บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1332 ความสิ้นหวังของฮู่เฟย
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองใบหน้าบอบช้ำและความสะเทือนใจของนาง หวงกุ้ยเฟยในความทรงจำเขา เคยโอหังตัวเป็นหนามเช่นนี้ที่ไหน? เขาชะงักงันไม่รู้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรชั่วขณะ เรื่องที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเป็นผู้ที่ญาติมิตรหนีหาย
ครู่หนึ่งแล้วเขาจึงส่ายหน้า “เจ้าไม่ควรคาดเดาข้าเช่นนี้ ข้ามิใช่คนเช่นนั้น เจ้าน่าจะเข้าใจข้าดีที่สุด เจ้าน่าจะรู้จักข้าดีที่สุด”
“เช่นนั้นฝ่าบาทก็ต้องเข้าใจหม่อมฉันดีที่สุดเช่นกัน” หวงกุ้ยเฟยเชิดคางเล็กน้อย ใบหน้าเศร้าหมองและสิ้นหวัง “ปองร้ายทายาทมังกรคำนี้ ทำให้หัวใจหม่อมฉันดั่งมีดกรีด เมื่อก่อนฝ่าบาทเคยตรัสถามหม่อมฉันว่าใส่ใจที่ทรงโปรดปรานฮู่เฟยคนเดียวหรือไม่ ฝ่าบาทยังทรงอยากมาตรัสถามประโยคนี้กับหม่อมฉัน หม่อมฉันดีใจมากเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทมิสู้ตรัสถามนางสนมวังหลังคนอื่นๆ แล้วยังหญิงงามที่เพิ่งเข้าวังอีก จวบจนวันนี้ยังคงอ้างว้าง แม้แต่พระพักตร์ก็ยังไม่เคยเห็นสักครา สภาพเช่นนี้ หม่อมฉันมิกล้าเสี่ยงจริงๆ เพคะ ให้พระชายารัชทายาทมารักษาครรภ์ของฮู่เฟย แม้นการแพทย์ของพระชายารัชทายาทจะสูงส่ง แต่ขนาดหมอหลวงยังไม่มีความมั่นใจสักนิด เช่นนั้นพระชายารัชทายาทมีศาสตร์หวนชีวิตหรือ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ย “ถึงเป็นเช่นนี้ แต่ฮู่เฟยก็เชื่อเจ้าขนาดนี้ เจ้าน่าจะคิดเพื่อนางบ้าง แต่เจ้ากลับปล่อยให้เด็กในท้องนางมีอันเป็นไปก็ไม่ยอมให้หมอหลวงขอโองการเรียกตัวพระชายารัชทายาท เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก”
หวงกุ้ยเฟยย่อตัวคำนับ ความแน่วแน่และความแข็งกระด้างในดวงตาค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยง “ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง หม่อมฉันของอภัยเพคะ หม่อมฉันโต้เถียงฝ่าบาท ล่วงเกินฝ่าบาท มุทะลุสิ้นความดีงาม ไม่อาจเป็นตัวอย่างของวังหลัง และไม่เหมาะดูแลวังหลังด้วย หม่อมฉันจะย้ายไปอยู่ตำหนักฉางเหมิน และจะไม่ออกมาอีก ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องอภัยโทษเพคะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเดือดดาล “สายใยยี่สิบกว่าปี เจ้าต้องบีบคั้นข้าเช่นนี้ให้ได้ใช่ไหม?”
หวงกุ้ยเฟยเงยหน้ามองเขา รอยยิ้มเย็นชาเล็กน้อยค่อยๆ คลี่ออกที่ริมฝีปาก “สายใยยี่สิบกว่าปี ทั้งยังตบหม่อมฉันเพราะคำพูดประโยคเดียว พระชายารัชทายาทกับราชวงศ์ มิได้มีสายใยยี่สิบกว่าปี หม่อมฉันแน่ชัดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดเพคะ”
นางย่อคำนับ สุดท้ายปิ่นปักผมก็หลุดออก เส้นผมยาวทิ้งตัวลงราวกับน้ำตก ใบหน้าที่ถูกบดบังครึ่งหนึ่งและน้ำตาที่เป็นประกายอยู่ในกระบอกตา
หมุนตัว พยายามทำให้ฝีเท้าตัวเองดูมั่นคงเหมือนปกติ เขาถามว่าสนใจที่เขาโปรดปรานฮู่เฟยคนเดียวหรือไม่? นางสนใจแล้วเขาจะไม่โปรดปรานหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ คำตอบที่เขาต้องการก็คือไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ นั่นคือคำตอบที่เขาต้องการ
วังหลังมีนางสนมมากมายเพียงนี้เขาไม่ถาม แต่กลับถามนางเพียงคนเดียว นั่นเพราะเขารู้ว่านางต้องให้คำตอบที่เขาต้องการแน่ ด้วยเช่นนี้จะได้ไม่รู้สึกผิด!
“นี่ข้าทำอะไรผิดกันแน่?” ฮ่องเต้หมิงหยวนมองแผ่นหลังนางที่จากไปไกล จิตใจเกิดโทสะและความฉงน อดถามอย่างเย็นชาเป็นไม่ได้
หวงกุ้ยเฟยหยุดฝีเท้า บางคำพูด หากไม่พูดก็อาจไม่มีโอกาสได้พูดอีก นางเอ่ย “ฝ่าบาททรงผิดอะไร? มิมีเพคะ มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว ปกป้องคนนั้นที่ตนรัก นั่นเป็นสัจธรรม แต่ฝ่าบาทเพคะ บางคนก็ถูกลิขิตให้ไม่มีสิทธิ์รักคนคนเดียวโดยไม่สนใจสิ่งใด เพราะผู้หญิงเหล่านี้ในวังหลังก็มีชีวิตเช่นกัน มีรัก โลภ โกรธ หลง พวกนางก็มีทั้งชีวิตที่ต้องผ่าน ทว่าแต่ละวันของพวกนาง ทรงเคยคิดไหมเพคะ? ในวังลึกนี้ เวลาเชื่องช้าจนแทบจะหยุดนิ่ง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเม้มริมฝีปากแน่น จ้องหวงกุ้ยเฟยหันตัวจากไป
เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็นฮู่เฟยยืนอยู่ปากประตูตำหนัก สองมือยันอยู่ข้างประตู เส้นผมยาวถูกสายลมพัดจนยุ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา มีความโกรธและมีความผิดหวัง แต่มีความเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากกว่า
“ทรงตบนางหรือเพคะ?” ริมฝีปากฮู่เฟยสั่นระริก
“เจ้าออกมาทำไม? รีบกลับไปเร็ว!” นัยน์ตาเขาเขม็ง สาวเท้าเร็วยื่นมือมาจะพยุงนาง
ฮู่เฟยผลักเขา น้ำตากลิ้งลงจากใบหน้าเย็นเฉียบ “ทรงตบนาง!”
นัยน์ตาเขาเข้มกว่าเดิม “นางถึงกับไม่ยอมให้หมอหลวงเรียกพระชายารัชทายาทมา เจ้าน่าจะดูให้ชัดก่อน”
“หม่อมฉันก็ไม่ยอมให้หมอหลวงเชิญพระชายารัชทายาทมาเหมือนกันเพคะ!” ฮู่เฟยมองเขา ตัวสั่นเทิ้ม “ตั้งแต่เดือนก่อนหม่อมฉันก็ไม่ค่อยดีแล้ว แต่หม่อมฉันก็เลือกไม่บอกพระชายารัชทายาท แล้วไม่เชิญนางเข้าวังมาตรวจรักษาให้หม่อมฉันด้วย กระทั่งว่าหม่อมฉันไม่กล้าทูลบอกพระองค์ ทรงทราบไหมเพคะว่าเพราะเหตุใด?”
เขาชะงักงันมองนาง “เพราะเหตุใด?”
ฮู่เฟยอดกลั้นอาการปวดท้อง สองขาสั่นพั่บแบบห้ามไม่อยู่ ดวงตาคลุ้มคลั่งไม่สนใจทุกสิ่ง “เพราะจะทรงทิ้งราชกิจ เอาแต่ประทับเฝ้าข้างกายหม่อมฉัน จะทรงค้นหายาชั้นเลิศทั้งวัง แล้วใช้กับหม่อมฉัน ทรงจะให้คนในสำนักหมอหลวงไม่ได้หลับทั้งคืน เพื่อขบคิดสูตรยา หากสูตรยาไม่ถูกก็จะทรงลงพระอาญาทันที เพื่อเอาใจหม่อมฉัน จะประทานเครื่องประดับอัญมณีเป็นกองที่หม่อมฉันไม่ต้องการ ทรงจะคิดหาวิธีชดเชยให้หม่อมฉัน อย่างเช่นให้ห้าหัวเมืองกับเจ้าสิบ ทรงทำเพื่อให้หม่อมฉันวางใจ ให้เห็นชัดว่าหม่อมฉันอยู่ในตำแหน่งพิเศษในพระทัยพระองค์ ทรงจะเอาใจเจ้าสิบหนัก ให้เขากลายเป็นคนที่ทุกคนเกลียดชัง หม่อมฉันไม่ต้องการเช่นนี้เพคะ หม่อมฉันแค่อยากอยู่ที่นี่อย่างสงบ แล้วรอช่วงที่พระองค์มีเวลาเสด็จมาหาหม่อมฉัน พูดคุยเป็นเพื่อนหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ต้องการให้พระองค์ทำให้คนทั้งวังหลวงต้องตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ทรงทราบไหมเพคะ?”
“เจ้า…” ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึงงัน มองใบหน้าสะเทือนใจของนาง จิตใจมีความตกใจและเจ็บปวด เรื่องเหล่านี้ที่เขาทำเพื่อนาง นางกลับไม่รับน้ำใจ?
นางใจสลายเล็กน้อย “ตั้งแต่อายุแปดขวบที่หม่อมฉันได้เห็นพระองค์เป็นครั้งแรก หม่อมฉันก็เก็บไว้ในใจแล้ว ปีเหล่านั้นหม่อมฉันอยู่ในสถานที่ที่ห่างจากพระองค์มาก รับฟังเรื่องราวของพระองค์ ได้ฟังประชาชนสรรเสริญพระองค์ หม่อมฉันชื่นชม เลื่อมใส ต้องแต่งกับพระองค์เท่านั้น แต่ผู้ที่หม่อมฉันรัก องค์ราชันที่ปราชเปรื่องไร้เรื่องส่วนตัว หวงกุ้ยเฟยอยู่ข้างกายพระองค์มาหลายปีขนาดนี้ นางไม่เคยทำผิด นางเฝ้าพระองค์เช่นนี้มาตลอด แต่พระองค์กลับตบนาง นางกำลังตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์อยู่นะเพคะ”
นางร้องไห้ขึ้นมา โซซัดโซเซเดินเข้าตำหนัก เสียงรวดร้าวและทุกข์หนัก “นี่ไม่ใช่อย่างที่หม่อมฉันต้องการ หม่อมฉันไม่อยากเข้าแทรกคนอื่น หม่อมฉันแค่อยากอยู่ในวังเฝ้าพระองค์ นี่ถึงเป็นความตั้งใจเดิมของหม่อมฉัน…”
นางไม่มีจิตใจรักบ้านเมือง และไม่ได้มีจิตใจเมตตาและรักอันยิ่งใหญ่ แต่นางไม่อยากทำร้ายผู้อื่น
วินาทีนี้นางคิดว่าบางทีนางอาจทำผิดไป นางยอมอยู่ชายแดน รักษาความเคารพชื่นชมที่นางมีต่อเขาในใจ อย่างน้อยก็ไม่ต้องแบกความรู้สึกผิดเช่นนี้
นางไม่อาจตำหนิฝ่าบาท เพราะนี่เป็นผลจากการเอาแต่ใจของนาง
มือของฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆ ทิ้งตัวลง ดวงตาให้เห็นความท้อแท้ สำหรับเขาคำพูดของฮู่เฟยเป็นความสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่ว่าตำหนักฉินคุนในวันนั้น หรือเป็นตำหนักฉ่ายหมิงในวันนี้ เขาล้วนรู้สึกว่าถูกประตูบานใหญ่ปิดอยู่
ส่วนเขา อย่างไรก็ไม่อาจตรึกตรองเข้าใจได้ เขาผิดเลยเถิดมากหรือ?
ทางตำหนักฉินคุนให้ย่าหยวนมา ไท่ซ่างหวงยืนกรานให้หยวนชิงหลิงเฝ้าอยู่ข้างตัวโสวฝู่ฉู่ ไม่ยอมให้นางมา แล้วเชิญย่าหยวนให้ไปตรวจฮู่เฟยแทน
ครั้นย่าหยวนเข้าไปตรวจอาการฮู่เฟยแล้วก็ส่ายหน้าเบา ดวงตาฮ่องเต้หมิงหยวนเย็นเฉียบ
ย่าหยวนลุกขึ้นยืน ย่อคำนับให้ฮ่องเต้หมิงหยวน “ฝ่าบาท ข้าน้อยมีคำพูดเล็กน้อยอยากกล่าวกับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวเพคะ เชิญฝ่าบาทเสด็จตามข้าน้อยไปตำหนักข้าง บางทีข้าน้อยอาจขจัดข้อข้องใจของพระองค์ได้นะเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองฮูหยินใหญ่ผู้ชาญฉลาดที่อยู่ตรงหน้า รู้ว่านางทุ่มเทกับการแพทย์ของเป่ยถัง เขาย่อมเคารพอยู่แล้ว อีกทั้งจิตใจก็วุ่นวายจริง ไม่อาจสงบ ดังนั้นจึงตามย่าหยวนไปตำหนักข้าง
เมื่อนั่งลงแล้วย่าหยวนก็เปิดประเด็นโดยตรง เอ่ย “ข้าน้อยคิดว่าฝ่าบาทมีความผิด แต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดร้ายแรง สมัยก่อนทรงเข้มงวดรุนแรงกับองค์รัชทายาท กอปรกับวิธีการที่ลำเอียง แต่ไม่มีใครเอาความกับฝ่าบาทในเรื่องตอนนั้นแล้ว แต่ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะ ว่าเหตุใดครั้งนี้จึงเป็นเอาความ”