บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1348 ชีวิตหลังเกษียณ
ทังหยวนอดไม่ได้ที่จะบอกกับเขาว่า “พ่อ เรื่องเล่าไม่นิยมเขียนเช่นนี้กันนานแล้ว”
หยู่เหวินเห้าอึ้งพูดขึ้นว่า “ไม่นิยมเช่นนี้? งั้นนิยมแบบไหน?”
ทังหยวนให้เขานั่งลง พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ข้าจะบอกเจ้า นี่เป็นเรื่องเล่าแบบเก่านานมากแล้ว ตอนนี้ไม่เขียนแบบนี้แล้ว บัณฑิตคนนี้หลังจากมาสอบที่เมืองหลวง สอบติดจอหงวน เข้ารับตำแหน่งขุนนาง แต่เพราะฐานะยากจน ไม่มีใครสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตกเป็นเป้าหมายถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกีดกัน ถูกกลั่นแกล้ง ถูกหลอกใช้ ต่อมาเมื่อผู้หญิงคนนี้รู้ข่าว ก็ขายทรัพย์สมบัติเดินทางมาเมืองหลวง แน่นอนว่า ระหว่างทางมาเมืองหลวงได้ศึกษาเรียนรู้ความสามารถมาบ้าง อย่างเช่นฝีมือการต่อสู้ต่างๆ จากนั้นหลังจากที่ผู้หญิงคนนี้มาถึงเมืองหลวง ก็ช่วยจอหงวนเจอเทพ ฆ่าเทพ เจอพระ ฆ่าพระ สุดท้ายกำจัดคนที่รังแกพวกเขาจนหมด ตอนจบใกล้จะแต่งงานกันแล้ว ตอนนี้ข้าจะรีบดูพวกเขาแต่งงานกัน อย่ากีดขวางข้า”
หยู่เหวินเห้าเม้มริมฝีปาก หันไปมองหยวนชิงหลิงอย่างทำอะไรไม่ถูก พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่….แค่ระหว่างทางมาเมืองหลวง คนอื่นยังสามารถฝึกวิชาการต่อสู้ได้ เจ้าฝึกฝีมือการต่อสู้กับท่านชายสี่มาตั้งนาน เรียนได้อะไรบ้าง?”
หยวนชิงหลิงทำท่าแทงคอของเขาด้วยมือ พร้อมหัวเราะพูดขึ้นว่า “พอรับมือกับเจ้าได้”
หยู่เหวินเห้าไอ๊หยาหนึ่งที ล้มลงบนเตียง ทับบนขาของหยู่เหวินเย่ มืออ้วนน้อยของหยู่เหวินเย่จับใบหน้าของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “พ่อ เจ้าสู้แม่ไม่ไหวหรือ?”
“สู้ไม่ไหว ชั่วชีวิตนี้พ่อก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแม่” หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นนั่ง อุ้มหยู่เหวินเย่ขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “แน่นอน พ่อต้องยอมให้กับนาง ตามความสามารถจริงๆแล้ว พ่อแค่ใช้ปลายนิ้วมือก็สามารถบี้นางให้แบนได้”
หยู่เหวินเย่ขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “พ่อ ความจริงแล้ว พวกเราก็ใช้แค่นิ้วมือก็สามารถบี้พ่อให้แบนได้”
หยู่เหวินเห้าวางเขาลง พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ครอบครัวเดียวกัน พูดเรื่องต่อสู้อะไรกัน? จำอักษรของเจ้าไป จำถึงอักษรตัวไหนบ้างแล้ว?”
ทุกครั้งที่พูดถึงความสามารถ ศักดิ์ศรีของเขาก็ถูกเหยียบย่ำทิ้งอยู่บนพื้น
หยู่เหวินเย่พูดขึ้นว่า “พี่ชายกำลังสอนชือ เม่ย หวั่ง หลาง(ปีศาจและสัตว์ประหลาด) ก็คือคำที่มีอักษรผีเยอะหลายคำนั่น พ่อรู้จักไหม?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างรังเกียจว่า “รู้ รู้ ชือ เม่ย หวั่ง หลาง ไม่รู้ได้ยังไง? จำคำศัพท์ต่อไป”
พวกลูกๆต่างก็มีสิ่งที่ต้องทำ เขาดูเป็นเหมือนส่วนเกิน อยู่สักพักแล้วก็รู้สึกน่าเบื่อ จึงดึงพาหยวนชิงหลิงออกไปแล้ว
ออกจากประตูมา เขาหันไปมองไม่เห็นลูกๆตามออกมา จึงแอบถามขึ้นว่า “ชือ เม่ย หวั่ง หลาง เขียนยังไงหรือ? ข้าจำไม่ได้แล้ว”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่มั้ง? อนาคตเจ้าจะต้องเป็นฮ่องเต้นะ”
หยู่เหวินเห้าอธิบายทั้งหน้าแดงว่า “ข้ารู้จักคำศัพท์พวกนั้น แค่จำไม่ได้ว่าเขียนยังไง อีกอย่าง เป็นฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะต้องมีความรู้อะไรมากไม่ใช่หรือ? ฮ่องเต้ในรัชสมัยมากมาย อ่านหนังสือไม่ออกเยอะแยะ ก็ยังดำรงตำแหน่งได้เป็นอย่างดี ข้าอ่านออกเขียนได้ และก็เข้าใจ เหตุผลข้าล้วนต่างก็รู้ หลักการเป็นกษัตริย์ที่ดีข้าก็รู้ แค่ตอนเด็กไม่ชอบเรียนหนังสือ ฝึกแต่ฝีมือการต่อสู้”
หยวนชิงหลิงตบบ่าของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “รู้ เข้าใจ”
“ไม่ใช่ เจ้าจะบอกว่าข้าลืมชือ เม่ย หวั่ง หลาง เขียนยังไง แล้วเห็นว่าค่าไร้ความสามารถหรือ?”
“ไม่ได้บอกว่าเจ้าไร้ความสามารถ” หยวนชิงหลิงยิ้มพร้อมทั้งควงแขนของเขา พูดขึ้นว่า “สนใจเรื่องพวกนี้ทำไม? ความจริงแล้ว มีคำมากมายข้าก็ลืมแล้วว่าเขียนอย่างไรเหมือนกัน”
ความรู้ของเจ้าห้า ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ คนอื่นพูดว่าเขาเพียบพร้อมไปด้วยความรู้และความสามารถ ตัวเขาเองละอายแก่ใจ สำนวนในวงเหล้าก็พูดได้ไม่กี่ประโยค ถูกลงโทษให้ดื่มอยู่ตลอด บทกลอนยิ่งเลวร้าย แต่ที่จริงไม่ว่าความรู้จะเป็นยังไง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเป็นฮ่องเต้ที่ดี
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด แล้วจู่ก็ดึงมือหยวนชิงหลิง พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ยายหยวน เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ข้าจะไปจวนราชครูวันละหนึ่งชั่วโมง”
“ไปทำอะไรที่จวนราชครู?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
เขาพูดขึ้นอย่างค่อนข้างเศร้าว่า “ศึกษาหาความรู้บ้าง ต่อไปพวกลูกๆพูดอะไร ข้าจะฟังไม่รู้เรื่อง ครั้งนี้เป็นชือ เม่ย หวั่ง หลาง ครั้งต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ยากกว่านี้อีก”
หยวนชิงหลิงค่อนข้างตื้นตัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมทำเพื่อลูก ในระหว่างที่มีงานยุ่งขนาดนี้ ยังจะแบ่งเวลาไปร่ำเรียน
ที่จริง ไม่ว่าพ่อแม่จะไล่ตามยังไง สุดท้าย ยังคงมีสักวัน ก็จะไม่รู้ว่าพวกลูกๆกำลังพูดอะไร
นางพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ามีเวลาหรือ? แบ่งเวลาออกมา 1 ชั่วโมงทุกวัน หากราชครูตอบตกลง เจ้าก็จะไม่ไปไม่ได้ คนแก่ค่อนข้างดื้อรั้นนะ”
“ได้ งานยุ่งยังไง ลูกก็ยังคงสำคัญที่สุด” เขาจับมือของนางไว้ เดินไปตามเส้นทางพื้นหิน พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่กลัวว่า เมื่อพวกเรามีเวลาว่างอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เอาพวกเราแล้ว”
“ดี ข้าสนับสนุนเจ้า” หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างอ่อนโยน
หยู่เหวินเห้าทำได้อย่างที่พูด นอกจากไปเรียนกับราชครูวันล่ะหนึ่งชั่วโมงแล้ว ยังเริ่มอ่านหนังสือเล่าเรื่องด้วย
ตอนเริ่มแรก ยังไงก็ดูไม่สนุก เนื้อเรื่องแบบนั้น บทความแบบนั้น ทำให้รู้สึกเวียนหัว แต่หลังจากยืนหยัดต่อไป กลับพบว่าสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตได้
หลังจากอ่านไปแล้วสองสามเล่ม ก็เริ่มสามารถคุยเนื้อเรื่องกับทังหยวนได้ ทั้งสองพ่อลูกเถียงกันเพราะเนื้อเรื่องจนหน้าดำหน้าแดงบ่อยครั้ง แต่ไม่นานก็มีความเห็นเดียวกัน อ่านต่อแล้วก็เถียงกันต่อ
ต่อมา ก็ประสบความสำเร็จดึงดูดลูกคนอื่นๆเข้ามาร่วมสนทนาด้วย เจ้าแฝดก็นั่งฟังอยู่ด้านข้าง อย่างสนอกสนใจ แล้วพ่อลูกก็มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน
หยวนชิงหลิงมองดูด้วยตา ยินดีอยู่ในใจ แต่ก็ทอดถอนใจลึกๆ เจ้าห้าน่าจะสำนึกผิด ตั้งแต่ครั้งแรกที่โต้เถียงเสด็จพ่อในวัยหนุ่ม รู้ว่าการอยู่อบรมสั่งสอนลูกสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเล่าในหนังสือ ก็จะเริ่มแบ่งปันความคิดของเขา เป็นคนต้องทำอย่างไร ทำอะไรต้องทำยังไง แบ่งปันลูกๆเป็นอย่างๆ วิธีแบบนี้ ลูกไม่ต่อต้าน และก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว
ต้องยอมรับว่า เจ้าห้ามีวิธีของเขา การเติบโตของเขาไวกว่าใครทั้งหมด
เปาจื่อยังคงติดต่อกับยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ฟางหวูส่งจดหมายมาหลายครั้ง บอกว่าตอนนี้ห้วงเวลาค่อนข้างผิดปกติ จะเป็นเพราะจุดมืดดวงอาทิตย์เคลื่อนไหวบ่อยครั้งเป็นเหตุ ทำให้ห้วงเวลาบิดเบือน ตอนนี้ส่งสิ่งของมาทำให้เกิดการผิดพลาดบ่อยมาก ถึงขั้นไปยังอีกห้วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นจึงหยุดชะงักไว้สักพักก่อน
หยวนชิงหลิงท่านย่าหยวนเว้นสามวันไปหาเฒ่าทั้งสามที่พระที่นั่ง อาการของโสวฝู่ไม่เลวร้ายลง นี่ถือเป็นข่าวดี แต่ยังไงหยวนชิงหลิงก็ไม่อาจวางใจได้
ไปพระที่นั่งในวันนี้ พวกไท่ซ่างหวงลงมือลงครัวด้วยตนเอง ทำอาหารให้พวกเขาทาน เดิมหยวนชิงหลิงคิดว่ารสชาติจะแย่ กลับคิดไม่ถึงว่า รสชาติดีมาก เมื่อถามแม่นมสี่ค่อยรู้ว่า ที่แท้ตอนที่พวกเขาอายุยังหนุ่มก็ชอบทำกับข้าวด้วยตนเอง ฝีมือการทำอาหารก็ดีมาก
ตอนนี้แม่นมสี่กลับไม่ค่อยต้องทำงานอะไรแล้ว ใช้คำพูดของโสวฝู่พูดก็คือ นางรับใช้ปรนนิบัติไท่ซ่างหวงมากว่าครึ่งชีวิตแล้ว ควรที่จะได้อยู่อย่างมีความสุขได้แล้ว พี่นี่คือพระที่นั่ง ไม่ใช่ในวัง ไม่มีกฎอะไรมากมาย
แต่แม่นมก็เป็นคนที่อยู่เฉยไม่ได้ บุกเบิกพื้นดินในลาน แล้วก็ปลูกผักสวนครัว ทางด้านหลังจวนก็ปลูกต้นพุทราเต็มไปหมด นางบอกว่าโสวฝู่ชอบทานพุทรา หวังว่าต่อไปจะได้กินพุทราที่นางปลุกด้วยตนเองทุกปี ช่วงชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่มีอะไรเสียใจแล้ว
หยวนชิงหลิงเห็นใจแม่นม แต่แม่นมพูดกับนางว่า ตอนนี้นางมีความสุขมาก ถึงแม้ตาของเขาจะมองไม่เห็น แต่เขาอยู่ข้างกายนาง นี่ก็คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว