บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1340 นับผลงานเจ้าอย่างละเอียด
ฮ่องเต้หมิงหยวนยังอยู่ในตำหนักของฉินเฟย หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็นั่งพูดคุยเรื่องที่แล้วมา เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเหล่านั้นก็ยังรู้สึกหมองใจ แต่อย่างไรก็ทำให้ความทุกข์ของฮ่องเต้หมิงหยวนคลี่คลายลงได้
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงบุก…” เสียงตกใจสอดสีดังมาจากด้านนอก แต่จากนั้นก็เงียบกริบ
ฮ่องเต้หมิงหยวนตกใจเล็กน้อย เงยหน้าสั่งกับมู่หรูกงกงที่ยืนอยู่นอกผ้าม่าน “ไปดูสิ เกิดอะไรขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อมู่หรูกงกงหันตัวก็พบเงาดำหนึ่งกดมา เขาลงมือควบคุมอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ แต่เงาดำนั้นใช้สันมือลงที่ต้นคอเขาอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดแล่นมาทันที สมองพร่าเบลออ่อนยวบลงไป แทบมองไม่ชัดว่าผู้ที่มาเป็นใครกันแน่
ผ้าม่านถูกเปิดออก แล้วทิ้งตัวลงอีก เงาสูงใหญ่ถูกม่านลูกปัดปกคลุม เข้าตำหนักไป
ใบหน้าฮ่องเต้หมิงหยวนเปลี่ยนจากเดือดดาลเป็นตะลึงงัน เอ่ยปากขึ้น “ท่านลุง?”
เดิมทีฉินเฟยก็ตกใจมาก แต่เมื่อเห็นคนที่มาชัดเจนแล้วก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “อ๋องชินบุกรุกเข้าวังหลังได้อย่างไร? นี่เป็นตำหนักของข้า หวังว่าอ๋องชินจะให้เกียรติด้วย”
นัยน์ตาเย็นชาของอ๋องชินเฟิงอัน ทอดที่ใบหน้าของฉินเฟย ฉินเฟยตื่นตระหนกทันที “ท่าน…”
“ออกไป!” น้ำเสียงไร้อารมณ์ของอ๋องชินเฟิงอัน ดังขึ้นหนักในตำหนัก ราวกับมีเสียงสะท้อน น่าเกรงขามมาก
ฉินเฟยมองฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนโบกมือ “เจ้าออกไป!”
ฉินเฟยเห็นอ๋องชินเฟิงอันมาอย่างไม่เป็นมิตร ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบย่อคำนับออกไป
ในตำหนักจึงมีแต่การประชันหน้าของบุรุษสองนาม อ๋องชินเฟิงอันสูงถึงเมตรเก้าสิบ จัดอยู่ในกลุ่มรูปร่างสูงตระหง่านดั่งแม่ทัพสวรรค์ ข่มฮ่องเต้หมิงหยวนที่เป็นราชาทรงสง่าได้หมด เขาถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว “ท่านลุง ท่านเสด็จมาครั้งนี้มีเรื่องอันใดหรือ?”
เขามองมู่หรูกงกงที่ล้มอยู่กับพื้นนอกผ้าม่าน เกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นพลัน เขาสังหารมู่หรูไปแล้ว?
อ๋องชินเฟิงอันล้วงราชโองการผ้าแพรเหลืองออกมาจากแขนเสื้อกว้าง ยื่นให้เขา “เจ้าดูเอง!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนลังเลอึดใจหนึ่ง รับราชโองการมา แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นแล้ว เขาก็ตกตะลึง หลุดปากกล่าว “นี่…นี่เป็นของปลอมกระมัง?”
“ลายพระหัตถ์ฮ่องเต้เซี่ยน ประทับตรา ฮ่องเต้คิดว่าปลอมหรือจริงกันเล่า?” อ๋องชินเฟิงอันกางชุดนั่งลง มองฮ่องเต้หมิงหยวนด้วยสีหน้านิ่งงัน
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกเพียงเหลวไหล “ข้าไม่เคยเห็นราชโองการฉบับนี้มาก่อน!”
อ๋องชินเฟิงอันเอ่ย “นั่นเพราะข้าไม่เคยเอาออกมา!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนยิ้มเย็น “ข้าไม่นับ!”
“เสด็จพ่อเจ้านับ ขุนนางทั้งหลายนับ ทั้งเป่ยถังนับ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องเขา ในใจว้าวุ่นจนแทบพังทลาย เหลวไหลสิ้นดี ผ่านมาหลายปีแล้วกลับเอาราชโองการของฮ่องเต้เซี่ยนออกมา จะชิงบัลลังก์เขาหรือ? นี่เป็นไปไม่ได้แน่ ครั้นรัชสมัยฮ่องเต้ฮุยจงก็ไม่ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรัชทายาท หากราชโองการนี้เป็นจริง เช่นนั้นแม้แต่ฮ่องเต้ฮุยจงก็ไม่อาจนั่งบัลลังก์มังกร
ด้วยความว้าวุ่นใจ ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงตะโกน “เด็กๆ เด็กๆ จับตัวเจ้ากบฏนี่ซะ!”
อ๋องชินเฟิงอันยกนัยน์ตาหงส์ “ไม่ต้องตะโกนไป ข้าให้คนล้อมวังไว้นานแล้ว ทหารรักษาพระองค์ก็ถูกกุมตัวหมด คืนนี้ข้าจะสังหารเจ้าเสีย แล้วขึ้นครองราชย์วันพรุ่ง ใครก็ช่วยไม่ได้”
ฮ่องเต้หมิงหยวนโกรธจัด “เจ้ากล้ากบฏหรือ? ช่างกล้านักนะ เจ้าไม่กลัวคำสาปแช่งของคนทั่วหล้าหรือ? เสด็จพ่อต้องไม่นับราชโองการนี้แน่ หากเจ้าสังหารข้า หากเจ้ากล้าขึ้นบัลลังก์ เจ้าก็คือกบฏ ชื่อเสียงเน่าเสียหมื่นปี!”
อ๋องชินเฟิงอันยิ้มชืด ท่าทางกุมชัยชนะในมือ ชายตาขึ้นพอเหมาะ เผยความกำเริบที่ถ่อมตน “ประวัติศาสตร์ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ชนะเขียน ข้าขึ้นครองราชย์แล้ว ขุนนางที่บันทึกประวัติศาสตร์ก็จะบันทึกว่าปีที่ฮ่องเต้หมิงหยวนรั้งตำแหน่ง ไร้ผลงานไร้คุณธรรม ไร้ความสามารถไม่เหมาะสม ข้าเดินตามครรลองแห่งฟ้า ขจัดความวุ่นวายทำให้กลับคืนสู่ปกติ หลังจากขึ้นครองราชย์ ก็จะฆ่าฮองเฮานางสนมเจ้าก่อน ทำลายผลงานตอนที่เจ้ามีชีวิต ใช้โลหิตล้างวังหลวง กำจัดคนที่จงรักภักดีกับเจ้า ข้าจะดูสิว่าต่อไปยังมีใครพูดให้เจ้าได้อีก ประวัติศาสตร์ยังมิใช่ข้าอยากเขียนอย่างไรก็เขียนหรือ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเดือดดาล “เจ้า…ฉะนั้นเมื่อครู่เจ้าฆ่ามู่หรูแล้ว?”
“ฆ่าแล้ว!” น้ำเสียงอ๋องชินเฟิงอันพูดง่ายราวกับฆ่ามดแมลงตัวเดียว
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกคาวหวานในลำคอทันที “เจ้า…”
อ๋องชินเฟิงอันมองเขา หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง “ฆ่าเขาคนเดียวที่ไหน? เวลานี้เกรงว่าวังหลังจะเป็นทะเลโลหิตนานแล้ว ฮู่เฟยที่เจ้าโปรดปราน ลูกชายเจ้า นางสนมคนอื่นของเจ้า ตอนนี้ก็คงไปอยู่ปรโลกแล้ว หยู่เหวินอี้ เวลาของเจ้าถึงปลายทางแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกโลกหมุนทันที เลือดสดที่กลั้นอยู่ในลำคอก็กระอักออกมาในที่สุด ตัวโซเซสองสามครั้ง ตวาดเสียงคลั่ง “คนทรยศ!”
อ๋องชินเฟิงอันมองเขาแล้วส่ายหน้าน้อยๆ “ราชาแห่งรัชสมัย เจ้าช่างโง่เขลาที่สุด”
“เจ้าอย่าคิดจะเหยียบย่ำข้าอีก ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้า!” ด้วยโทสะ ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ทว่าในใจก็เย็นขึ้นพลัน เพราะเขารู้ว่าแม้นมีอาวุธ เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอ๋องชินเฟิงอัน มีแต่ต้องรับความอัปยศมากกว่าเดิม นัยน์ตาแดงก่ำเขาจ้องอ๋องชินเฟิงอัน “เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า ข้าจะไม่ยอมรับคนทรยศเช่นเจ้าเด็ดขาด แม้นข้าได้พบบรรพชน พบฮ่องเต้เสี่ยน ก็จะไม่ยอมรับฐานะของเจ้า!”
อ๋องชินเฟิงอันจ้องเขา ดวงตาค่อยๆ เกิดอารมณ์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงทำเยี่ยงนี้? ข้าสั่งสมกำลังทหารมาหลายปี ชิงบัลลังก์ได้นานแล้ว แต่เหตุใดจึงมาเอาเวลานี้?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวเย็น “เจ้าทะเยอทะยานใฝ่สูง วางแผนมานาน เวลานี้รอบทิศสงบ เจ้าจึงคิดจะฉวยโอกาส”
“ฉวยโอกาส? ได้ยินว่าแม่ทัพที่ขับไล่เป่ยโม่ก็คือข้า ไม่ใช่เซียวเหยากง ข้าอาบเลือดสู้ศึกอยู่ด้านหน้า รักษาแผ่นดินทุกกระเบียดนิ้วของเป่ยถัง ข้าถือว่าฉวยโอกาสหรือ? แม้แต่อาวุธที่รัชทายาทกับเหลิ่งซี่ศึกษาผลิต ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าทำมาเมื่อครั้งก่อน พวกเขาแค่เลียนแบบเท่านั้น หากไม่มีอาวุธพวกนี้ หากมิใช่วางแผนการในกระโจมอยู่ก่อนของข้า ศึกนี้จะชนะได้หรือ? เจ้ายังพูดว่ารอบทิศสงบได้หรือ?”
“นี่เป็นหน้าที่ที่เจ้าเป็นขุนนาง!” ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดไม่ถึงว่ากองทัพใหญ่จะบุกเข้ามาได้ในค่ำคืนเดียว เห็นชัดว่าคนผู้นี้มีแผนการล้ำลึก ถึงขนาดว่าไม่มีใครป้องกันได้ เขาจะยอมรับได้อย่างไร?
“เช่นนั้นหน้าที่ของเจ้าที่เป็นฮ่องเต้เล่า?” อ๋องชินเฟิงอันเดือดขึ้นมาบ้าง ตบโต๊ะ สะเทือนจนชุดชาที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น “หน้าที่ของเจ้าที่เป็นราชายังจำได้หรือไม่?”
กล่องดวงตาฮ่องเต้หมิงหยวนแทบจะแตก “เหตุใดข้าจะจำไม่ได้? หลายปีที่ข้าครองราชย์ สุขุมรอบคอบระมัดระวัง หมั่นเพียรในราชกิจ แม้นข้ามิใช่ราชาหมื่นปี แต่ก็ไม่เลอะเลือนดังเจ้าว่า”
อ๋องชินเฟิงอันกล่าวเสียดแทง “เช่นนั้นหรือ? ลองว่าผลงานเด่นของเจ้ามาให้ข้าฟังสักเรื่องสิ ขอเพียงเจ้าพูดออกมาได้ ข้าจะยอมถอยกำลัง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเสียงร้าว “ปีที่สองที่ข้าขึ้นครองราชย์ แม่น้ำหวยเกิดอุทกภัยหนัก ข้าไปขจัดทุกข์ด้วยตัวเอง เสริมสันเขื่อนให้แข็งแรง ไม่ได้หลับตาสามวันสามคืน”
“แต่หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่เคยมีโองการให้ซ่อมแซมสันเขื่อน ทำให้สันเขื่อนพังทลายทุกปี น้ำหลากทุกปีไม่สิ้นสุด”
“เจ้า…”
อ๋องชินเฟิงอันกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูด ตลอดหลายปีที่เจ้าครองราชย์ ข้ารู้อยู่แก่ใจทุกเรื่อง นโยบายที่ใช้ ส่วนมากก็เป็นนโยบายที่ใช้ตามเสด็จพ่อเจ้า เพื่อสร้างฐานที่มั่นคงให้เจ้า เสด็จพ่อเจ้ากวาดล้างความวุ่นวายทั้งหมด สานสัมพันธ์กับแคว้นรอบข้าง แต่งตั้งอ๋องหนานเจียง ใช้นโยบายที่มั่นคงกับหนานเจียง แม้ท้องพระคลังว่างเปล่า แต่เป็นช่วงเวลาดีที่จะสร้างความเจริญ แต่หลังจากเจ้าขึ้นดำรงตำแหน่ง กลับไม่ได้ทำอะไรเลย หนานเจียงเกิดความวุ่นวาย เจ้าอ้างว่าบ้านเมืองยากจนเป็นเหตุ ไม่ส่งกำลังทหาร หลบหลีก แม่น้ำหวยเกิดอุทกภัยใหญ่ เจ้าช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้ว ราชสำนักไม่มีเงินเหลือ ไม่ซ่อมแซม เดิมแคว้นต้าหมิงกับต้าซิงก็เป็นพันธมิตรที่เสด็จพ่อเจ้าสร้างมา ค้าขายด้วยกันได้ แต่เจ้ากลับอ้างพัฒนาการเกษตร ไม่ให้ความสำคัญกับการค้าขาย”