บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1335 ย้ายเข้าตำหนักฉางเหมิน
หยวนชิงหลิงยังไปตำหนักฉ่ายหมิง ไท่ซ่างหวงก็นิ่งเฉยเป็นการยินยอม ไท่ซ่างหวงมิได้มีอคติกับฮู่เฟย อีกทั้งนางยังตั้งครรภ์หน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์อยู่
หยวนชิงหลิงมาถึงตำหนักฉ่ายหมิง ฮ่องเต้หมิงหยวนยังเฝ้าฮู่เฟยอยู่ เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงมาเขาก็โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
“คารวะเสด็จพ่อ!” หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี รีบมาดูเร็ว!” นัยน์ตาฮ่องเต้หมิงหยวนมองนางอย่างอบอุ่น ลุกขึ้นยืนให้หยวนชิงหลิงเข้ามา
หยวนชิงหลิงรับคำ เดินไปยืนอยู่ข้างเตียง ฮู่เฟยมองนาง น้ำตาในดวงตาทะลักออกมาอีก แต่กลับอดกลั้นไม่ร้องไห้
หยวนชิงหลิงเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านหญิงรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ?”
เสียงของฮู่เฟยขึ้นจมูกหนัก เสียงสั่น “สงสัยจะไม่ค่อยดี ข้าเตรียมใจไว้แล้ว ในท้องไม่มีความเคลื่อนไหวมานานแล้ว”
การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์เป็นปฏิสัมพันธ์หลักระหว่างมารดากับบุตร รับรู้ถึงกันและกัน
หยวนชิงหลิงเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันจะฟังหัวใจของทารกก่อนนะเพคะ!”
ตอนที่นางมา ที่จริงก็เตรียมไว้แล้ว ย่าหยวนบอกนางว่าครรภ์ของฮู่เฟยแย่แล้ว ดังนั้นที่มาครั้งนี้นางจึงไม่ได้หวังมากนัก
หูฟังแพทย์เคลื่อนที่อยู่ที่ครรภ์ของฮู่เฟย จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา ตรวจซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ไม่มีการเคลื่อนไหวของทารก การเต้นของหัวใจทารกก็ไม่มีแล้ว คุณย่าตรวจได้ไม่ผิด ทารกตายในครรภ์แล้วจริงๆ
ยาเร่งคลอดในกล่องยาก็คงใช้กับฮู่เฟยนั่นเอง
นางไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก ฮ่องเต้หมิงหยวนกับฮู่เฟยก็รู้ผลที่เหมือนกับฮูหยินใหญ่ได้จากใบหน้านาง ฮ่องเต้หมิงหยวนปวดใจ ตัวเย็นเฉียบ ตอนที่ฮูหยินใหญ่เอ่ยเขายังมีความหวัง คิดว่าการรมหญ้าอ้ายหรือดื่มยารักษาครรภ์แล้วจะรักษาไว้ได้
กลับเป็นฮู่เฟยที่ไม่ร้องไห้ เพียงเอามือทั้งสองที่สั่นเครือวางตรงท้อง ค่อยๆ หลับตาลง ถอนหายใจลึก
หยวนชิงหลิงก็ปวดใจเช่นกัน นางเป็นแม่คน ในท้องยังมีลูกอยู่ ย่อมรู้ว่าฮู่เฟยคาดหวังกับเด็กคนนี้มากแค่ไหน มีความผูกพันธ์แน่นแฟ้นเพียงใด
บุตรตายในอุทร ต้องทำคลอดออกมาอยู่แล้ว มิเช่นนั้นมารดาก็จะอันตราย หลักการนี้ไม่จำเป็นต้องให้หยวนชิงหลิงเอ่ย ฮ่องเต้หมิงหยวนกับฮู่เฟยต่างรู้ดี
กรอกยาเร่งคลอดแล้วคุณย่าก็เขียนอีกสูตรยาขนานหนึ่งต้มแล้วให้ฮู่เฟยดื่ม
ทั้งตำหนักฉ่ายหมิงเงียบดั่งความตาย มีเพียงเสียงร้องไห้ของเจ้าสิบน้อยที่แว่วมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ฮู่เฟยมิได้ร้องไห้ นอนอยู่บนเตียงประหนึ่งคนไร้ชีวิต มองออกไปนอกตำหนักครั้งสองครั้งเท่านั้น มองอยู่พักหนึ่งแล้วก็ถอนสายตากลับ
ฮ่องเต้หมิงหยวนถามนาง “เจ้าอยากเห็นเจ้าสิบใช่ไหม? ข้าจะให้คนนำตัวเขามาให้เจ้าเห็น”
ฮู่เฟยส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เพคะ”
อยู่นาน นางจึงเอ่ย “หม่อมฉันอยากพบท่านหญิงเพคะ!”
ท่านหญิงที่นางเอ่ยถึงก็คือหวงกุ้ยเฟย ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้ดี แต่… เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “นางยังฉุนเฉียวอยู่ ไว้ข้าจะให้คนไปถ่ายทอดคำสั่ง ให้นางมาพบเจ้า”
ฮู่เฟยได้ยินคำพูดนี้แล้วจึงเอ่ย “เช่นนั้นก็ไม่ต้องเพคะ หม่อมฉันไม่ได้อยากพบนางมาก”
ครั้นยาออกฤทธิ์ ฮู่เฟยก็เริ่มรู้สึกปวดท้อง เด็กในครรภ์เกือบหกเดือนแล้ว ลำบากกับนางมาก ไม่ด้อยไปกว่าการคลอดเลย
หลังจากผ่านพ้นความลำเค็ญพักหนึ่งแล้วทารกชายก็ออกมา ฮู่เฟยร้องไห้ในที่สุด ไม่ได้มอง ให้คนรีบอุ้มออกไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองโอรสที่ไร้วาสนากับเขาแวบหนึ่ง เนื้อตัวราวกับตกอยู่ในฝันร้าย สมองใกล้เคียงกับความว่างเปล่า ริมฝีปากสั่นระริก แต่กลับไม่เอ่ยออกมาสักคำ
หยวนชิงหลิงก็ทรมานใจถึงที่สุด หันตัวไปแล้วแอบปาดน้ำตา ในใจมีความอ่อนแรงที่หนักอึ้ง
ในตำหนักเริ่มมีเสียงกลั้นสะอื้นไปทั่ว เป็นเสียงของบ่าวไพร่ในตำหนัก ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่พอใจกวาดตามองทีหนึ่ง บ่าวไพร่เหล่านั้นจึงรีบอุดปาก ไม่กล้าร้องออกมา
ความระทมในใจฮู่เฟยถึงขีดสุด เมื่อเห็นฮ่องเต้หมิงหยวนกระทำเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก หยุดร้องไห้ เอ่ย “ฝ่าบาท มิต้องประทับอยู่เป็นเพื่อนหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันอยากสงบจิตใจสักหน่อย”
หลายวันนี้คำพูดของฮู่เฟยเรียกตัวเองว่า ‘หม่อมฉัน’ แล้วเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พระองค์’ แม้รูปแบบการพูดเช่นนี้ในวังหลังจะไม่ผิด แต่เมื่อก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็อดทนไม่ตำหนิ
บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศในตำหนักกดดันมากเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะหยวนชิงหลิงอยู่ที่นี่ เขาไม่อาจว่ากล่าวอะไรกับฮู่เฟยจึงปล่อยใจสองสามคำ ให้หยวนชิงหลิงอยู่เป็นเพื่อนนางแล้วจากไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนจากไปแล้ว ฮู่เฟยจึงผ่อนลมยาว
หยวนชิงหลิงนั่งอยู่ข้างตัวนาง เอ่ยเบา “ท่านหญิงอย่าเสียพระทัยมากไปเลยเพคะ สุภาพสำคัญ”
ฮู่เฟยฝืนหัวเราะ น้ำตาเจือนออกมาจากกระบอกตาอีก “ไม่เสียใจนั้นโกหก แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กคนนี้ไม่มีวาสนากับข้า”
“ทรงยังชนมายุน้อย ต่อไปยังมีบุตรของตัวเองได้อีกเพคะ” หยวนชิงหลิงปลอบใจอย่างไม่ตรงกับใจ เพราะนางรู้ว่าคำพูดนี้ไม่สามารถปลอบมารดาที่เพิ่งสูญเสียบุตรได้
ฮู่เฟยยื่นมือเช็ดน้ำตา มองเพดานมุ้งที่หรูหรา เอ่ยพึมพำ “ระยะนี้ข้าเอาแต่สงสัยว่าข้าทำผิดไปหรือไม่”
“เพคะ?” หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ
ฮู่เฟยมองนาง ดวงตาเศร้าหมอง “ข้ารู้สึกหายใจไม่ออกอยู่บ่อยๆ”
หยวนชิงหลิงกุมมือนาง “ต่อไปต้องดีแน่เพคะ!”
ฮู่เฟยขมขื่นเอ่ย “ดีหรือไม่ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป พระชายารัชทายาทช่วยข้าไปเยี่ยมหวงกุ้ยเฟยหน่อย ฝ่าบาทตบนางไปทีหนึ่ง นางต้องชอกช้ำใจแน่”
หยวนชิงหลิงได้ฟังแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าพลัน “เสด็จพ่อตบนาง? เพราะอะไรเพคะ?”
ฮู่เฟยกล่าว “เพราะหวงกุ้ยเฟยไม่ยอมให้หมอหลวงเสนอให้เจ้ามาตรวจอาการให้ข้า นางเกรงว่าเจ้าช่วยลูกในท้องข้าไม่ได้ ฝ่าบาทจะลงพระอาญากับเจ้า ด้วยกริ้วฝ่าบาทจึงตบนางไป นางเสียใจมาก บอกว่าต่อไปจะย้ายเข้าอยู่ตำหนักฉางเหมินไม่ออกมาอีก ครั้งนี้ฝ่าบาททำร้ายจิตใจนางแล้วจริงๆ”
ฮู่เฟยกล่าวแล้วก็อดความระทมในใจไม่ได้อีก ปล่อยโฮออกมาก
หยวนชิงหลิงเกิดความรู้สึกต่างๆ นานาทันที แต่ที่มีมากกว่าก็คือความเคืองโกรธที่ไม่อาจละเลย หวงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์หน่อเนื้อของเขาอยู่ แต่เขากลับลงมือได้ ฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ?
มีเพียงคนที่อยู่ในดวงใจเขาถึงเป็นคนหรือ? คนอื่นเป็นก้อนหิน ไม่มีหัวใจไร้ความรู้สึก?
ความรู้สึกที่หวงกุ้ยเฟยมีต่อฝ่าบาท นางก็รู้ บอกว่าสมถะ แต่ครั้นเข้าจวนจวบจนเป็นหวงกุ้ยเฟยอย่างทุกวันนี้ นางเว้นที่ให้เขามาตลอด ที่ที่จะรักตลอดชีวิต
แต่ครั้นฮู่เฟยมา เขาคลั่งเพราะนาง หวงกุ้ยเฟยจึงได้แต่ยอมถอย เพราะถึงนางไม่ถอยก็ไม่มีที่ของนาง กว่าจะได้ตั้งครรภ์ ทำความฝันครึ่งชีวิตให้เป็นจริง แต่ด้วยศักดิ์แห่งหวงกุ้ยเฟยถูกฮ่องเต้ตบกลางตำหนัก เมื่อหยวนชิงหลิงคิดถึงตรงนี้ก็ทรมานใจนัก
อีกทั้งหวงกุ้ยเฟยงยังเพราะนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงทั้งปวดใจและรู้สึกผิด
“หม่อมฉันจะไปเพคะ!” หยวนชิงหลิงนั่งไม่ติดแล้ว ลุกขึ้นยืน กำชับคนในตำหนักให้ดูแลฮู่เฟย จากนั้นก็รีบเดินออกไป
หลังจากหวงกุ้ยเฟยกลับถึงตำหนัก หัวใจก็ราวกับเถ้าถ่าน สั่งให้คนเก็บข้าวของทันที สิ่งของราคาแพงไม่เอา เก็บเพียงเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นประจำวันเท่านั้น แล้วย้ายไปที่ตำหนักฉางเหมินก่อน
ตำหนักฉางเหมินอยู่ข้างตำหนักเย็น มุมตะวันตกเฉียงเหนือของวังหลวง ที่นี่แม้ไม่ถึงกับรกร้าง แต่ก็ซอมซ่อวิเวก เมื่อหวงกุ้ยเฟยย้ายเข้ามาแล้ว คนในตำหนักก็เริ่มเก็บกวาด
ครั้นหยวนชิงหลิงหานางไม่พบในตำหนัก ก็รีบรุดไปยังตำหนักฉางเหมินทันที