บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1319 เช่นนั้นก็ปลดรัชทายาท
ในสมองของเขาวกวนไปมาหลายรอบ ฉับพลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าไท่ซ่างหวงพูดกับเขามากขนาดนี้ คือมีแผนการอยู่แล้วหรือไม่?
อดไม่ได้ที่จะลองถามหยั่งเชิง “เสด็จพ่อ ท่านคิดว่าจะทำอย่างไรให้เหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงวางกล้องยาสูบลง มองดูเขา “เมื่อวานข้าก็มีความคิดเห็นแล้ว หัวเมืองทั้งห้า พระราชทานแต่งตั้งให้บุตรชายไม่กี่คนของรัชทายาท นอกจากพระราชนัดดาองค์ใหญ่แล้ว แม้แต่ลูกในท้องก็ล้วนมีส่วน ส่งเจ้าพระยาฮู่และเจ้าสามเข้าไปประจำการก่อน เพื่อขัดขวางการดำเนินการของกันและกัน ฉุดดึงกันและกัน ระวังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว เจ้าสี่ยังคงประจำการอยู่ที่จวนเจียงเป่ย เป็นดวงตาของราชสำนัก จับตามองหัวเมืองทั้งห้าแห่งนี้ คอยปกป้องอาณาเขตชายแดนของเราอีกขึ้น กระทำเช่นนี้เหมาะสมที่สุด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึงงันเล็กน้อย “เสด็จพ่อ เช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม มีหลักการที่ไหนที่องค์ชายยังไม่เคยได้พระราชทานแต่งตั้งก็แต่งพระราชทานแต่งตั้งให้พระราชนัดดาก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ? อีกทั้งตามที่พระองค์พูดเช่นนี้ หัวเมืองทั้งห้าแห่งนี้พระราชทานแต่งตั้งให้เจ้าสิบ ก็พูดให้เข้าใจได้ อย่างไรเสีย ส่งเจ้าสามเข้าไป ก็สามารถควบคุมเจ้าพระยาฮู่ได้ เจ้าพระยาฮู่ก็จะไม่เกิดความคิดจิตใจอวดดีหยิ่งผยองขึ้นมาได้ มีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงปฏิเสธทันควัน “ความแตกต่างนี้ เมื่อครู่ข้าได้เคยพูดไปแล้ว หากพระราชทานแต่งตั้งให้องค์ชายสิบ เช่นนั้นเจ้าพระยาฮู่ก็จะยึดตนเองเป็นแกนหลัก ไม่เห็นเจ้าสามอยู่ในสายตา แต่เห็นเป็นดั่งขุนนาง จะไม่บังเกิดความทะเยอทะยานขึ้นมาได้ง่ายๆได้อย่างไร ประการที่สอง สิบห้าปีหลังจากนั้น เด็กๆเติบโตขึ้นมุ่งตรงไปสถานที่พระราชทาน พวกเขาแต่ละคนครอบครองหัวเมืองหนึ่งเมือง พี่น้องท้องเดียวกันช่วยกันเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตา ประสบปัญหาสามารถหารือกันได้ สามารถร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างประตูประเทศที่แข็งแกร่งที่ไม่สามารถทำลายได้บานหนึ่งเพื่อเป่ยถังของเรา พละกำลังของทั้งห้าคนรวมกันขึ้นมา มากกว่าห้า ดีกว่าที่เจ้าเอาหัวเมืองทั้งห้า แต่งตั้งพระราชทานให้คนผู้เดียว”
คำพูดครั้งนี้ของไท่ซ่างหวง ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังจบ ในใจก็จำนนนับถือ การไตร่ตรองเช่นนี้ ลึกซึ้งยาวไกลยิ่งกว่าแผนการทั้งหมดของเขาจริงๆ
แต่ว่า ปัญหาอยู่ที่ เขาได้มีพระราชโองการพระราชทานให้องค์ชายสิบแล้ว ฮ่องเต้เปลี่ยนคำพูดได้อย่างไร? เช่นนี้เป็นการทำลายความน่าเกรงขามของกษัตริย์จริงๆ
พิจารณาอย่างรอบคอบรอบหนึ่ง อันที่จริงคำพูดของไท่ซ่างหวงสามารถโค่นล้มได้ แม้ว่าอนาคตเจ้าสิบจะไม่ไปสถานที่พระราชทาน ทหารที่แข็งแกร่งเฝ้าประจำการอยู่ตลอด เฝ้าประจำการไม่กี่สิบปี เช่นนั้นประชาชนในหัวเมืองทั้งห้า ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องยอมจำนนต่อเป่ยถัง อีกทั้งการเสนอให้ราษฎรอพยพไปแต่งงานกับคนในท้องถิ่นของไท่ซ่างหวง สืบเชื้อสาย นี่ก็เป็นวิธีที่ดี ดังนั้น หากพูดกันตามตรง แต่งตั้งพระราชทานให้ใครก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เขาก็ออกพระราชโองการไปแล้ว ไท่ซ่างหวงพูดมากมายเพียงนี้ พูดถึงสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ยอมแต่งตั้งพระราชทานหัวเมืองให้เจ้าสิบ เป็นเขาที่ลำเอียงไปทางลูกๆไม่กี่คนนั้นของเจ้าห้า
ในใจของเขาก็รู้สึกว่าไม่คู่ควรแทนเจ้าสิบเล็กน้อย แม้จะรู้ว่าไม่ควรพูดเช่นนี้ แต่ก็พูดอย่างอดไม่ได้ว่า “เสด็จพ่อ เจ้าสิบก็เป็นหลานของท่านนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท!” โสวฝู่ฉู่เงยหน้า ใช้สายตาบอกใบ้แก่เขา
ในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ยินยอม ถูกการเรียกเสียงนั้นของโสวฝู่ฉู่ระงับลงไป แต่ไม่ได้พูดสักคำ ก็ไม่ยินยอมที่จะกล่าวคำขอโทษ
ไท่ซ่างหวงไม่เปล่งเสียง หยิบกล้องยาสูบขึ้นมาอีก ดึงยาเส้นจากด้านข้างยัดใส่ลงในหม้อ ครั้งนี้เสด็จทำการศึกด้วยพระองค์เอง ทางเหนือลมพายุรุนแรง แม้จะเป็นเวลาเดือนกว่าไม่ถึงสองเดือน แต่ก็พัดโชยจนใบหน้าและผิวหนังที่มือแห้งและดำคล้ำ เช็ดดาบด้วยพระองค์เองทุกวัน ด้านข้างเล็บนิ้วมือแตกงอออกมากมาย รอยแตกงอฉีกออกเป็นรอยๆ สองรอยที่ข้อต่อกระดูกปริออก บาดแผลหายดีแล้ว แต่กลับก็ยังทิ้งสะเก็ดแผลรอยหนึ่ง ไม่เคยได้ฉีกออก ตอนนี้กำลังใส่ยาเส้น สะเก็ดแผลที่ข้อต่อกระดูกนั้นก็เสียดสีกับด้ามยาสูบ ฉีกเป็นรอยเล็กน้อย เผยให้เห็นเนื้อสีแดงๆออกมา
ไท่ซ่างหวงเหลือบมองแวบหนึ่ง สองนิ้วมือที่คีบกล้องยาสูบอยู่ สะเก็ดแผลฉีกออกโดยตรง ตรงกลางของสะเก็ดแผลมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย เขาใช้นิ้วเช็ดออก ก้มหน้าลง รอยย่นที่หางตาเด่นชัดเป็นพิเศษ จอนผมสีขาวโพลนประกายเงิน แซมด้วยไม่กี่เส้นที่เป็นสีเหลืองแห้ง มุมปากโค้งลง บนคางมีรอยแผลเล็กๆบางๆ เขาเงยหน้าขึ้น รอยแผลเป็นเล็กๆเหล่านั้นถูกแสงสะท้อนเลือนหายไป
เขาจุดยาเส้น แล้วสูบขึ้นมา ซ่อนใบหน้าที่ผ่านประสบการณ์มามากมายนั้นไว้ด้านหลังควัน ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นมาเงียบๆ “อืม เจ้ากลับไปเถอะ!”
จิตใจของฮ่องเต้หมิงหยวนกระวนกระวายเล็กน้อย ยืนขึ้น ขณะที่ทำมือเคารพไหว้ลงไป ความคิดในจิตที่ยากจะสงบก็พวยพุ่งขึ้นมาอีก “ยังหวังว่าเสด็จพ่อจะสามารถจำไว้ตลอดเวลา ชื่อของเจ้าสิบหยู่เหวินเค่อ เป็นท่านตั้งให้ด้วยพระองค์เอง สำหรับเขาท่านก็เคยฝากฝังความหวังไว้สูง ข้าเอาตำแหน่งรัชทายาทให้เจ้าห้า เอาสิ่งที่ดีที่สุดให้เจ้าห้า ตอนนี้ท่านยังจะเอาหัวเมืองทั้งห้าแต่งตั้งพระราชทานให้ลูกของเขาอีก โปรดปรานมากมายเพียงนี้ เกรงเพียงแค่จะทำให้คนวิจารณ์ กลับเป็นการไม่ดีต่อรัชทายาท แต่ข้าอยากวางแผนเพื่อเจ้าสิบเล็กน้อย ก็ไม่ได้เกินไป ตามกฎเกณฑ์ อันที่จริงข้าสามารถเลื่อนตำแหน่งให้ฮู่เฟยได้ ตั้งนางเป็นกุ้ยเฟย แต่รู้ว่าท่านไม่ชอบนาง ข้าก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ ยอมทำให้นางน้อยใจเพื่อเอาใจท่าน ขอให้ท่านโปรดเห็นใจความลำบากใจนี้ของลูกสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
หม้อยาเส้นทุบลงไปบนโต๊ะชาอย่างรุนแรง แก้วชาถูกทุบจนลอยขึ้นมา น้ำเต็มแก้วกระเซ็นออกมา แก้วกลิ้งตกจากแผ่นหินใสแจ๋วแตกเป็นสองส่วน ไท่ซ่างหวงถลึงตาด้วยความโกรธ ลุกขึ้นอย่างฉับพลัน ชี้ไปที่เขาด้วยความเดือดดาลเป็นที่สุด “ถกเรื่องความลำเอียง เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด นอกจากมีลำเอียงต่อเจ้าใหญ่ เจ้าก็ไม่ได้สนใจลูกชายสักคน โดยเฉพาะเจ้าห้า เจ้าทำให้เขาต้องโทษมากมายเพียงใด? ข้าปฏิบัติต่อหลานชาย อย่างเท่าเทียมกันทุกคน เจ้าสามารถปฏิบัติต่อลูกชายทั้งหมดของเจ้าอย่างเท่าเทียมกันได้หรือไม่? เมื่อใต้หล้านี้ตกอยู่ในอันตราย เจ้าก็บอกว่าเจ้าห้ามีความสามารถ ให้เขาออกไปแบกรับอันตรายทั้งหมดแทนเจ้า จากความเป็นความตายหลายครั้งแลกกับคำชมเชยประโยคหนึ่งของเจ้า ในพิธีเฉลิมฉลองเจ้าชื่นชมยกย่องเขา คำพูดยังวนเวียนอยู่ในหู ตอนนี้เจ้ากลับลืมไปจนหมดสิ้น เดิมทีเจ้าก็ไม่ชอบเขา หากไม่ใช่เพราะข้ายืนกรานไม่อนุญาตให้เจ้าแต่งตั้งเจ้าใหญ่มาตลอด เจ้าก็แต่งตั้งเขาไปนานแล้ว เขามีนิสัยความสามารถอย่างไร ตอนนี้มองแวบเดียวก็กระจ่าง เปิดตามองโลก ลูกชายของเจ้าทำลายล้างศัตรู ระมัดระวังเตรียมออกศึกอยู่ตลอดไม่กล้านอนอย่างสงบ พ่อของเจ้าศึกษาค้นคว้าให้เจ้าอย่างหนัก วางแผนการเบื้องหลัง ไม่กล้าวางใจสักนาทีเดียว กลัวว่าการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างหนึ่งของเจ้า จะทำให้ราชวงศ์เป่ยถังตกอยู่ในจุดแห่งหายนะที่ฟื้นคืนไม่ได้อีก ตอนนี้ความโกลาหลภายในได้หยุดลง ชายแดนสงบสุข บ้านเมืองสงบสุข เจ้ารู้สึกว่าให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เจ้าห้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การเป็นบิดาที่ไม่สงสารลูกชาย ข้าที่เป็นท่านปู่สงสาร ปลดรัชทายาทก็ได้!”
ปลดรัชทายาทสามคำนี้ มีน้ำหนักมากมายเพียงใด? กระทบกับศีรษะของฮ่องเต้หมิงหยวนเข้า เขารู้สึกเพียงจิตใจสั่นระรัว
เขาคุกเข่าลง แต่กลับไม่ได้พูดสักคำ กลับเห็นเซียวเหยากงอุทานออกมาด้วยตระหนก “หก……”
มีเลือดสดพ่นใส่ศีรษะของฮ่องเต้หมิงหยวน บนใบหน้า เขารีบเงยหน้า เห็นร่างกายของไท่ซ่างหวงค่อยๆไถลร่วงลงมา ถูกมือหนึ่งของเซียวเหยากงขวางไว้ โสวฝู่ฉู่ตกใจจนลุกขึ้นวิ่งเข้ามา เท้าถูกโต๊ะเตี้ยทำให้สะดุดล้ม ศีรษะกระแทกเข้ากับมุมโต๊ะน้ำชาอย่างแรง จากนั้นเลือดสดก็ไหลซึมออกมาจากใต้โต๊ะน้ำชาทันที
เซียวเหยากงตกใจจนหน้าซีดเผือด ร้องเรียกออกมาดั่งใจสลายคำหนึ่ง “ฉู่เสี่ยวอู่!”
ร่างกายของฝู่ฉู่ ล้มลงอย่างอ่อนโรยข้างเท้าของฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนเย็นยะเยือกไปทั้งตัว ดึงสติกลับมาได้อุ้มเขาขึ้นมาทันที ตะโกนไปทางด้านนอกอย่างบ้าคลั่ง “เรียกหมอหลวง เรียกหมอหลวง!”