บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1306 จิ้งเหอเจรจาเรื่องการแต่งงานแล้ว
อ๋องฉีเป็นคนที่ไม่ทุบตีก็ปล่อยตัวอิสรเสรีประเภทนั้น หลังจากถูกฝ่ามือหนึ่งของภรรยาลงไป ก็ประพฤติตัวดีในพริบตาแล้ว
อ๋องหวยและหรงเยว่หัวเราะแล้ว จูงมือกัน มองไปบนเวทีสูงของตำหนักมิง ฟังหยู่เหวินเห้าพูด
หยู่เหวินเห้าไม่ได้เตรียมร่างคำพูดมาล่วงหน้า เพียงแค่พูดตามใจเท่านั้น แต่กลับยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม “เป่ยโม่หลายปีมานี้ รุกรานเขตชายแดนของเป่ยถังเรามาหลายครั้ง ยั่วยุ ข่มเหง รังแก หยิ่งยโสกำเริบเสิบสานเป็นที่สุด จากนั้นด้วยเรื่องสงครามที่จะทำให้ประชาชนตกอยู่ท่ามกลางไฟแห่งสงครามขุนนางเป่ยถังของเราพยายามวางแผนและเจรจาแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมาโดยตลอด เพื่อเลี่ยงไม่ให้ราษฎรประสบความลำบากพลัดถิ่นที่อยู่สิ้นเนื้อประดาตัว ไหนเลยจะรู้ว่าเป่ยโม่กลับบอกว่าเป่ยถังของเราอ่อนแอรังแกได้ ยกทัพใหญ่มารุกรานอย่างคาดไม่ถึง โชคดีที่ไท่ซ่างหวงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เซียวเหยากงกับโสวฝู่ฉู่ออกนำทัพด้วยตนเอง เหล่าทหารที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และรักชาติต่างให้คำมั่นสาบานว่าจะติดตาม ฮ่องเต้ขุนนางราษฎรทั่วทั้งเป่ยถังร่วมใจเป็นหนึ่ง ร่วมมือกันต่อต้านศัตรู ในที่สุดก็ขับไล่ข้าศึกออกจากดินแดนของเป่ยถังได้ ลงนามสนธิสัญญาความร่วมมือรับรองความสงบสุขสันติภาพของชายแดนของเรานับสิบปี ความดีความชอบนี้ ความเป็นเกียรตินี้ ถือเป็นของพลทหารทุกท่าน และยิ่งเป็นของ…….”
เขาค่อยๆรับแก้วเหล้าจากมือของมู่หรูกงกงมา สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ยิ่งเป็นของพลทหารที่พลีชีพเพื่อประเทศ พวกเขาใช้เลือดและชีวิตของตัวเองปกป้องพื้นดินทุกนิ้วของเป่ยถังของเรา พวกเราจะจารึกพวกเขาไว้ในขั้วหัวใจนิรันดร์ เหล้าแก้วนี้ ข้าแสดงความเคารพต่อพวกเขา!”
สีหน้าของเหล่าขุนนางเคร่งขรึม มองดูเหล้าในมือรัชทายาทเซ่นไหว้บนพื้น เซ่นไหว้พลทหารที่พลีชีพเพื่อประเทศเหล่านั้น รอบนี้รัชทายาทไม่ได้ไตร่ตรองการกล่าวออกความคิดเห็นมาก่อน ยิ่งเห็นได้ชัดถึงความจริงใจ ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่า ชัยชนะวันนี้ ได้มาไม่ง่าย
เดิมทีอ๋องหวยไม่ได้สนใจเรื่องในราชสำนัก แม้ว่าหลังจากนั้นจะรับดูแลคลัง ก็เป็นการใช้จ่ายเงินอย่างสงบสุขรุ่งเรือง ไม่มีคลื่นยักษ์อะไรที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว และทั้งชีวิตนี้ของเขาสัมผัสกับนายทหารน้อยมาก ครั้งนี้ในเวลาสงครามได้เป็นขุนนา จึงได้รู้ว่านายทหารนั้นไม่ง่ายจริงๆ ต้องปกป้องประเทศนี้ ก็ต้องเอาชีวิตออกไปสู้
เขาเลื่อมใสท่านพี่ห้า ขณะเดียวกันก็ได้เปลี่ยนทัศนคติต่อท่านพี่สี่ด้วย อย่างน้อย เขาเคยขึ้นสนามรบ คนที่ขึ้นสนามรบ อันที่จริงภายในใจก็ไม่ได้มั่นใจ สุดท้ายแล้วยังจะสามารถกลับไปได้หรือไม่ ดังนั้น เขาเลื่อมใส!
ก้นบึ้งในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารท่านพี่สามยิ่งกว่า มองไปแล้ว เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แม้ว่าข้างกายจะรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ว่า เขาโดดเดี่ยวมาก ในสายตาของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ
รอจนฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวบรรยายความฮึกเหิมแล้ว เหล่าขุนนางก็ค่อยๆแยกย้ายไป เริ่มจากทำกิจกรรมอิสระ อีกครู่หนึ่งงานเลี้ยงถึงจะเริ่มขึ้น เขาเดินเข้าไปกล่าวต่ออ๋องเว่ย “ท่านพี่สาม พวกเราคุยกันสักสองสามประโยค”
อ๋องเว่ยมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ “คุยอะไร?”
“อะไรก็ดี ก็แค่อยากพูดคุยกับท่าน” อ๋องหวยกล่าวเบาๆ
อ๋องเว่ยอ๋อคำหนึ่ง แล้วเดินไปทางด้านในศาลาพร้อมกับเขา
ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ดีที่สุด แทบจะมองทุกคนอยู่ในสายตาได้ เขากึ่งพิงราวจับ มองไปทางหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิง หัวเราะขึ้นมาแล้ว “พวกเขาสามีภรรยารักใคร่กันจริงๆ ทำให้คนรอบข้างอิจฉาน่ะ!”
อ๋องหวยมองไป เห็นหยู่เหวินเห้ากำลังเอาฝ่ามือวางบนท้องของหยวนชิงหลิง ไม่รู้ว่าพูดอะไร สามีภรรยาทั้งคู่ล้วนยิ้มหวานเยิ้มที่สุด
อ๋องหวยรู้สึกว่าฉากนี้ น่าจะทิ่มแทงตาของเขามาก ครั้นจึงกล่าว “อย่ามองเลย จะได้ไม่อึดอัดใจ”
อ๋องเว่ยงงงัน “ทำไมต้องอึดอัดใจ?”
อ๋องหวยกลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว
อ๋องเว่ยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา หัวเราะแล้ว “กลัวว่าข้าเห็นพวกเขารักใคร่กันแล้ว จะระลึกถึงเรื่องเก่าของตัวเองหรือ? ไม่ พวกเขาดีกัน ข้าที่เป็นพี่คนนี้ก็ดีใจ เหมือนดั่งเจ้ากับหรงเยว่ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในใจข้าก็ดีใจเป็นอย่างมาก”
สีหน้าอ๋องหวยเป็นประกาย “ท่านพี่สาม ในเมื่อได้อธิบายอย่างชัดแจ้งแล้ว เช่นนั้นท่านตั้งใจจะทำอย่างไร? ก็ยอมละทิ้งเช่นนี้หรือ?”
“ข้าพูดแล้วไม่นับ!” อ๋องเว่ยยื่นมือไปดึงจี้หยกที่ห้อยตรงเอว ริมฝีปากยกขึ้นเป็นความโศกเศร้า “แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะรอนาง”
“ท่านลองขอร้องให้นางยกโทษให้ดูสิ!” อ๋องหวยมองดูท่าทางเช่นนี้ของเขา ในใจก็เป็นทุกข์เล็กน้อย ขณะที่พี่สามเกิดเรื่อง เขาช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่คำทักทายฝากความคิดถึงก็น้อย เขารู้สึกผิดต่อพี่สามตลอด
อ๋องเว่ยมองหน้าดูเขา “ไม่ใช่ความผิดทุกอย่างที่จะมีค่าที่จะได้รับการอภัย และไม่ใช่ความรู้สึกทุกอย่าง จะสามารถกลับมาได้ทั้งหมด”
เหตุผลก็เป็นเช่นนี้ แต่อ๋องหวยกลับสงสารเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ “ท่านดูสิ ท่านก็อภัยให้ท่านพี่สี่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“ไม่เหมือนกัน” อ๋องเว่ยส่ายหน้า มองหาเงาร่างของน้องสี่ท่ามกลางฝูงชน เขารับอานจือจากมือของแม่นมมาอุ้มในอ้อมแขนพอดี หอมไปเล็กน้อย และยิ้มอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก “เขากลัวข้า ข้าเกลียดเขา เกลียดจะถูกอภัยได้ง่ายมาก แต่ข้าทำร้ายโล่โล่ เป็นความเจ็บปวด หลังจากเจ็บปวด คนก็จะได้สติ นางได้สติแล้ว รู้ว่านางผิดไปแล้วที่รักข้า ตอนนี้ข้ากลับหวังว่านางจะไม่เคยรักข้ามาก่อน เช่นนั้นอย่างน้อยข้าก็ยังมีความหวัง!”
เมื่อพูดเช่นนี้ ชะงักครู่หนึ่งแล้วกลับส่ายหน้าอีก “ไม่ ข้าก็ไม่ยอมให้นางไม่เคยรักข้ามาก่อน นางเคยรักข้า นี่ก็ดีมาก”
อ๋องหวยมองดูสีหน้าบนใบหน้าของเขาที่ระคนไปด้วยความสุขและความทุกข์ ท่านพี่สามในความทรงจำ ล้วนเป็นคนที่กระทำการเฉียบขาดรวดเร็วมาโดยตลอด สู้จริงทำจริง เรื่องที่มั่นใจแล้ว ชนกำแพงทางทิศใต้ก็สามารถทำได้ เหมือนกับตอนนั้นที่ชอบจวิ้นจู่จิ้งเหอ เรื่องที่เขาฉุดคนอื่นหนีตามกันไปก็ทำออกมาได้ แต่ตอนนี้ เขากลับกลัวแล้ว
“ไม่พูดเรื่องเหล่านี้ เรื่องของข้าไม่มีอะไรให้พูด หากว่าเจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ ประเดี๋ยวก็ดื่มกับข้ามากขึ้นสักสองแก้ว” อ๋องเว่ยรู้ว่าน้องชายเจตนาดี แต่ว่า เขาไม่ได้ต้องการให้คนอื่นใส่ใจเรื่องของเขากับโล่โล่จริงๆ
หากว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นนั้นรักษาความสัมพันธ์แบบเพื่อนไว้ก็ดีมากแล้ว
อ๋องเว่ยพูดจบ ก็เดินจากไป
อ๋องหวยถอนหายใจเบาๆ และเดินออกจากศาลา หรงเยว่รอเขาอยู่ด้านนอก โดยปกติแล้วหรงเยว่เป็นคนโผงผาง แต่กลับกล่าวประโยคหนึ่ง “นั่นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากในจิตใจของเขา อย่าไปแตะต้องง่ายๆ”
“ข้าบุ่มบ่ามไปแล้ว แค่รู้สึกว่าหากจวิ้นจู่จิ้งเหอยอมรับเขาใหม่อีกครั้ง เช่นนั้นจะดีเพียงใดกันนะ” อ๋องหวยกล่าวเบาๆ
หรงเยว่กล่าวว่า “ขณะที่เกิดเรื่อง สามารถแยกแยะถูกผิดได้ แต่ถึงตอนนี้ได้เผชิญกับเรื่องราวบางอย่างอีก อ๋องเว่ยเคยช่วยจิ้งเหอ พวกเขาเลือกวิธีจัดการกับความสัมพันธ์ของกันและกันเช่นนี้ ก็ไม่มีการแยกระหว่างถูกและผิด ในเมื่อไม่มีถูกผิด เช่นนั้นก็ทำได้เพียงทำตามความคิดในใจ จิ้งเหอไม่ยอมหันกลับมา ผู้ใดก็โทษนางไม่ได้”
“เจ้าพูดถูก!” อ๋องหวยมองดูภรรยา มักจะรู้สึกว่าตอนนี้นางยิ่งมองทะลุปรุโปร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จึงอดยิ้มในใจไม่ได้ “เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องไถ่ถามแล้ว”
“เดิมทีก็ไม่ควรถามอยู่แล้ว จริงสิ เมื่อครู่จิ้งเหอก็มาด้วย มาพร้อมกับคนของตระกูลชุยเพคะ” หรงเยว่กล่าว
“จริงหรือ? นางอยู่ที่เมืองหลวง?”
“นางก็อยู่ละมั้งเพคะ? แค่ไม่ค่อยได้ออกมา” หรงเยว่ชี้นิ้วเล็กน้อย อ๋องหวยมองไป เห็นจวิ้นจู่จิ้งเหอยืนอยู่กับคนของตระกูลชุยจริงๆ สวมชุดกระโปรงในวังสีแดงสด สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย แต่ได้เติมแป้งแล้ว หากไม่มองอย่างละเอียด ก็มองไม่ค่อยออก
พระชายาซุนกำลังเดินเข้าไปทางนางพอดี นางเอื้อมมือไปจับไหล่จวิ้นจู่จิ้งเหอเล็กน้อย จวิ้นจู่จิ้งเหอหันกลับมาทันที เท้ายืนไม่มั่นคงเล็กน้อย พระชายาซุนประคองนางไว้
“สีหน้าของนางไม่ค่อยดีนัก!” อ๋องหวยมองดู แล้วกล่าวต่อหรงเยว่
หรงเยว่กระซิบกล่าว “เมื่อครู่ข้าได้ยินฮูหยินชุยพูดกับพระชายาอ๋องชินลุ่ย จิ้งเหอเจรจาเรื่องการแต่งงานแล้วเพคะ”