บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1318 ผู้ใดเหมาะสมที่สุด
ไท่ซ่างหวงฟังจบ ยกชามาดื่มอึกหนึ่ง แล้วก็ค่อยจุดกล้องยาสูบ มองดูฮ่องเต้หมิงหยวนทะลุผ่านควันที่วนเวียนอยู่ “ฮ่องเต้มีการวางแผนที่ยาวไกลเช่นนี้ ข้าชื่นชมมาก และคิดว่าเจ้าไตร่ตรองได้ถูกต้อง ก็มีเพียงแค่สองคำถาม ฮ่องเต้ตอบคำถามแล้ว ข้าก็จะไม่ถามอีก”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว “พระองค์ถามพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาคิดไปเองว่า นี่ก็เป็นการไตร่ตรองที่ค่อนข้างยาวไกลล้ำลึก ไท่ซ่างหวงจะเห็นด้วยเป็นแน่ ดังนั้น ก็ไม่เคยคิดถึงอย่างอื่น
ไท่ซ่างหวงเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่า อายุของเจ้าสิบและเจ้าห้าห่างกันยี่สิบกว่าปี ความสัมพันธ์ของพี่น้องไม่ลึกซึ้ง ข้าจะลองคิดว่าเจ้าพูดถูกต้องดูก่อน แต่หวงกุ้ยเฟยก็กำลังตั้งครรภ์ หากว่าให้กำเนิดองค์ชายสิบเอ็ด เจ้าจะจัดการอย่างไร? ในท้องของฮู่เฟยก็กำลังตั้งครรภ์ เมื่อเป็นองค์ชาย เจ้าจะจัดการเช่นไรอีก?”
“นี่……” ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไม่เคยคิดถึงจุดนี้ แต่นี่ก็อธิบายได้ไม่ยาก กล่าว “ตอนนี้เจ้าห้าได้สืบทอดเป็นโอรสของหวงกุ้ยเฟย หากหวงกุ้ยเฟยให้กำเนิดองค์ชาย เป็นธรรมดาที่จะสนิทกับเจ้าห้าหน่อย รอจนองค์ชายโตขึ้นแล้ว ช่วยเหลือพี่ห้าควบคุมจัดการราชสำนักการเมือง นี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ สำหรับลูกในท้องของฮู่เฟย…… ชั่วขณะนี้ข้าไม่ได้วางแผนไว้ หากให้กำเนิดออกมาเป็นองค์ชาย อนาคตค่อยพระราชทานแต่งตั้งอย่างอื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“คำพูดนี้ดูเหมือนว่าจะพูดแล้วผ่านไปได้ เพียงแต่ในใจของหวงกุ้ยเฟยจะไม่รู้สึกว่าเจ้าลำเอียงรึ!” คำพูดนี้ของไท่ซ่างหวงความจริงก็แฝงไปด้วยความไม่พอพระทัยแล้ว เพียงแต่ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังไม่ออกเท่านั้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว “หวงกุ้ยเฟยมีนิสัยใจคอดีมีความรู้ มีคุณธรรมสูงส่ง นางจะไม่มีความคิดเช่นนี้ เสด็จพ่อวางใจก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ นี่คือคำถามแรก ก็ทำเหมือนแก้ไขไปเช่นนี้แล้วปัญหาสักเล็กน้อยก็ไม่มีโดยสิ้นเชิง” ไท่ซ่างหวงบอกให้เซียวเหยากงยัดยาเส้นใส่ในหม้อกล้องยาสูบ ถามต่อว่า “คำถามที่สอง ด้วยความสามารถของเจ้าพระยาฮู่ จัดการดูแลหัวเมืองทั้งห้านั้นเหมาะสมที่สุด ข้าเห็นด้วยกับจุดนี้ เดิมทีเขาเป็นคนที่อวดดีอย่างบ้าระห่ำ ทำคุณงามความดีสูงส่งจนส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของเจ้านาย แต่หลังจากถูกตักเตือนครั้งหนึ่ง ก็พยายามตั้งใจจดจ่อทำเพื่อราชสำนักอย่างสุดความสามารถ ในฐานะขุนนางรับผิดชอบหน้าที่ของตน คำว่าตัวเป็นขุนนางนี้ เดิมทีก็เป็นเงื่อนไขกฎเกณฑ์อยู่แล้ว สามารถผูกมัดความทะเยอทะยานของเขาไว้ได้โดยปริยาย ดั่งภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่กดทับเขาไว้ให้คิดมากไม่ได้ ทันทีที่คิดมากไปก็สามารถเรียกพลให้กลับมาได้ทุกเมื่อ แต่เจ้าบอกเขาว่า หัวเมืองทั้งห้านี้จะเป็นของหลานชายเขาในอนาคต นี่คือการทดสอบนิสัยการเป็นคนของเขา เขาจะคิดว่าหัวเมืองไม่กี่เมืองนี้ก็คือของเขา นั่นคืออาณาบริเวณที่พระราชทานให้เขา เพราะว่ายี่สิบกว่าปีนี้เจ้าสิบก็ไม่มีทางไปอาณาบริเวณที่พระราชทานได้ ข้อบกพร่องในนิสัยของเจ้าพระยาฮู่ ข้าไม่จำเป็นต้องพูดมาก ฮ่องเต้คงจะรู้ดีว่า เขาเป็นคนที่ถูกคนยุยงสองสามคำ ก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองนามสกุลอะไร ทันทีที่เกิดความทะเยอทะยานขึ้นมา ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เป่ยถังของเรายกทัพไปปราบปราม ก็เป็นการยอมรับตัวตนของเขา? คิดไตร่ตรองให้ดีๆ”
“นี่……” ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ที่สำคัญคือเจ้าพระยาฮู่มีข้อบกพร่องนี้ หากเคาะตลอดเวลา เขาก็จะยังมีสติเล็กน้อย เมื่อหากขาดการเคาะตี มีคนไว้หน้าเขาหน่อยเขาก็จะลืมตัวแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งตัวเป็นกษัตริย์จริงๆ
เพราะว่า สถานที่แห่งนั้นวุ่นวาย อีกทั้งต้องต้านทานความขัดแย้งระหว่างเป่ยโม่และเป่ยถัง ปล่อยให้เขาบังคับบัญชาเพียงผู้เดียว อันตรายมากจริงๆ แต่หากว่าส่งคนเข้าไป เขาคิดว่านั่นเป็นอาณาเขตพระราชทานของเจ้าสิบ ท่านตาเช่นเขาผู้นี้เป็นคนตัดสินใจ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงขึ้นมา ไม่มีทางดำเนินการควบคุมดูแลดูร่วมกับขุนนางที่ราชสำนักส่งไปได้
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง “เสด็จพ่อวิเคราะห์เช่นนี้ ก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็ค่อยหาคนที่คัดเลือกได้อีกคน แม่ทัพที่มีเข้มงวด ก็ไม่ใช่เขาเพียงผู้เดียว”
เขาพูดเช่นนี้ไปพลาง ก็มองดูเซียวเหยากงด้วยจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “ท่านกั๋วกงในปีนั้นเก่งกว่าเขาหลายระดับ”
เซียวเหยากงได้ยินดังนั้น เปล่งเสียงไม่พอใจเสียงหนึ่ง “ฝ่าบาท เอาข้าน้อยไปเทียบกับเขา ก็เป็นการดูหมิ่นข้าน้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยทำคุณงามความดีเพื่อประเทศ ปรับปรุงเสริมส่งให้ทางเหนือแข็งแกร่ง แต่เรื่องที่กระจุกกระจิกเหล่านั้น เทียบกับคนอย่างพวกเขาที่กลับมาจากสนามรบจริงๆ ไม่มีทางเปรียบเทียบกันได้ ปีนั้นที่เคยทำสงคราม จะเป็นจะตายอยู่หลายรอบ ทุกเหตุการณ์ล้วนน่ากลัวจนขวัญผวาเป็นที่สุด จะเปรียบเทียบได้กับรุ่นหลังอย่างพวกเขาได้อย่างไร?
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดกึ่งหยอกล้อกึ่งจริงจังว่า “เช่นนั้นท่านกั๋วกงเต็มใจไปหรือไม่ล่ะ?”
เซียวเหยากงตะลึงงัน “ฝ่าบาททรงพูดจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “หากว่าท่านกั๋วกงยินยอมต้องการ ข้าก็รู้สึกว่าได้!”
เซียวเหยากงยิ้มและนิ่งเงียบแล้ว มองดูโสวฝู่ฉู่ที่นิ่งเงียบเหมือนกันแวบหนึ่ง
ไท่ซ่างหวงหัวเราะอย่างราบเรียบทันที ดวงตาเย็นยะเยือก “เขาไม่มีอะไรเต็มใจหรือไม่เต็มใจ พระราชโองการออกมาแล้ว เขาก็ต้องไป ไปเถอะ กลับไปจัดเก็บข้าวของ อย่างไรเสียชีวิตนี้ข้าก็โดดเดี่ยวจนคุ้นชินแล้ว ไม่สมควรที่จะมีเพื่อนสมัยเด็กๆอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย ทำงานเพื่อโอรสองค์เล็กของฮ่องเต้สำคัญกว่า อย่างไรเสีย ก็ล้วนลำบากมาทั้งชีวิตแล้ว ไม่ต้องสนใจความลำบากสองปีหลังนี้ ก็นับว่าเป็นการมอบทั้งชีวิตของตัวเองตายเพื่อเป่ยถังแล้ว คนชรา ก็นับว่าอิ่มหนำแล้ว!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขอพระราชทานอภัย “เสด็จพ่ออย่าได้เข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น จะปล่อยให้ท่านกั๋วกงออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเป่ยโม่ที่ห่างไกลเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าก็ทนไม่ได้ ท่านกั๋วกงควรอยู่เสพสุขเป็นเพื่อนท่านที่เมืองหลวงในวัยชราจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซ่างหวงหัวเราะแล้ว จุดกล้องยาสูบต่อ เมื่อสูบครั้งนี้ ก็หยุดลงมาไม่ได้แล้ว “ข้ารู้ว่าเจ้าล้อเล่น หากเขาอายุปูนนี้แล้ว เจ้ายังส่งเขาออกไปเฝ้าระวังที่ชายแดนเมืองอีก ก็เป็นการใจจืดใจดำไร้หัวใจโดยแท้จริงแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้ว่าเขาขุ่นเคืองแล้ว แม้ว่าจะหัวเราะอยู่ แต่กลับเย็นชาเป็นอย่างมาก ก็ไม่กล้าพูดเรื่องของเซียวเหยากงนี้อีก ถามเพียง “เช่นนั้นหัวเมืองทั้งห้านี้ เสด็จพ่อคิดว่าพระราชทานให้ไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ข้ามีพระราชโองการไปแล้ว ฮู่เฟยก็ขอบพระทัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซ่างหวงถอนใจ “ในเมื่อพูดถึงนี้แล้ว ข้าจะค่อยๆวิเคราะห์ที่ละชั้นๆกับเจ้า หัวเมืองทั้งห้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเป่ยโม่มาโดยตลอด อยู่ภายใต้การปกครองของเป่ยโม่ ราษฎรในเมืองก็เป็นคนของเป่ยโม่ หากจะยึดทั้งห้าหัวเมืองนี้จริงๆ ก็จำเป็นต้องอพยพประชาชนบางส่วนของเป่ยถังที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลมาอาศัยที่นี่ แต่งงานกับคนในท้องถิ่น สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีการปกครองดินแดนจึงจะกลายเป็นของเป่ยถังอย่างแท้จริง เป็นลูกหลานของเป่ยถัง แต่ว่า ในอีกห้าสิบปีข้างหน้าสถานที่แห่งนี้จะไม่สงบสุข ชาวบ้านตั้งแรกเริ่มไม่ได้แก่ตายทั้งหมดในหนึ่งวัน จะต้องมีคนคิดต้องการสมรู้ร่วมคิดกับคนของเป่ยโม่เพื่อแย่งชิงดินแดนผืนนี้คืน นี่จึงทำให้ผู้ที่จะควบคุมดูแลพื้นที่แห่งนี้ จำเป็นต้องมีความสามารถอันยิ่งใหญ่ จึงจะสามารถหยุดยั้งความไม่โกลาหลได้ เจ้าพระยาฮู่สามารถรักษาการได้ช่วงเวลาหนึ่ง ยังสามารถเฝ้าประจำการได้อีกสักกี่ปี? อีกทั้งเขาก็ไม่เชี่ยวชาญด้านกลอุบาย มองแผนการร้ายไม่ทะลุ หากคนอื่นใช้กลอุบายปลุกระดมราษฎรในท้องถิ่น เขาไม่มีปัญญารับมือได้ อนาคตเจ้าสิบ จะสามารถรับมือที่นี่ได้จริงหรือไม่? หากเขาไม่ไป เพียงแค่พระราชทานแต่งตั้งให้เขาความหมายจะอยู่ที่ใด?”
ไท่ซ่างหวงจุดยาสูบอีกครั้ง กล่าวต่อ “อีกจุดหนึ่ง หัวเมืองทั้งห้าแห่งนี้ เชื่อมต่อกันเป็นแนวเดียว เมืองฉื่อล้าเป็นพรมแดนติดต่อกับจวนเจียงเป่ย ตลอดทางที่ไป ก็เป็นแนวเทือกเขาฉื่อล้า ทอดยาวไม่ขาดตอนออกไปสี่หัวเมือง ตอนนี้ล้วนกลับมาเป็นของพวกเรา แนวเทือกเขาฉื่อล้าเชื่อมต่อกับหัวเมืองทั้งห้า ก่อเป็นเกราะป้องกันที่เยี่ยมที่สุด ขอเพียงรักษาไว้ที่นี่ได้ อีกร้อยปีข้างหน้า เป่ยโม่ต้องการจะเข้ามารุกรานก็ไม่ง่ายอย่างแน่นอน ดังนั้น หัวเมืองทั้งห้าแห่งนี้ ก็คือเส้นชีวิตของเป่ยถัง จะเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่ว่า การส่งทหารเข้าประจำการดั่งปกติ ปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้
กลับไม่จำเป็นต้องบอกว่าจะต้องสอดแทรกผู้คนที่มีความสามารถอะไรไปอยู่ที่นั่น และในราชสำนักตอนนี้ จะมีผู้ใดที่เหมาะสมยิ่งกว่าเจ้าพระยาฮู่อักล่ะ?