บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1334 เตรียมกระดาน
ไท่ซ่างหวงมองเขา ดวงตามีอารมณ์ที่ยากจะเอื้อนเอ่ย ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ใช่ว่าไม่มีตัวของตัวเอง แต่ตัวเจ้าต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งกับแผ่นดิน นอกเสียจากมีความสามารถสูง มิเช่นนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็มิอาจทำตามอำเภอใจ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว “หม่อมฉันทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยอีก “เป็นฮ่องเต้ เมื่อใดที่เอาแต่ใจก็ต้องมีผลลัพธ์เสมอ เรื่องยุ่งครั้งนี้ ผลพวงไร้ที่สิ้นสุด เจ้าก็รับไปเถอะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนชะงัก “เสด็จพ่อ ทรงยังไม่ยกโทษให้หม่อมฉันอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ”
ไท่ซ่างหวงลุกขึ้นยืนช้าๆ มองเขา “ที่เจ้าสำนึกผิด เพราะข้าเป็นผู้ชี้นำ แต่…เจ้าย่อมรู้ความผิดตัวเองในที่สุด มิต้องรอนานหรอก”
เขามองด้านนอก กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักและ ราวกับโล่งอก “ไม่นาน!”
ไท่ซ่างหวงกลับตำหนักหลัก ปล่อยให้ฮ่องเต้หมิงหยวนอยู่ที่นั่นผู้เดียว
จิตใจเขาหมองหม่น เสด็จพ่อยังไม่อนุญาตให้เขาไปตำหนักหลัก แสดงว่ายังไม่อภัยโทษให้เขา
ครั้นคิดถึงอีกทางยังมีเรื่องให้ขุ่นเคือง จิตใจเขาก็มีควันทะมึนปกคลุมอีกครั้ง
นึกถึงเจ้าสิบก็รู้สึกว่าบาดแผลที่ข้อมือเจ็บแปลบขึ้นอีก มีแต่ทำร้ายถูกตัวเองเท่านั้นจึงจะรู้สึกเจ็บจริง
แววตาเขาเย็นชาขึ้น ออกจากตำหนัก “กลับตำหนักฉ่ายหมิง!”
หลังจากเจ้าสิบถูกกุมตัวก็ขังอยู่ในห้องตำหนักฉ่ายหมิง เขาโหวกเหวกโวยวายอยู่ในนั้นพักหนึ่ง ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง แต่เมื่อไม่มีโองการก็ไม่มีใครกล้าปล่อยเขาออกมา
เขาจึงใช้ศีรษะชนประตูดังโครมๆ ชนไปพลางก็ตะโกนคำพูดประมาณว่าเจ็บ ข้าจะตายแล้ว ผู้คนในตำหนักฟังจนอกสั่นขวัญหาย สงสารร้อนใจ
ฮ่องเต้หมิงหยวนยืนอยู่ที่ลานกว้างนิ่ง ฟังเสียงชนประตูและเสียงโหวกเหวกที่ดังจากข้างใน เขาตวาดขึ้นพลัน “หุบปาก!”
มังกรพิโรธเสียงสนั่นฟ้า ทุกคนในตำหนักคุกเข่า เปล่งเสียงดังฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว!
“เสด็จพ่อ!” หลังจากข้างในเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้ว เจ้าสิบก็ตบประตูด้วยมือทั้งสองข้าง ร้องไห้กระจองอแงกับข้างนอก ร้องไห้จนอเนจอนาถนัก “เสด็จพ่อ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ทรงปล่อยหม่อมฉันออกไปเถอะ หม่อมฉันจะไม่กัดเสด็จพ่ออีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
และวินาทีนี้เอง ฮ่องเต้หมิงหยวนก็พลันเข้าใจว่าเหตุใดไท่ซ่างหวงจึงไม่อภัยให้เขา
นั่นเพราะท่าทางเขาพูดว่าสำนึกผิด ไม่เหมือนกับเจ้าสิบอย่างไร? เจ้าสิบสำนึกผิดแล้วจริงหรือ? หรือว่าเขาคิดว่าตัวเองสำนึกผิดแล้ว ก็เหมือนกับเขาที่คิดว่าตัวเองสำนึกผิดแล้วอย่างนั้น แต่ในสายตาของไท่ซ่างหวงกลับไม่คิดเช่นนั้น
จำนวนครั้งที่เขาสำนึกผิดมากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่ทรงชี้นำ เขาก็สำนึกผิดครั้งหนึ่ง
แต่หากไม่ชี้นำล่ะ? หากครั้งนี้ไท่ซ่างหวงไม่ได้ให้ฮูหยินใหญ่มีคุยรายละเอียดกับเขาล่ะ? เขาจะรู้ความผิดหรือ?
ในใจเกิดความรู้สึกล้มเหลวขึ้นพลัน และเกิดความรู้สึกเกลียดชังแค้นเคืองกับพฤติกรรมเช่นนี้ สั่งออกไปอย่างเย็นชา “เด็กๆ จับองค์ชายสิบมัดกับต้นไม้ แล้วปรนนิบัติด้วยไม้โบย!”
คนทั้งตำหนักคุกเข่าลงวิงวอน ทุกคนต่างรู้ว่าองค์ชายสิบเป็นแก้วตาในใจของเขา ครั้งนี้ด้วยความโกรธจึงสั่งให้โบย โบยเสร็จแล้วต้องเสียใจทีหลังแน่
มีเพียงมู่หรูกงกงที่พอได้รับคำสั่งแล้วก็ผลักประตูเข้าไปจับตัวองค์ชายสิบ องค์ชายสิบถีบมู่หรูกงกงสุดแรง เกรี้ยวกราด “เจ้ามันบ่าวสุนัขรับใช้ ช่างกล้านักนะ รีบปล่อยข้าเร็วเข้า ขืนยังไม่ปล่อยอีก ข้าจะเอาชีวิตสุนัขเจ้า!”
ในหน้ามู่หรูกงกงนิ่งงัน ปล่อยให้เขาทุบตีอาละวาดก็ไม่ปล่อยมือ มือหนึ่งถึงเชือกในตำหนักมัดเขากับต้นไม้ หันหลังให้ฮ่องเต้หมิงหยวน สองมือประสานมัดกับกิ่งไม้ แล้วมัดตัว เช่นนี้จึงไม่อาจดิ้นได้อีก
องค์ชายสิบร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง หันหลังให้ฮ่องเต้หมิงหยวนวิงวอนให้ละเว้น ฮ่องเต้หมิงหยวนมองท่าทางเขาเช่นนี้แล้วก็อดท้อแท้ใจเป็นไม่ได้ ในอดีตอ๋องชินทั้งหลายถูกโบย ไหนเลยจะโหวกเหวกเช่นเขา? ก่อเรื่องได้ก็ต้องรับกับผลลัพธ์ได้ เมื่อนั้นจึงตัดใจ ให้มู่หรูกงกงลงทัณฑ์ โบยเขาสามไม้
มู่หรูกงกงรับบัญชา ถือไม้เดินขึ้นหน้า โบยไปที่บั้นท้ายขององค์ชายสิบ
ทันใดนั้นองค์ชายสิบก็หวีดร้องขึ้นมาราวกับหมูถูกเชือด หวีดร้องแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง เจ็บจนหายใจไม่ทัน อนาถจนทำให้คนที่อยู่ในที่นั้นทนมองไม่ได้
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินเสียงหวีดร้องอเนจอนาถนี้แล้ว หัวใจทั้งโกรธเกรี้ยวและเจ็บปวด กระทั่งเบือนหน้าหนีไม่อาจทนมอง
โบยสามไม้ไม่มากเลย แต่สำหรับเด็กน้อยเช่นนั้นกลับเป็นการลงทัณฑ์หนัก
ครั้นเสร็จสามไม้ องค์ชายสิบก็ร้องไห้จนสั่นเทิ้มทั้งตัว แทบหมดสติ
มู่หรูกงกงเอ่ยเสียงหนัก “องค์ชายจดจำการสั่งสอนครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่าทำให้ฝ่าบาทผิดหวังอีก เกิดอยู่ในราชวงศ์ ความซุกซนเล็กน้อยก็อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตาย ทรงชนท่านหญิงฮู่เฟยก็ทำให้บ่าวในตำหนักต้องถูกโบยแล้ว แต่ที่พวกเขาได้รับคือโบยสามสิบไม้ ทรงถูกโบยเพียงสามไม้เท่านั้น ทรงรู้สึกเจ็บไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์ชายสิบร้องไห้จนเสียงแหบ ใบหน้าม่วงก่ำ น้ำหูน้ำตานองหน้า แล้วยังตะโกน “เสด็จพ่อ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่อาจทนมอง เกรงว่าตัวเองจะไปปลอบอีก เช่นนั้นการโบยนี้ก็จะไร้ความหมาย เขาหันหน้าสาวเท้ายาวเข้าไป
ฮู่เฟยอยู่ด้านในร้องไห้ขึ้นมา นางรู้ว่าเจ้าสิบถูกโบย ทุกไม้ที่โบยเจ้าสิบก็ราวกับโบยที่หัวใจนาง เจ็บปวดเหลือคณา
ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งอยู่ที่ข้างเตียง นิ่งงัน ในใจว้าวุ่นนัก ยื่นมือกุมมือฮู่เฟย อีกข้างหนึ่งก็เช็ดน้ำตาให้นาง เอ่ยพึมพำ “เดิมเขาเป็นเด็กบริสุทธิ์เพียงใด เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้? เหตุใดจู่ๆ ก็เลวร้ายเสียได้? เมื่อก่อนข้ามักรู้สึกว่าเขาร่าเริงน่ารัก…”
ฮู่เฟยตาแดง คัดจมูกหนัก บัดนี้ความทรมานที่ท้องกลายเป็นความเจ็บหนักต่อเนื่อง สะอื้นเอ่ย “เขาแค่ไม่รู้จักเกรงกลัว ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเพคะ นี่ไม่ใช่ความผิดของเด็ก แต่เป็นความผิดของผู้ใหญ่ ปล่อยปละครั้งหนึ่ง ก็ทำให้เขารู้ว่าผิดเช่นนี้แล้วก็มีคนให้ท้ายไม่ดุด่าไม่ลงโทษ เขาจึงเป็นหนักขึ้น หนึ่งปีเศษนี้ เพราะเรื่องภายในภายนอก ทรงอึดอัดรุ่นร้อน เขาทำให้ทรงสบายพระทัย ฝ่าบาทจึงปล่อยเขาไปทุกเรื่อง นี่จึงมิใช่เป็นเช่นนี้หรือเพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดแล้วก็รู้สึกว่าจริง เดิมทีเจ้าสิบน้อยไม่ใช่เด็กที่เหิมเกริมเช่นนี้ แต่ปีเศษมานี้ปล่อยปละมากเกินไปจริงๆ หวังแต่ครั้งนี้เขาจะซึมซับบทเรียน ต่อไปจะไม่ทำผิดอีก
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? ยังปวดท้องหนักหรือไม่?” ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องนาง ถาม
ฮู่เฟยส่ายหน้า ดวงตาระทมหนัก “ไม่ค่อยเจ็บแล้วเพคะ แต่เด็กคนนี้อาจรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเจ็บแปลบในใจทันที “อย่าคิดเช่นนี้ พยายามให้ถึงที่สุด เข้าไปขออภัยโทษกับไท่ซ่างหวงมาแล้ว ทรงน่าจะให้พระชายารัชทายาทมาดูเจ้า”
ฮู่เฟยชายตามองเขา เขาจึงรีบเอ่ย “วางใจเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่โทษนาง”
ฮู่เฟยถอนหายใจเบา “ฝ่าบาท หวงกุ้ยเฟยล่ะเพคะ? ทรงหมายให้นางไปอยู่ตำหนักฉางเหมิน ไม่ออกมาอีกจริงหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนส่ายหน้า “วางใจเถอะ หวงกุ้ยเฟยแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น นางเป็นคนมีเหตุมีผล ไว้ข้าจะไปเอาใจนางสักหน่อย นางไม่ย้ายไปตำหนักฉางเหมินหรอก”
ฮู่เฟยมองเขาอยู่นาง แล้วก็ถอนหายใจเบาอีก ค่อยๆ ดึงผ้าห่มขึ้น หลับตาลง “เพคะ หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว หม่อมฉันอยากนอนสักหน่อยเพคะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทับมุมผ้าห่มให้นาง เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ได้ เจ้านอน ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า!”
“ไม่ต้องประทับอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันหรอกเพคะ ทรงทำราชกิจของพระองค์เถิด” ฮู่เฟยหลับตากล่าว