บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1321 เมื่อรู้เรื่องในอดีต
‘รอดูอาการ’ เพียงคำเดียว จิตใจทุกคนที่ได้ฟังก็หนักอึ้งทันที แต่ไรมาพระชายารัชทายาทก็ทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย นางกระทั่งไม่ได้เอ่ยคำพูดแง่บวกสักคำ ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว
ไท่ซ่างหวงรู้สึกว่าทรวงอกมีคาวเลือดทะลักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ผ่านมากับฉู่เสี่ยวอู่ในชีวิตนี้แวบออกมาจากหัวสมองแบบพร่าเบลอ ยังจำคำพูดนั้นที่เขาเอ่ยขึ้นในค่ำคืนนั้นได้ ชาตินี้จะอยู่กับเจ้าหกทำเพื่อเป่ยถังจนลมหายใจสุดท้าย
อายุน้อยๆ ก็มีความรู้โดดเด่น อย่างไรก็ใช้ชาตินี้และชีวิตนี้กับเป่ยถัง
คำพูดลางร้าย ความเจ็บปวดทุกข์ทนปรากฏในหัวใจ เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีกลั้นเลือดสดนี้ไว้ “ส่งฮ่องเต้ออกไป!”
เมื่อเอ่ยออก ความระทึกไม่ด้อยไปกว่า ‘รอดูอาการ’ คำนั้นของหยวนชิงหลิงเลย ทุกคนไม่กล้าเงยหน้ามองฮ่องเต้หมิงหยวน มีแต่มู่หรูกงกงที่เดินขึ้นหน้าเล็กน้อย ยื่นมือประคองฮ่องเต้หมิงหยวนที่อ่อนเปลี้ยทั้งตัวให้ลุกขึ้น แต่ฝีเท้าของเขากลับทรุดลงเล็กน้อย แทบยืนไม่ติด
“เสด็จพ่อ!” หยู่เหวินเห้ารีบรุดเข้าไปประคองร่วมกับมู่หรูกงกง
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองมือที่เขาแตะมา ในใจมีอารมณ์ซับซ้อนปนเป เจ็บปวด ลังเล ตื่นตระหนก และยังเจือโทสะที่ไม่อาจเมินได้เล็กน้อย
สุดท้ายเขาก็ผลักมือของหยู่เหวินเห้าออก เดินโซเซราวกับเอ็นกระตุกทั้งตัว
หยู่เหวินเห้าตะลึงงัน มองเซียวเหยากง เรื่องทั้งหมดเกรงว่าเขาจะรู้ดีที่สุด แต่เขาในเวลานี้ก็ราวกับสติแตก นั่งด้วยนัยน์ตาที่ว่างเปล่า
เซียวเหยากงเข้มแข็งมากว่าครึ่งชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าตอนนี้ทำอะไรได้ ได้แต่พึมพำเอ่ยมาประโยคหนึ่ง “ข้าว่า คนที่ตายก่อนนั่นแหละถึงไม่ต้องทนทุกข์!”
เป็นลางร้ายอีกแล้วหรือ? เขาไม่ต้องการนะ!
แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้? ตอนจบของพวกเขาสามเฒ่าน่าจะเป็นหลังจากช่วงท้ายของชีวิต ที่ควรได้ก็ได้มาแล้ว ที่ควรเสพสุขก็เสพสุขแล้ว จากนั้นก็นอนบนเตียงอย่างสงบ อำลากับทุกคนที่ใส่ใจ แล้วจากโลกนี้ไปท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของพวกเขา
ไม่ควรเป็นเช่นนี้เด็ดขาด
เขาชายตาขึ้น มองทางโสวฝู่ฉู่ ดวงตาไร้ความร้อนรุ่ม เอ่ยพึมพำ “ฉู่เสี่ยวอู่ ประโยคสุดท้ายที่ท่านพูดคืออะไรนะ? ข้าจำไม่ได้แล้ว”
การพลังทลายของผู้อ่อนแอมักไม่ทำให้ผู้อื่นหวั่นไหว เพราะราวกับเป็นเรื่องปกติ
มีเพียงผู้ที่แน่วแน่อดกลั้นเท่านั้น ที่พอพังทลายแล้ว ก็ทำให้คนไม่อาจมอง มองแล้วเป็นต้องหลั่งน้ำตา
หยวนชิงหลิงรีบเบือนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองใบหน้าของเซียวเหยากง อย่าว่าแต่เซียวเหยากง แม้แต่นางก็ไม่รู้ว่าเวลามีอะไรที่พอจะทำได้บ้าง
อาการบาดเจ็บของโสวฝู่โดยรวมก็แน่ชัดได้ว่ากะโหลกร้าว รู้ได้จากการที่มีเลือดออกจมูกและหู แต่สภาพการณ์เลือดออกหนักแค่ไหน ความดันภายในจะสูงเท่าไร ดัชนีภาวะช็อกจะลดได้หรือไม่ ทั้งหมดนี้นางไม่อาจตัดสินได้อย่างแน่ชัด
กระทั่งอารมณ์ของทุกคนสงบลงแล้ว หยวนชิงหลิงจึงเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านโสวฝู่เคยได้รับบาดเจ็บตอนอยู่ในสนามรบหรือไม่? ท้ายทอยเขา เคยถูกกระแทกแรงหรือไม่?”
“เคย!” อารมณ์ของเซียวเหยากงค่อยๆ กลับคืนมา ตอบคำถามของหยวนชิงหลิง “เคยถูกโล่ของศัตรูทุบ แต่ตอนนั้นไม่สาหัส ใช้ยาขจัดเลือดคลั่งแล้ว ปวดหัวบ้าง ไม่หนักหนาอะไร”
สีหน้าหยวนชิงหลิงเคร่งเครียดขึ้นอีก
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นดังนั้นจึงถาม “หรือว่าอาการเดิมเมื่อก่อนหน้านั้นทำให้แผลกระแทกหนักขึ้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงเอ่ยเสียงหนัก “ก่อนหน้านี้คงมีเลือดออกในสมองเล็กน้อย หรือไม่ก็สมองถูกกระทบกระเทือน แต่สภาพไม่ถือว่าหนักมาก กินยาปรับก็ซึมซับเลือดได้แล้ว แต่แผลกระแทกตอนนี้ทำให้อาการเดิมหนักขึ้น ส่งผลให้เลือดออกมากขึ้นเยอะ ตอนนี้ความดันภายในกะโหลก…หรือก็คือสภาพการณ์เลือดออกจะทำให้เกิดอาการบางอย่างด้วย นี่ค่อนข้างหนัก”
แม่นมสี่เงยหน้า ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์และร้อนรน “เขาจะตาย ใช่ไหมเพคะ?”
คำถามนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้ตอบ เพียงยื่นมือไปจับนาง ครั้นแล้วถึงรู้สึกว่ามือนางเย็นเฉียบจนเหมือนเหล็กชิ้นหนึ่ง
ภายในตำหนักราวกับอัดแน่น บรรยากาศอึดอัดจนทำให้แทบหายใจไม่ออก
เป็นแม่นมสี่ที่กลับสงบลงได้ นางดึงมือกลับ จ้องใบหน้าโสวฝู่ที่ไร้ชีวิตชีวา ตัดสินใจไปพลัน แม้นมิอาจเกิดด้วยกันได้ แต่ก็ขอให้ตายด้วยกัน เขาจะได้ไม่อ้างว้างอยู่คนเดียว
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าลมหายใจติดขัดมาก ความสับสนปิดล้อมหัวใจเขาแน่น เขาต้องรู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรในตำหนักฉินคุน แต่ตรงนี้ไม่เหมาะถาม ดังนั้นจึงกระตุกคอเสื้อ ก้าวยาวออกไป แล้วเรียกให้คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างนอกไปถามที่ตำหนักด้านข้าง
คนในวังรู้ไม่มาก บอกว่าฉางกงกงฟังอยู่ข้างใน หรือบางทีถามฉางกงกงจะเหมาะสมกว่า
ขณะที่ถกเถียงกัน เขากำลังจัดใบชาที่ไท่ซ่างหวงได้มาใหม่อยู่ข้างใน กระทั่งเกิดเรื่องก็ถูกคนพากลับห้องพักของตัวเอง เกรงว่าเขาจะเห็นไท่ซ่างหวงกระอักเลือดแล้วจะเสียใจ
ฉางกงกงไม่รู้ว่าอาการไท่ซ่างหวงหนักขนาดนี้ แค่คิดว่าโกรธจัด จากนั้นเขาก็ถูกพาออกมา แม้กังวลแต่เขาก็ไม่สะดวกอยู่ต่อ ตนจึงได้แต่เดินไปตำหนักด้านหน้าด้วยความลำบาก แล้วรอฟังข่าว
เมื่อองค์รัชทายาทถาม เขาก็รีบถามขึ้น “ไท่ซ่างหวงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้านั่งลง ปลอบเขา “ไม่เป็นไร กงกง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? เสด็จปู่ทรงมีปากเสียงกับเสด็จพ่อหรือ? ด้วยเรื่องอันใด?”
ฉางกงกงถอนหายใจ “นั่นเป็นเพราะหัวเมืองทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ ประสงค์ของฝ่าบาท คืออยากประทานให้องค์ชายสิบ แล้วให้เจ้าพระยาฮู่ดูแลชั่วคราว แต่ประสงค์ของไท่ซ่างหวง ทรงอยากประทานให้พระนัดดา”
“ทรงทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องนี้?” หยู่เหวินเห้าตะลึง เขามิใช่ต้องเอาหัวเมืองทั้งห้าให้ได้
ฉางกงกงเอ่ย “นี่เป็นเพียงชนวนพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงหลายปีมานี้ไท่ซ่างหวงไม่พอพระทัยฝ่าบาทเล็กน้อย แต่ในเมื่อสละราชบัลลังก์แล้ว ขอเพียงปล่อยผ่านไปได้ก็มิทรงยุ่ง แคว้นหนึ่งจะมีประมุขสองคนไม่ได้ มิเช่นนั้นขุนนางก็จะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดต้นเหตุแห่งหายนะ เพียงแต่ครั้งนี้ ไท่ซ่างหวงทรงคิดว่าฝ่าบาทขาดการตรึกตรอง ใช้อารมณ์ทำงาน ลำเอียงเกินไป จึงกลั้นโทสะไม่อยู่ตำหนิฝ่าบาทไปยกหนึ่ง สุดท้ายก็ทรงกริ้วหนัก ข้าน้อยได้ยินว่าไท่ซ่างหวงทรงกริ้วมาก ทรงกริ้วจนเป็นอย่างไรบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ? ทรงแน่นพระอุระอีกหรือเปล่า?”
หยู่เหวินเห้ามองเส้นผมขาวโพลนของฉางกงกงและแววตาที่กังวล ไม่กล้าพูดความจริง เพียงเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร ตอนนี้สงบลงแล้ว เสวยพระสุธารสชาอยู่ในตำหนัก แต่ทุกคนยังอยู่ ท่านก็อย่าไปเลย พักผ่อนเถิด”
ฉางกงกงรับคำ “พระองค์เข้าวัง คาดว่าพระชายารัชทายาทก็ต้องเข้าวังด้วย มีพระชายาอยู่ ไท่ซ่างหวงไม่เป็นอะไรแน่ ข้าน้อยวางใจแล้ว”
“อื่อ ไม่เป็นไร!” หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืน “พักผ่อนเถิด!”
เมื่อออกจากตำหนักด้านข้าง หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกหนักอกเล็กน้อย เสด็จพ่อทรงลำเอียงหรือ? เสด็จพ่อทรงลำเอียง เป็นเช่นนั้นมาตลอด เมื่อก่อนทรงเข้าข้างพี่ใหญ่ ตอนนี้ก็เป็นน้องสิบ
แต่เรื่องพวกนี้เขาไม่ค่อยสนใจ แต่บางครั้งพอนึกถึงก็ปวดใจอยู่บ้าง บัดนี้เขาก็เป็นพ่อแล้ว พ้นช่วงเวลาที่ต้องการความรักจากบิดา แต่ความดีที่ระยะนี้เสด็จพ่อมีต่อเขา ทุกครั้งก็ยังทำให้เขาปลื้มปริ่มมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่คัดค้านที่เสด็จพ่อทรงโปรดน้องสิบ เพราะอายุน้องสิบไล่เลี่ยกับเด็กๆ ต่างเป็นช่วงที่ควรถูกเสด็จพ่อโปรดปราน