บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1315 หัวเมืองห้าเมือง
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างกระอึกกระอัก “ข้าแค่รู้สึกว่า แต่งตั้งพระราชทานตอนนี้เร็วเกินไปเพคะ”
ไท่ซ่างหวงกล่าว “แต่งตั้งพระราชทานตอนนี้ ดูแล้วเร็วไปหน่อย แต่ข้าไม่ได้กลัวเพียงแค่การต่อสู้แย่งชิงกันของพวกเขาในอนาคต แต่ภายภาคหน้าของเด็กทั้งห้านี้จะต้องมีอนาคตอันยิ่งใหญ่ เอาหัวเมืองทั้งห้าแบ่งให้กับพวกเขา เป็นเพราะเป่ยโม่ได้ลงนามพันธสัญญาสงบศึกกับเป่ยถัง คาดว่าอีกไม่ถึงยี่สิบปี เป่ยโม่ก็จะฉีกทำลาย และหัวเมืองทั้งห้าก็อยู่ติดกับเขตชายแดนเป่ยถังของเรา เป็นแนวป้องกันที่ดีที่สุดของพวกเรา หลังจากนี้ยี่สิบปี พวกเด็กๆก็ล้วนเติบโตหมดแล้ว ด้วยความสามารถของพวกเขา จะสามารถทำให้หัวเมืองทั้งห้านี้กลายเป็นของเป่ยถังได้ จะกลับกลายเป็นฉากกำบังของพวกเราในการต่อต้านเป่ยโม่ที่ดีที่สุด นี่เป็นการวางแผนเพื่อเป่ยถังเป็นเวลายี่ปีของข้า ราษฎรของหัวเมืองทั้งห้า ตั้งแต่ตอนนี้ก็จะต้องรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร”
โสวฝู่ฉู่เสริมอยู่ด้านข้าง “ดังนั้น ก่อนที่จะกรีธาทัพใหญ่กลับราชสำนัก จึงมีคำสั่งให้แม่ทัพใหญ่ฮู่ ให้เขาจัดการให้เรียบร้อย ราษฎรส่วนหนึ่งของจวนเจียงเป่ยเมืองซิ่วโจวอพยพไปยังหัวเมืองเหล่านี้ แต่งงานกับคนในท้องถิ่น กระทั่งส่งเสริมให้คนในประเทศอพยพไปอยู่ทางนั้นอย่างต่อเนื่อง ขยายจำนวนประชากรเป่ยถังของเรา ทำให้รากของเป่ยถังหยั่งลึกลงไปในหัวเมืองทั้งห้าแห่งเหล่านี้ ยึดมั่นแนบแน่นไม่ปล่อยวาง”
หยวนชิงหลิงฟังจนรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะคิดจนยาวไกลได้ถึงเพียงนี้ อีกยี่สิบปีให้หลังใต้หล้าจะเป็นอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้ แต่มีเพียงการกำหนดแผนการออกมาเท่านั้น จึงจะรู้ว่าหนทางข้างหน้าควรจะเดินอย่างไร จึงจะสามารถควบคุมตัวแปรในระดับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้
ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้ว ก็ไม่เหมาะสมที่หยวนชิงหลิงจะพูดอะไรอีก อย่างไรเสีย แม้ว่าจะแต่งตั้งพระราชทานแล้ว ตอนนี้พวกเด็กๆก็ไม่สามารถไปได้ ยังต้องส่งคนไปดูแลอยู่
หลังจากหยวนชิงหลิงออกจากวัง ก็บอกเรื่องนี้แก่เจ้าห้า
คิดไม่ถึงว่าเจ้าห้าจะรู้ล่วงหน้าแล้ว บอกว่าวันเฉลิมฉลองวันนั้น ไท่ซ่างหวงก็ถามความเห็นของเขาแล้ว เขาคิดว่าได้
หยวนชิงหลิงกล่าว “ท่านรู้ล่วงหน้าแล้วกลับไม่บอกข้า”
“ลืมไปแล้ว” เจ้าห้ายิ้มอย่างเก้ๆกังๆ
“เรื่องนี้ก็สามารถลืมได้? การแต่งตั้งเป็นเรื่องใหญ่เชียวนะ?”
เจ้าห้าเผยใบหน้าอันหล่อเหลาทันที “ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก ข้ารับปากก็เพราะในอนาคตภาษีทุกชนิดที่ดินพระราชทานของทั้งห้าหัวเมืองนี้ล้วนต้องแบ่งให้พวกเขา มีเงินจึงตอบตกลงไปแล้ว”
หยวนชิงหลิงถูกมุมมองการกระทำที่ตั้งอกตั้งใจเสาะหาเงินของเขาทำจนหมดคำจะเอ่ยอย่างลึกซึ้ง
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย?” หยวนชิงหลิงยังคงกังวลกับจุดนี้ อย่างไรเสียง นี่ก็เป็นการตัดสินใจของไท่ซ่างหวง ได้ยินเขาพูดว่าทำไมเขาจึงให้เขาเห็นด้วยคำนี้ ก็สามารถยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้หารือกับเสด็จพ่อมาก่อน
“ทางเสด็จพ่อไม่น่าจะคัดค้าน……” เจ้าห้าชะงักไปครู่หนึ่ง แต่กลับขมวดคิ้ว “หากเสด็จพ่อมีความตั้งใจอย่างอื่น เช่นนั้นคาดว่าก็คงจะแบ่งหัวเมืองเมืองหนึ่งให้น้องสิบ หากเป็นเช่นนี้จริง หลายฝูน้อยของพวกเราก็ไม่เอาแล้ว ลูกสาวไม่ต้องแต่งตั้งไปสถานที่ที่ไกลเพียงนี้” อย่างไรเสีย ท่านพ่อของนางก็มีราชบัลลังก์ต้องสืบทอด
หยวนชิงหลิงกล่าว “เรื่องนี้พวกเราอย่าเผยแพร่ไปก่อน ไท่ซ่างหวงคงจะต้องสื่อสารกับเสด็จพ่อให้เรียบร้อย”
อย่างไรเสีย พวกเขาพูดอะไรก็ล้วนไม่เหมาะสม คนที่ได้รับ แม้ว่าจะนอบน้อมถ่อมตนก็ล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกถึงการจู่โจม
การคาดเดาของเจ้าห้า ยังคงค่อนข้างเชื่อถือได้
เรื่องนี้ไท่ซ่างหวงยังไม่ได้พูด แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนกับพูดกับฮู่เฟยก่อนแล้ว
อันที่จริงเขาก็ไตร่ตรองอยู่นาน ฮู่เฟยเป็นผู้หญิงที่เขารักมากเป็นพิเศษ และเขาชอบเจ้าสิบมาก อยากจะทำดีกับเขาหน่อย ตำแหน่งรัชทายาทก็เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ถึงขั้นไร้เหตุผลเช่นนี้ ทำได้เพียงการแต่งตั้งเท่านั้น เพียงแต่ อายุน้อยเช่นนี้ก็แต่งตั้งแล้ว ก็เลี่ยงที่จะถูกขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นว่ากล่าวไม่ได้ แต่หัวเมืองที่เป่ยโม่ยอมตัดแบ่งให้ไม่กี่เมืองนั้น ตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรง ประจวบเหมาะกับการมอบให้เจ้าสิบ ให้แม่ทัพใหญ่ฮู่คอยตั้งมั่นรักษาการอยู่ทางนั้น คิดว่าก็คงไม่มีใครติฉินนินทาได้
ก่อนที่จะบอกฮู่เฟย เขาเอ่ยต่อมู่หรูกงกงเล็กน้อย มู่หรูกงกงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้พระองค์ต้องสอบถามความเห็นด้วยจากไท่ซ่างหวงก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่จำเป็น ไท่ซ่างหวงจะไม่ก้าวก่าย” ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นในเรื่องนี้ พระราชทานแต่งตั้งออกไป ก็ยังคงเป็นดินแดนของเป่ยถัง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ สำหรับการจัดการพระราชทานแต่งตั้งดินแดน ไท่ซ่างหวงก็ไม่เคยก้าวก่ายมาก่อน หากเรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ต้องถาม ก็แสดงออกมาว่าเขาตัดสินใจไม่เด็ดขาด
มู่หรูกงกงบังอาจโน้มน้าวอีกคำ “เมื่อก่อนไท่ซ่างหวงอาจจะไม่ได้ก้าวก่ายเรื่องการเมือง แต่ครั้งนี้เขาออกรบด้วยตนเอง หัวเมืองไม่กี่เมืองนี้ล้วนเป็นเขาที่ต่อสู้กลับมาได้ ข้าน้อยคิดว่า ฝ่าบาทควรถามไท่ซ่างหวงก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผล คิดไปคิดมา กล่าวว่า “พรุ่งนี้ตอนน้อมทักทาย ข้าจะเสนอสักหน่อย!”
มู่หรูกงกงยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงพระปรีชาพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรับสั่งให้เขาจัดข้าวของให้ดี แล้วไปตำหนักของฮู่เฟย
ไม่กี่วันมานี้ฮู่เฟยยังคงรู้สึกไม่สบายท้อง ด้านการกินดื่มล้วนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่กระเพาะลำไส้ไม่ดี ไม่ใช่ว่าวันสองวันก็จะสามารถดีขึ้นได้ ดังนั้น เขาจึงพยายามเข้ามาจับตาดูอาหารการกินของนางอย่างสุดความสามารถ
เจ้าสิบชอบเกาะติดเสด็จพ่อมาก เมื่อเสด็จพ่อเสด็จมา ก็ออดอ้อนติดหนึบในอ้อมกอดของเขา ลูกๆคนอื่นๆของฮ่องเต้หมิงหยวนล้วนโตแล้ว มีคนตัวเล็กเกาะติดเขาเช่นนี้ ในใจเขามีความสุขเป็นอย่างมาก
ความรักความเอ็นดูที่มีต่อเจ้าสิบ บางเวลาเขาก็รู้ว่ามากเกินไป แต่คนที่เป็นพ่อ มีที่ไหนที่จะไม่โปรดปรานลูกชายของตัวเองล่ะ?
“หมู่นี้กินอะไรไป? กินจนอ้วนขนาดนี้ แทบจะตามพี่รองของเจ้าทันแล้ว!” ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะแล้วตีก้นน้อยๆของเขา เนื้อเด้งดึ๋ง น่าเล่นเป็นอย่างมาเชียว
เจ้าสิบเบ้ปาก “หม่อมฉันไม่อยากเหมือนท่านพี่รองพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่รองเหมือนหมูเช่นนั้น น่าเกลียดจะตายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮู่เฟยหน้าบึ้งลงมา “ตบปาก ใครอนุญาตให้เจ้าวิพากษ์วิจารณ์ท่านพี่รองของเจ้า?”
เจ้าสิบถูกฮู่เฟยตำหนิ ไม่กล้าเปล่งเสียงในพริบตา
ฮ่องเต้หมิงหยวนสงสารลูก อุ้มไว้ในอ้อมแขน กล่าวว่าฮู่เฟย “เจ้าดุเขาทำไมล่ะ? เด็กไร้เดียงสาพูดความจริงอย่าถือสา”
ฮู่เฟยกล่าวอย่างจนปัญญา “ฝ่าบาท เด็กไร้เดียงสาพูดความจริงอย่าถือสาก็ต้องแยกแยะเรื่องราวนะเพคะ นี่เขาไม่เคารพท่านพี่รองของเขา หากให้ท่านอ๋องได้ยินเข้า เช่นนี้จะไม่ดีเพียงใด?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นลูกชายแบะปาก ท่าทางจะร้องไห้ มักจะรู้สึกว่าวิธีการอบรมสั่งสอนของฮู่เฟยที่มีต่อเขามีปัญหา เรื่องเล็กๆก็มักจะจับผิดเขา แต่กลับไม่ได้กระตุ้นให้เขาพัฒนา กล่าวว่า “เจ้ารองไม่ถือสาเขาหรอก อีกอย่างเขาอ้วนเหมือนหมูจริงๆ ตัวเขาเองไม่รู้จักควบคุม ยังจะไม่ยอมให้คนอื่นว่าเขาอีกหรือ?”
“นั่นนะสิพ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าสิบพึมพําอย่างไม่พอใจ
ฮู่เฟยตบโต๊ะด้วยความโกรธ “เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือ?”
ทันทีที่ตบโต๊ะนี่ เจ้าสิบก็ร้องไห้ออกมาโดยตรง ฮ่องเต้หมิงหยวนกลอกตาขาวใส่ฮู่เฟยแวบหนึ่ง “อยู่ดีๆ เจ้าจำเป็นต้องทำให้เขาร้องไห้ใช่หรือไม่?”
ฮู่เฟยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท ขณะที่อ๋องชินทุกท่านเล็กๆ ท่านเป็นรัชทายาท ช่วยไท่ซ่างหวงจัดการเรื่องการเมือง คิดว่าก็น่าจะอบรมสั่งสอนด้วยตัวเองไม่มาก พระองค์ไม่เข้าใจ บางทีตัวเด็กเองไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่หากว่าผู้ใหญ่ก็เห็นด้วยแล้ว เขาก็จะคิดว่าตัวเองถูกต้อง และยิ่งกำเริบทำตามอำเภอใจตัวเองมากขึ้นโดยไม่กลัวเกรงใดๆขึ้นเรื่อยๆ ท่านไม่สามารถปล่อยตามใจเขาเช่นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นไม่ช้าไม่เร็วก็จะเป็นการทำร้ายเขาเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่เคยสั่งสอนลูกๆด้วยพระองค์เองจริงๆ ในสมัยของไท่ซ่างหวง แม้จะบอกว่าไม่ได้เกิดเรื่องแย่งชิงทางสายเลือด แต่ภัยพิบัติเกิดขึ้นติดต่อกันหลายปี เขาในฐานะรัชทายาท ออกจากเมืองหลวงมาจัดการปัญหา ปีหนึ่งก็เจ็ดแปดครั้ง ไม่ค่อยอยู่ในจวน
ต่อมาไท่ซ่างหวงสละราชสมบัติ เขาขึ้นครองราชย์ งานยุ่งกว่าตอนที่เป็นรัชทายาทมากนัก เป็นธรรมดาที่ยิ่งจะหาเวลาว่างมายุ่งดูแลพวกเด็กๆไม่ได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมักจะรู้สึกผิดต่อโอรสพระองค์โตของเขาหยู่เหวินจุนอยู่เสมอ
เขารู้ว่าฮู่เฟยก็ทำออกมาด้วยความคิดที่รอบคอบ ไม่ว่าใครก็ล้วนกลัวว่าจะไปล่วงเกินเข้า ตอนนี้นางใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง กับเมื่อก่อนที่ทำตามอารมณ์กล้าหาญ เหมือนเป็นคนละคน คำพูดของเด็กน้อยในวังหลัง จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องจำกัดมากนัก ก็นับว่าเป็นการให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่ฮู่เฟยอย่างหนึ่งแล้ว เขากล่าว “ข้าตัดสินใจแล้ว จะเอาหัวเมืองทั้งห้าเมืองของเป่ยโม่ในครั้งนี้ พระราชทานให้เจ้าสิบ พระราชทานแต่งตั้งก่อน รอให้เขาโตแล้วค่อยไป เป็นอ๋องอยู่ทางนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา”