคั้นของพระราชโองการ เจ้าจะเสียใจหรือไม่ ก่อนหน้านี้สองคำถามนี้ไม่ได้สำคัญที่สุด มีเพียงแค่อย่างเดียว คือเจ้ารักข้าหรือไม่ พวกเรารักกันหรือไม่ เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุด ข้าให้เวลาเจ้าเสียใจอย่างพอเพียง เพราะทันทีที่พวกเรากลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะปล่อยมืออีกฝ่ายได้โดยง่ายดาย พวกเราต้องมุ่งหน้าไปตลอดชีวิต”
ในตาของหยู่เหวินหลิงมีหมอกพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แต่ไหนแต่ไรท่านชายสี่ก็ไม่ใช่คนพูดมาก เขาถึงกระทั่งทั้งวันไม่พูดสักประโยคก็ได้ วันนี้เขาพูดมากมาย เคาะเข้าไปที่ก้นบึ้งในจิตใจของนางทีละคำๆ สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของนาง ก่อนหน้านี้นางเคยคาดคะเนมาก่อน ที่เขาบอกว่าบำรุงร่างกายของนางเป็นข้ออ้างของหนึ่งหรือไม่ หรือตั้งแต่ต้นเขาก็ไม่อยากแต่งงานกับนางสักนิด
นางไม่กล้าถาม เพราะมีคำพูดบางคำที่ถามออกไป พอได้คำตอบมาก็ไม่มีทางแกล้งโง่ได้อีก
นางยอมเป็นคนโง่เง่า เฝ้าอยู่ข้างกายของเขาเงียบๆ
แต่จนถึงนาทีนี้ นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เขาก็พิจารณาอย่างลึกซึ้งและยาวไกลเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาพูดว่าชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ปล่อยมือฝ่ายตรงข้ามอย่างง่ายดาย พวกเขาต้องเป็นชั่วชีวิต นาทีนี้ ความสุขที่นางไม่เคยมีมาก่อนพรั่งพรูขึ้นมา
น้ำตาคลอเบ้าตาของนาง นางกุมมือเขากลับ กล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่เสียใจ ข้าชอบท่าน ข้าต้องการเป็นภรรยาของท่าน อยู่กับท่านทั้งชีวิต จะไม่ยอมแยกจากท่านสักวันหนึ่ง”
ริมฝีปากของท่านชายสี่ยกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความสุข จับมือของนางมาค้ำยันที่ทรวงอกตัวเอง “ดี!”
คนทั่วหล้าร่วมเฉลิมฉลองวันนี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนครึกครื้นเป็นพิเศษ อ๋องชินทั้งหลายพร้อมครอบครัวและลูกๆ องค์หญิงทุกท่านพร้อมราชบุตรเขยของตนเอง ลูกหลานเชื้อพระวงศ์มารวมตัวกันในวัง ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปของเมืองหลวงพาครอบครัวและลูกๆเข้าวัง ตำหนักมิงที่จัดงานเฉลิมฉลอง ศีรษะผู้คนพลุกพล่าน เสียงผู้คนอึกทึกครึกโครม
หอจัยซิงที่อยู่ข้างพระตำหนักฉินคุน เมื่อสิ้นสุดยามโหย่ว จุดดอกไม้ไฟ ดอกไม้ไฟที่แวววับจับตากระจายอยู่กลางท้องฟ้าอันมืดมิด ราวกับต้นไม้ที่มีดอกไม้สีสันงดงามเปล่งประกายระเบิดเป็นความปลื้มปีติของทุกคนทั่วทั้งเป่ยถัง ทุกคนแหงนหน้ามอง จิตใจเต็มไปด้วยความสุขที่ชนะสงครามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตื่นเต้นสุดขีด
หยู่เหวินเห้าจับมือของหยวนชิงหลิง ทั้งสองมองหน้ากัน นัยน์ตาฉายเงาของดอกไม้ไฟ ชัยชนะครั้งนี้ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะเฉลิมฉลองที่สุด
เขาไม่สนใจบรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เอื้อมมือไปกอดนางไว้ กอดนางเข้าสู่อ้อมอก ฟังเสียงหัวใจที่ตื่นเต้นของกันและกัน
หลังจากดอกไม้ไฟ การกล่าวสุนทรพจน์ของฮ่องเต้หมิงหยวนและรัชทายาท
หยวนชิงหลิงมองดูหยู่เหวินเห้าเดินไปท่ามกลางผู้คนนับพัน เกียรติยศที่ไร้ขีดจำกัดถาโถมอยู่บนตัวของเขา สายตาที่ขุนนางมองดูเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพยำเกรงและรักใคร่เทิดทูน ยิ่งแฝงไปด้วยความหวัง ก้นบึ้นจิตใจของนางเป็นความภาคภูมิใจที่อธิบายไม่ออก
นี่คือผู้ชายของนาง!
อ๋องอานสามีภรรยาจูงมือกันยืนขึ้น มองดูหยู่เหวินเห้าที่เปล่งประกายโชติช่วงออกมา แววตาของอ๋องอานค่อนข้างซับซ้อน ทว่า เมื่อมองดูภรรยาข้างกาย รอยยิ้มของเขากลับบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง จับมือนางไว้แน่น กระซิบข้างหูนางว่า “เขาเป็นผู้ที่สมควรได้รับความเคารพเลื่อมใสจากคนนับหมื่น”
พระชายาอานตะลึงงัน มองมาที่เขา นัยน์ตาร้อนผ่าวอย่างรวดเร็ว น้ำตาแทบจะไหล ความยินดีในชัยชนะจะเทียบได้กับประโยคนี้ของเขาได้ที่ไหนกัน?
เขามั่นใจน้องห้า ยอมรับให้เขาเป็นรัชทายาทแล้ว
แม้จะไม่มีผู้ใดต้องการความมั่นใจของเขา ไม่มีผู้ใดต้องการการยอมรับของเขา รัชทายาทก็คือรัชทายาท แต่นางต้องการนี่ นางต้องการให้เขาปล่อยวางความไม่เต็มใจและความคับข้องใจลงเหลือเกิน นางต้องการให้พวกเขามีเป้าหมายอันหนึ่งอันเดียวกันมาก เพื่ออานจือ การก้าวเดินของพวกเขา กลับมาสู่จุดเริ่มต้นแล้ว
พวกเขากอดกันในฝูงชน!
ข้างๆพวกเขา คืออ๋องซุนสามีภรรยา
ตั้งแต่ที่หยู่เหวินเห้าค่อยๆเดินจากฝูงชนขึ้นไปบนเวทีของตำหนักมิงอ๋องซุนก็จับตามองเขาอยู่ตลอด ในตาเต็มเปี่ยมไปอารมณ์ความรู้สึกที่สับสนแต่ละอย่าง มากยิ่งกว่าคือความอิจฉา
อิจฉาจนทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ
“ลำพองใจอะไรกันล่ะ?” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง ใช้แรงบิดข้อมือของพระชายาซุนโดยไม่รู้ตัว
พระชายาซุนหันไปมองเขา นึกถึงความโมโหเต็มท้องที่สะสมมาก่อนหน้าที่จะเข้าวังวันนี้ โกรธเป็นอย่างมากในพริบตา “ท่านทำอะไร? บีบมือข้าจนเจ็บแล้ว ท่านทำแววตาที่โหดเหี้ยมเช่นนั้นทำอะไร? ท่านมองใครขัดตาล่ะ? ท่านบอกว่าใครลำพองใจกัน? ท่านเห็นข้าขวางหูขวางตาใช่หรือไม่?”
อ๋องซุนปล่อยมือนาง กล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้าโวยวายอะไร? ข้าไม่ได้พุ่งไปที่เจ้าสักหน่อย”
“งั้นท่านพุ่งไปที่ใคร? ทุกคนดีใจมากเพียงใดกัน แค่ท่านที่ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไร!” พระชายาซุนกล่าวด้วยความโกรธ
อ๋องซุนเหลือบมองหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง ชุดราชสำนักที่ห่อหุ้มรูปร่างที่สูงโปร่งกำยำของเขานั้น เป็นท่าทางอิสระสง่างามสูงศักดิ์อย่างอธิบายไม่ได้
นัยน์ตาของเขายิ่งมีความอิจฉามากขึ้น เปล่งเสียงไม่พอใจออกมาทีหนึ่ง “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปข้าจะไม่กินข้าว ลดความอ้วน แค่เขาดูดี? ข้าผอมลงมา ห้าวหาญยิ่งกว่าเขา”
พระชายาซุนกลอกตาขาว ความจริงมีคำพูดบางคำที่พูดมากๆแล้วก็ฟังจนรำคาญ “ทำไมท่านไม่เริ่มหยุดกินซะตั้งแต่คืนนี้เลยล่ะ?”
อ๋องซุนตาละห้อย เสียงอ่อนลงมาก “เช่นนั้นไม่ได้ งานเลี้ยงคืนนี้อาหารประณีตเป็นที่สุด อาหารเลิศรสชั้นดีทั้งหลายใช้วิธีการปรุงรสแต่ละวิธี ยากที่จะได้ลิ้มรสสักครั้ง!”
พระชายาซุนพูดขึ้นด้วยเจตนาที่ไม่ดีอย่างเต็มเปี่ยม “ชั่วชีวิตนี้ของท่านถูกลิขิตให้เป็นคนอ้วน!”
“ปากเจ้าร้ายกาจยิ่งนัก สตรีอย่างเจ้าเอาไม่ได้จริงๆ!” อ๋องซุนพูดอย่างโมโห
“ใครให้ท่านทรมานข้า? วันนี้ชุดราชสำนักคับแน่นจนขาด จะต้องให้ข้าซ่อมให้ท่านด้วยตัวเองให้ได้ ยังกลัวว่าซิ่วเหนียงจะรู้ว่าท่านอ้วนอีก ผู้ใดจะไม่รู้ว่าท่านอ้วน? ท่านแค่กินจุมากจนชุดราชสำนักขาดหรือ? เสื้อผ้าตัวไหนของท่านที่ไม่ได้คับแน่นจนขาดล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเรื่องเยอะ วันนี้พวกเราคงไม่มาสาย เสด็จพ่อล้วนกลอกตาขาวใส่ข้าแล้ว” เมื่อเอ่ยขึ้นพระชายาซุนก็โมโหขึ้นมา
อ๋องอานโกรธจนตะลึงงัน มองดูริมฝีปากบางๆของภรรยาที่เปิดปิดขึ้นลงนั้น จนปัญญาที่จะตอบโต้จริงๆ กล่าวด้วยความแค้นใจ “มีเพียงผู้หญิงและคนถ่อยที่เลี้ยงยาก ข้าไม่ถือสาเจ้า”
พระชายาซุนหัวเราะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง “หากท่านมีเหตุผล จะจำเป็นต้องใช้คำพูดนักปราชญ์มากดข้าที่ไหนกัน?”
ยืนอยู่ด้านข้างทั้งสองเป็นอ๋องฉีสามีภรรยา
“ท่านพี่รองและท่านพี่สะใภ้รองจริงๆเลย……นี่เป็นโอกาสอะไร? คิดไม่ถึงว่ายังจะทะเลาะกันขึ้นมาอีก ท่านพี่ห้าใกล้จะกล่าวสุนทรพจน์แล้ว พวกเขายังพูดจ้อกแจ้กไม่หยุด” อ๋องฉีไม่รู้จะพูดอะไรเป็นอย่างมาก
ระยะห่างค่อนข้างใกล้ ทุกคำที่อ๋องซุนสามีภรรยาพูดล้วนเข้าหูพวกเขาทุกคำ แม้แต่เสียงถอนหายใจก็ชัดเจนอย่างไร้ที่เปรียบ แม้กระทั่งเสียงฉีกขาดอย่างยากลำบากด้วยความอึดอัดของชุดราชสำนักที่ได้เย็บซ่อมแซมและห่อหุ้มร่างกายที่อวบอ้วนไว้ทั้งตัวก็ไม่พลาด
อ๋องฉีรู้สึกว่าท่านพี่รองขายหน้ามาก
คิดไม่ถึงว่าชุดราชสำนักก็ยังแน่นคับจนขาด
หยวนหย่งอี้ดึงมือของเขา “ท่านพูดให้น้อยลงสักสองประโยค”
อ๋องฉีเหลือบมองไปที่อ๋องอานสามีภรรยา กดเสียงต่ำแล้วกล่าวอีก “เจ้าอย่าว่า วันนี้ท่านพี่สี่ค่อนข้างนิ่งเงียบนะ เหมือนคนมีเรื่องอึดอัดใจยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าในใจคิดแผนการอะไรอยู่น่ะ?”
หยวนหย่งอี้กล่าวด้วยความโมโห “ท่านไปยุ่งเรื่องคนอื่นทำอะไร? ท่านยืนฟังดีๆไม่ได้หรือ? รอรัชทายาทพูดจบ ประเดี๋ยวก็ถึงคราวเสด็จพ่อตรัสให้โอวาทแล้ว”
อ๋องฉีพยักหน้า แล้วมองเข้าไปที่อ๋องเว่ยทางนั้น ทอดถอนใจเสียงหนึ่ง “ท่านพี่สามน่าสงสารจริงๆ มาคนเดียว เจ้าดูสิสีหน้าของเขาหงอยเหงามากเพียงใดกัน ชุดราชสำนักยับยู่ยี่ ไม่มีคนรีดให้เขา”
หยวนหย่งอี้ฝ่ามือหนึ่งลงไปบนกะโหลกของเขาโดยตรง!