บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1323 การสนทนาระหว่างพ่อลูก
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขา หากเป็นเมื่อก่อนเขาพูดเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ บางทีเขาอาจตำหนิทันที แต่บัดนี้เขากลับไม่ทำเช่นนั้น เพียงแต่เค้นสมองคิดตามเรื่องที่เขาเอ่ย ในสมองเคยมีความทรงจำนี้หรือไม่
ไม่
“เจ้าพูดต่อ ตอนนั้นข้าไม่สนใจเจ้าหรือ? เป็นเพราะข้ายุ่งราชกิจอยู่หรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ย
ดวงตาหยู่เหวินเห้าเจือความขมขื่นเล็กน้อย เอ่ย “หากตอนนั้นเสด็จพ่อแค่ไม่สนพระทัยหม่อมฉัน หม่อมฉันคงไม่จดจำเรื่องนี้แล้ว พอหม่อมฉันบอกเสด็จพ่อว่าปวดท้อง ทรงเปลี่ยนสีพระพักตร์ทันที ตรัสว่าหม่อมฉันเสแสร้ง ต้องการความรักจากพระองค์ รับสั่งให้คนถอดกางเกงหม่อมฉัน มัดติดกับต้นไม้ที่เอนอยู่นอกตำหนักบูรพาโบยทันที นั่นเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันถูกโบย หกขวบพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึง “มีเรื่องเช่นนี้?”
หยู่เหวินเห้ามองเขา “เรื่องนี้เสด็จย่าตรัสว่าโทษท่านไม่ได้ เพราะวันก่อนหน้านั้นเสด็จพี่ใหญ่ก็ใช้ลูกไม้นี้เช่นกัน ไม่ไปห้องทรงอักษรพูดปดกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้เขาไม่ต้องทรงอักษร แล้วยังประทับอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกชั่วยามเศษ สุดท้ายทรงจับได้ว่าเขาเสแสร้ง คิดไม่ถึงว่าวันถัดมาหม่อมฉันจะบอกว่าปวดท้องอีก จึงทรงคิดว่าหม่อมฉันแกล้งทำ เกรงว่าครั้งนี้แล้ว ต่อไปเหล่าพระนัดดาจะใช้ลูกไม้นี้ขอความรักจากพระองค์ ฉะนั้นจึงโบย นี่เป็นคำกล่าวเดิมของเสด็จย่า ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนยังมีความทรงจำอยู่เล็กน้อย ตอนนั้นหยู่เหวินจุนไม่รักการเรียนที่สุด ชอบฝึกยุทธ์อย่างเดียว ชอบหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้างไม่ไปห้องทรงอักษรทุกวัน แต่เจ้านั่นก็ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์อะไรจริงๆ พอเล่นสนุกก็ลืมตัวเผยพิรุธออกมา มักถูกเขาจับได้เสมอ
สุดท้ายพอเจ้าห้าก็เลียนแบบแสร้งทำเป็นปวดท้องด้วย ตอนนั้นเขาคิดอย่างไรก็ลืมไปเสียแล้ว รู้เพียงเรื่องแบบนี้ไม่อาจปล่อยไว้ได้จึงโบยเขา ทำให้โอรสคนอื่นๆ กลัว จะได้หยุดการกระทำเช่นนี้
“เพียงแต่…” เขาขมวดคิ้วมองหยู่เหวินเห้า เนื่องจากความทรงจำค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมา “ตอนนั้นที่โบยเจ้า เจ้าก็ยอมรับผิดแล้วนี่ เจ้าบอกว่าเจ้าแกล้งปวดท้อง”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ “หากหม่อมฉันไม่ยอมรับผิด ก็ยังต้องถูกโบยอีก หม่อมฉันไม่เขลาขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ โบยก็โบยแล้ว ความผิด ก็ยอมรับไปสิ ยอมรับผิดแล้วก็คงไม่ถึงกับถูกโบยอีก!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนปวดใจพลัน มิน่าล่ะ ถึงรู้สึกว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร รอยยิ้มบนใบหน้าเขาจึงแวบความร้ายเล็กน้อย สมัยเด็กก็เช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่าเป็นเด็กเป็นเล็กความคิดก็เริ่มหยั่งลึกแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนเผยความปวดใจแวบหนึ่ง หยู่เหวินเห้าก็เห็นเช่นกัน เขาเอ่ย “เสด็จพ่อ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่เก็บมาใส่ใจ เชื่อว่าเสด็จพี่รองกับเสด็จพี่สามก็เช่นกัน”
“พวกเขา?” ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึงอีก “พวกเขาก็ตำหนิกล่าวโทษข้าหรือ? ข้า…”
หยู่เหวินเห้ารู้ตัวว่าพลั้งปาก หัวเราะ “ถึงอย่างไรก็ผ่านไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนก็มีครอบครัวสร้างฐานะแล้ว ผู้ใดจะใส่ใจอีกพ่ะย่ะค่ะ? อีกทั้งตอนนั้นเสด็จพ่อก็ทรงงานราชกิจให้ไท่ซ่างหวง เหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน ละเลยพวกเราก็มีได้”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพลันหมองใจ ฝืนหัวเราะทีหนึ่ง “ข้าเป็นฮ่องเต้ที่ดีไม่ได้ เป็นลูกที่ดีไม่ได้ และเป็นพ่อที่ดีไม่ได้เช่นกัน ชีวิตนี้ข้าช่างล้มเหลวจริงๆ!”
เรื่องนี้ที่หยู่เหวินเห้ากล่าวทำให้กล่องความทรงจำของฮ่องเต้หมิงหยวนถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เขานึกถึงเรื่องราวมากมาย เขาในตอนนั้น แม้จะยุ่ง แต่หากจะเจียดเวลาอยู่เป็นเพื่อนลูกก็ยังทำได้ แต่ตอนนั้นเขาร้อนใจอยากให้เสด็จพ่อยอมรับ จิตใจมุ่งแต่เรื่องงาน รัชทายาททุกคนก็คงทำผิดเช่นนี้ คิดว่าบ่าของตนหาบแผ่นดินอยู่ มีเรื่องใหญ่ต้องทำ ไหนเลยจะสนใจครอบครัว? ไหนเลยจะสนใจลูก?
“พี่รองเจ้าก็เคยโกรธแค้นข้าหรือ?” อยู่นานฮ่องเต้หมิงหยวนจึงถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ “เสด็จพี่รองต้องมีอยู่บ้างแน่ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ที่เขาอ้วนเช่นนี้ก็เป็นเพราะเสด็จพ่อเช่นกัน”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังแล้วก็ไม่พอใจทันที “เหลวไหล จะเป็นเพราะข้าได้อย่างไร?”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะเอ่ย “จะไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ปีนั้นกินโจ๊กล่าปา เสด็จพี่รองชอบกิน กินไปสองถ้วย เสด็จพ่อก็ตรัสมาประโยคหนึ่ง ตรัสว่าท่าทางที่เสด็จพี่รองตั้งใจกินน่ามองนัก แถมยังอ้วนตุ๊ต๊ะน่ารักมาก ตั้งแต่นั้นมาเสด็จพี่รองก็ไม่เคยผอม เช่นนั้นก็เพราะอยากได้รับคำว่า ‘น่ารัก’ ของเสด็จพ่ออีก”
สมองฮ่องเต้หมิงหยวนปรากฏภาพเจ้ารองในตอนเด็ก น่ามองจริงๆ ตัวกลมๆ แดงๆ เห็นแล้วก็อยากหยิกสักที
หัวใจเขาปวดขึ้นเล็กน้อย ความน่ารักในตอนนั้น กลับเป็นเหมือนหมูในตอนนี้
“เมื่อก่อนเสด็จพี่รองไม่สนใจผู้ใดทั้งนั้น ภายหลังชอบเจ้าหยวนมาก ชอบมาเล่นกับเจ้าหยวนเป็นประจำ นั่นเพราะเจ้าหยวนได้รับพระกรุณาจากพระองค์ อนุญาตให้นางกินอาหารเป็นเพื่อนท่านมื้อหนึ่ง และนี่ก็คือความปรารถนาใหญ่หลวงของเขา เขาอยากกินอาหารกับพระองค์มาตลอด เขาคิดว่าเสด็จพ่อชื่นชมผู้มีความสามารถถึงกรุณาให้ร่วมกินอาหารด้วย เสด็จพี่รองกลัวตายขนาดนั้น แต่ตอนที่เจ้าหยวนเกิดเรื่อง เขากลับยอมเอาตัวเองเข้ารับมีด จะช่วยเจ้าหยวนให้ได้ นี่ก็ไม่แน่ว่าอาจมีสาเหตุนี้อยู่ด้วย”
“โง่ เจ้าเด็กโง่!” ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ยพึมพำ ดวงตาเจ็บปวดมาก
หยู่เหวินเห้าคิดว่าอย่างไรก็พูดแล้ว ดังนั้นจึงพูดต่อ “ตอนนี้สิ่งที่น้องสิบได้มาอย่างง่ายดาย ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราพี่น้องใคร่ได้แต่ก็ไม่ได้มาในตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้พวกเราก็โตแล้ว ทว่าน้องแปดยังต้องการความรักและห่วงใยจากเสด็จพ่อ ยังมีน้องเก้าและน้องสาวเหล่านั้น…แน่นอน อย่างไรราชวงศ์ก็ไม่เหมือนชาวบ้านสามัญ เวลานี้เสด็จพ่อทรงยุ่งราชกิจ อาจไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา แต่ทรงถามถึงบ้าง ตรัสสักสองสามคำก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เสด็จพ่อ ทรงเคยเป็นโอรสมาก่อน ตอนนั้นไท่ซ่างหวงก็ไม่สนใจท่านเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนส่ายหน้า สายตาล่องลอย “เสด็จปู่เจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ทรงยุ่ง ยุ่งมากจริงๆ ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ขยันขันแข็งของราชวงศ์เป่ยถังเช่นกัน ตอนนี้ข้าประชุมเช้าห้าวัน ทรงประชุมเช้าสามวัน เจี้ยวฉี่ที่ห้องทรงอักษรทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ น้อยนักที่มีเวลาว่าง แต่ทุกวันต้องตรัสถามเรื่องการเรียน หากเรียนไม่ดีก็จะถูกลงโทษ ที่ทรงลงโทษมากที่สุดก็คือวิ่งในลาน จนตอนหลังแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว อ๋องทั้งหลายก็แยกย้ายไปปกครองตามที่ต่างๆ เหลือแต่ข้ากับเสด็จอาลุ่ยอยู่ในเมืองหลวงแต่ทุกครั้งพอถึงเทศกาลก็มักได้พบปะกัน ปกติเสด็จพ่อจะเคร่งขรึม แต่เวลาสังสรรค์กลับยิ้มแย้ม”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดไปก็พลางเศร้าขึ้นมา เพราะเขากับลูกของเขาเป็นราชาขุนนางก่อนจะเป็นพ่อลูก แต่ที่เสด็จพ่อทรงทำกับพวกเขา คือบางครั้งเป็นราชาขุนนาง บางครั้งเป็นพ่อลูก ทรงแบ่งแยกอย่างชัดเจน
“เจ้ากลับไปเฝ้าเสด็จปู่เจ้า ทางนั้นมีอะไรก็มารายงานข้าทันที!” ฮ่องเต้หมิงหยวนเก็บอารมณ์ เอ่ย
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าเงียบๆ “เช่นนั้นเสด็จพ่อก็อย่าทรงคิดมากนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องห้าหัวเมือง ทรงโปรดประทานให้ผู้ใดก็ประทานเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเคยมีโองการให้เจ้าสิบ แต่ไท่ซ่างหวงทรงอยากประทานให้เด็กๆ กับเจ้าแฝดสอง เช่นนั้น…ไว้ค่อยหารือกันเถอะ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ย
เวลานี้เขากลับไม่บอกว่าต้องให้เจ้าสิบให้ได้หรือว่าให้พวกเด็กๆ เพราะหากเอ่ยเรื่องนี้กับเจ้าห้า เขาต้องไม่รู้จะตอบอย่างไรแน่ จะรับก็ไม่ใช่ ไม่รับก็ไม่ใช่ เพื่อไม่ให้เขาลำบากใจจึงค่อยหารือใหม่อีกที