บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1310 ตั้งใจทำให้พวกเราประสบเคราะห์
ในใจของเขาเหมือนดั่งภูเขาพังทลายลงมา ตั้งแต่ต้นจนจบยังยืนหยัดรักษารอยยิ้มบนใบหน้านั่นไว้ ข้างหูของเขามีเสียงอึกทึกครึกโครม สักประโยคหนึ่งเขาก็ฟังไม่ชัดเจน เพียงแต่สิ่งที่หวาดหวั่นมาตลอดในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว
แต่ดีที่ เขาได้เตรียมทำใจมาก่อนแล้ว เขาคิดมาก่อนหลายครั้ง สักวันหนึ่งนางต้องแต่งงานกับชายผู้อื่น เขาควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ทำท่าทีอะไร
“ท่านพี่สาม เสด็จพ่อดื่มอวยพร!” เป็นเวลานาน ข้างหูเสียงของหยู่เหวินเห้าดังมา เขาเอียงศีรษะมองดูสีหน้าที่เป็นกังวลของหยู่เหวินเห้า เขาจึงยกเหล้าขึ้นเหมือนเครื่องจักร มองไปทางเสด็จพ่อ
เสด็จพ่อกำลังตรัส บนใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี เขาก็ยิ้มตาม เสด็จพ่อยกดื่มหมดแก้ว เขาก็ดื่มแล้ว เหล้าแสบคอไร้ที่เปรียบ สำลักเข้าในลำคอ เขารู้สึกว่าถึงอกถึงใจอย่างที่สุด
ทุกคนล้วนหัวเราะ ปีติยินดีเป็นที่สุด เขามองไปทางจิ้งเหอ มุมปากของนางก็แขวนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย นางก็มีความสุขมาก
วันนี้เป็นวันที่ควรค่าการแก่การยินดีจริงๆ ดังนั้นขุนนางและครอบครัวฮูหยินล้วนสามารถนั่งอยู่ในตำหนักได้เป็นกรณีพิเศษ นางดูมีความสุขมากจริงๆ ตอนที่นางหัวเราะขึ้นมาช่างน่ามองจริงๆ นางควรจะหัวเราะให้มากกว่านี้สักหน่อย หวังว่าคนที่นางแต่งงานด้วยหลังจากนี้ จะสามารถทำให้นางมีความสุขตลอดไปได้
ทำไมเขาไม่ตายในสนามรบ? เขาควรจะถูกศัตรูฟันให้ตาย
ในสมองคิดอย่างมั่วซั่ว กรอกเหล้าลงไปทีละแก้วทีละแก้ว ความสามารถในการกินเหล้าของเขาดีมากมาตลอด ลงท้องไปไม่กี่แก้ว ก็รู้สึกว่าความเมาขึ้นสมอง เขาไม่กล้าดื่มมากแล้ว กลัวว่าจะยั้งสติไม่ได้ เขามักจะควบคุมตัวเองไม่ได้เสมอ เคยเสียเปรียบเพราะเมา เขาต้องควบคุมตัวเองให้ดี
เขาก็สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้ เพราะเขาเคยทำการคิดคาดเดาเป็นพันครั้งมาก่อน สามารถรับได้
หยู่เหวินเห้าจับตาดูเขาอยู่ตลอด เกรงว่าเขาจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น โชคดีที่เขานั่งอย่างมั่นคงดั่งภูเขา และไม่ได้กรอกเหล้าต่อ เพียงแค่ค่อยๆจิบทีละอึกทีละอึก เห็นได้ว่าเขามีวุฒิภาวะขึ้นมากจริงๆ
งานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะยินดี ในสถานการณ์ที่ดื่มเหล้ากันอย่างครึกครื้น ทุกคนต่างเมามาย เขาก็เมาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หลังจากงานเลี้ยง ทุกคนก็ค่อยๆขอตัวแยกย้ายกันไป งานเลี้ยงดื่มฉลองค่อยๆจบลงและถูกเก็บออกอย่างรวดเร็ว เขาเห็นนางจากไปแล้ว เขาก็ยืนขึ้นตามหยู่เหวินเห้าอย่างทื่อๆ ร่างกายโซเซ จากนั้นก็ถูกหยู่เหวินเห้าพาออกจากตำหนักมิงทันที
“ข้าไม่เป็นไร!” เขาหันกลับไปพูดกับหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างราบเรียบ “คืนนี้ไม่ต้องกลับไปแล้ว ไปที่จวนอ๋องฉู่เถอะ”
“ไม่ไป!” เขาดิ้นหลุดจากมือของหยู่เหวินเห้า เห็นพระชายารัชทายาทหยวนชิงหลิงสาวเท้ามาอย่างรวดเร็ว นางหอบท้องใหญ่เดินทาง ท่าทางดูตลกมาก เหมือนหมีโง่ เขาก็หัวเราะแล้ว
แววตาของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความจนใจ “ท่านพี่สาม นางไม่ได้แต่งกับผู้ใด นางแต่งงานกับเทพสงคราม แต่งงานกับท่านในอดีต ใช้ทั้งชีวิตเฝ้ารักษาความทรงจำครั้งแรกสุดของพวกท่าน”
อ๋องเว่ยหายใจลึกๆเฮือกหนึ่ง จึงรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบที่โจมตีมา เขาส่ายหน้า สีหน้าซีดเผือดฉับพลัน “ไม่ ข้ายอมให้นางแต่งงานแล้ว”
หยู่เหวินเห้ายังไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อได้ยินยายหยวนพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจเล็กน้อย จริงๆเลย ทั้งสองคนล้วนดื้อรั้น
อ๋องเว่ยโซซัดโซเซจากไปแล้ว หยู่เหวินเห้ารีบเรียกกู้ซือให้หาคนไปส่งเขากลับจวน ตอนนี้กู้ซือก็พักพอดี จึงพาเขาไปส่งด้วยเสียเลย
ทุกคนออกจากวังไป ชั่วขณะนั้นล้วนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร การตัดสินใจของจิ้งเหอ โหดร้ายมาก
แต่ว่า ใครจะสามารถก้าวก่ายได้ล่ะ? ใครจะสามารถไปพูดว่าไม่ได้ล่ะ?
วันรุ่งขึ้นกู้ซือมาถึงจวนอ๋องฉู่ตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าให้อ๋องเว่ยกินยาบางแล้ว ให้เขานอนสองวัน
“สภาพจิตใจของเขากระวนกระวายไม่เป็นสุขมากหรือ?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
“กระวนกระวายไม่เป็นสุขพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าต้องการไปหาจวิ้นจู่จิ้งเหอ แต่ท่าทางเขาเช่นนี้ จะให้เขาไปหาได้ที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะ? ตระกูลชุยไม่ถลกหนังเขาก็แปลกแล้วน่ะพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซือกล่าวอย่างจนปัญญา
หยู่เหวินเห้าเห็นกู้ซืออ่อนล้าเป็นอย่างมาก ก็รู้ว่าเขาดูอยู่ทั้งคืน จึงกล่าว “ได้ งั้นเจ้ากลับไปเถอะ เรื่องนี้มอบให้ข้า”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ ข้ากลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” กู้ซือหาวและจากไป
หยวนชิงหลิงก็สวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นมา ไถ่ถามถึงสถานการณ์ กล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย “ให้ทังหยางไปอยู่ดูแลเขาสักสองสามวันเถอะ”
“ก็ได้!” หยู่เหวินเห้าหันกลับไปบอกให้คนไปหาทังหยาง ให้เขาเก็บของไปอยู่ที่จวนอ๋องเว่ยสักสองสามวัน ดูแลเขาสักหน่อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น
ชั่วขณะนี้ในจวนก็ไม่มีเรื่องอะไร ทังหยางไปสองสามวันก็ไม่เป็นไร หลังจากหยู่เหวินเห้าสั่งการไป เขาก็กลับไปเก็บของควบม้าไปที่จวนอ๋องเว่ยแล้ว
เรื่องที่จิ้งเหอทางนั้นตัดสินใจแล้ว งานแต่งงานก็จัดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด อย่างไรเสียก็ไม่จำเป็นต้องทำตามพิธีการอะไร ก็แค่ย้ายจวน
นางถึงกระทั่งไม่ได้บอกทุกคน รอให้การจัดงานแต่งงานเสร็จสิ้น เข้าไปอยู่บ้านใหม่ จึงส่งคนไปแจ้งในจวนแต่ละจวน เชิญทุกคนมาดื่มชาที่บ้านหลังใหม่ของนาง
วันนี้ฮูหยินเหยาก็มาด้วย นางขนกล่องสิ่งของมาสองสามกล่อง แม้ว่าทุกคนจะนำของขวัญมาด้วย แต่ว่า ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่านางเช่นนี้
จวนของนาง ตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยด้านหลังถนนใหญ่ฮุ่ยหมินเหมิน จวนไม่เล็ก อย่างไรเสียยศถาบรรดาศักดิ์ก็เป็นจวิ้นจู่ สง่าราศีที่ควรจะมีก็ล้วนมีหมด ทว่า แค่ตรงส่วนนี้ค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย เพราะที่พักอาศัยอยู่รอบข้างโดยพื้นฐานล้วนเป็นราษฎรยากจน บ้านนี้ก็ราคาถูก เดิมทีเป็นบ้านของพ่อค้า ขายออกไปในราคาย่อมเยา นางชอบ จึงซื้อมาเป็นบ้านใหม่ของตัวเอง
ทันทีที่พระชายาซุนเห็นก็ไม่ชอบแล้ว “บ้านหลังนี้ใหญ่ก็ใหญ่พอ แต่เงียบเหงาน่ะสิ และรอบข้างก็ซับซ้อนเพียงนี้ เจ้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันล่ะ?”
“ที่นี่ดีมากเพคะ ใหญ่เพียงพอ!” จวิ้นจู่จิ้งเหอยิ้มแล้วกล่าว ด้านในนี้เก็บกวาดเล็กน้อย บวกกับตกแต่งประดับประดาก็ไม่เลว ดูแล้วก็มีสง่าราศีอย่างพอเพียง มีลานบ้านสามลาน หอด้านข้างยี่สิบกว่าห้อง เป็นจวนที่ใหญ่มากจวนหนึ่ง
“ต้องการใหญ่ขนาดนี้ไปทำอะไร?” พระชายาซุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ใหญ่หน่อยก็ดีเพคะ คนสามารถอยู่ได้เยอะน่ะเพคะ!” จวิ้นจู่จิ้งเหอยิ้มแล้วกล่าว สั่งให้สาวใช้จัดชา นางต้มชาด้วยตนเอง
หยวนหย่งอี้เอ่ยถาม “คนอยู่ได้เยอะ? เจ้าต้องการให้ผู้ใดอยู่? ยังจะมีผู้ใดมาอยู่กับเจ้าหรือ?”
จวิ้นจู่จิ้งเหอเงยหน้าขึ้น อมยิ้มมองดูฮูหยินเหยา “ท่านไม่ได้บอก?”
ฮูหยินเหยาปาดเหงื่อเล็กน้อย กล่าวว่า “สองวันนี้วุ่นอยู่กับการจัดการ ไม่ทันได้บอก เจ้าบอกเถอะ”
ทุกคนมองดูพวกนางทั้งสองด้วยความสงสัย กลั้นไว้เช่นนี้จะเล่นอะไรกันนะ?
จวิ้นจู่จิ้งเหอมองดูทุกคน ค่อยๆเก็บรอยยิ้มแล้ว นัยน์ตากลับอ่อนโยนเป็นที่สุด “อันที่จริงเรื่องนี้ น้องเจ็ดก็รู้ ก่อนหน้างานเลี้ยงฉลองข้าก็ไปที่ทำการปกครองแล้ว เพราะว่าสำนักนางชีหมิงเยว่ต้องการรื้อถอน เหล่าแม่ชีในนี้รับเลี้ยงดูทารกสิบกว่าคน ต้องการหาคนเอาไปเลี้ยง ข้าจึงไปหาฮูหยินเหยารอบหนึ่ง ถามนางว่าเต็มใจรับเลี้ยงดูทารกเหล่านี้กับข้าหรือไม่ นางบอกว่าตกลง ข้าจึงไปดำเนินการจัดการที่ทำการปกครอง ถัดไปอีกสองวัน เด็กๆก็มาแล้ว ดังนั้น ข้าถึงได้รีบร้อนต้องการย้ายออกมา ของที่ฮูหยินเหยานำมาวันนี้ ล้วนเป็นเสื้อผ้าของทารก หลังจากนี้ ข้าก็จะเป็นแม่ของเด็กสิบกว่าคนนี้แล้ว”
ทุกคนล้วนตะลึงงันแล้ว รับเลี้ยงดูเด็กมากมายเพียงนี้เชียวหรือ?
พระชายาซุนลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังสร้างปัญหาให้ตัวเองอยู่นะ ไม่ใช่ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข จะต้องเลี้ยงดูเด็กๆอะไรให้ได้? เจ้าจะต้องทรมานตัวเองให้ได้ถึงจะมีความสุขงั้นหรือ?”
นางดุว่าพลาง ขอบตาก็แดงในทันที เสียงก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าพวกเราก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจเช่นกัน? แต่งงานกับเทพสงครามอะไรก็แล้วไปแล้ว ยังต้องการจะเอาเด็กมากมายมากระทบจิตใจของตัวเองอีก เจ้าทำเช่นนี้เป็นทรมานตัวเอง เช่นนี้เจ้าตั้งใจจะทำให้พวกเราปวดใจใช่หรือไม่?”