บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1351 การโจมตีของเงินทอง (เนื้อหาหายไป1ท่อน)
เมิ่งเยว่เป็นเด็กดีมาตลอด คนที่ฮูหยินเหยาเป็นห่วงคือเมิ่งซิง
เมิ่งซิงนั่งอยู่ตรงระเบียง แนบหัวพิงขาฮูหยินเหยา แลดูให้เห็นถึงความหวาดหวั่น นางจับข้อมือฮูหยินเหยา พร้อมถามขึ้นว่า “ท่านแม่ หากท่านแต่งงานกับลุงฮุ่ยเทียนแล้ว ต่อไปเมื่อมีลูก แล้วจะทิ้งเมิ่งซิงไหม?”
ในใจฮูหยินเหยาเจ็บปวด กอดนางไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เด็กโง่ แม่จะไม่เอาเจ้าได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าก็ยังเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของแม่”
เมิ่งซิงพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “ลุงฮุ่ยเทียนคนนั้น ยังจะดีกับพวกเราไหม?”
ฮูหยินเหยาพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “หากเขาไม่ดีกับพวกเจ้า แม่ก็ไม่แต่งงานแล้ว”
“ไม่แต่งก็ไม่ได้ เสด็จปู่มีพระราชโองการลงมาแล้ว” เมิ่งซิงพูดขึ้น
ฮูหยินเหยาลูบใบหน้าของนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เมิ่งซิง หากเจ้าไม่เห็นด้วย แม่จะไปพูดกับเสด็จปู่เอง เรื่องงานแต่งงานในครั้งนี้ แม่ไม่แต่งก็ได้”
เมิ่งซิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ ลูกอยากให้แม่รับปากแต่งงาน พี่สาวพูดถูก รอต่อไปเมื่อพวกเราแต่งงานแล้ว แม่ก็เหลือตัวคนเดียว จะเหงาอย่างมาก มีลุงฮุ่ยเทียนอยู่เป็นเพื่อนแม่ พวกเราก็วางใจ”
ฮูหยินเหยาจ้องมองดูเมิ่งซิง ถอนหายใจเบา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ ข้าจะช่วยจวิ้นจู่จิ้งเหอดูแลลูก ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะ หากพวกเจ้าไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องฝืน”
เมิ่งซิงคิดไปคิดมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “ข้าเห็นด้วย ลุงฮุ่ยเทียนดีกับแม่มาก ป้าห้าบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีดีกับแม่ได้เท่าลุงฮุ่ยเทียนแล้ว”
อีกด้านของกำแพง ฮุ่ยเทียนเอาหูแนบผนัง ฟังการสนทนาระหว่างแม่กับลูกสาวของอีกฝั่ง ฟังถึงตรงนี้ เขาค่อยโล่งอก เขย่งย่องเท้าเดินจากไป
แล้วเรื่องแต่งงาน ก็ตกลงตามนี้
ก่อนหน้านี้ฮูหยินเหยาช่วยพวกนางเตรียมเสื้อผ้าทารก ตอนนี้กลับกลายเป็นพวกหยวนชิงหลิง ต้องเตรียมสินสอดทองหมั้นให้กับฮูหยินเหยาแล้ว
(เนื้อหาหายไป1ท่อน)
หยู่เหวินหลิงหน้าแดงขึ้นมาทันที แดงไปจนถึงใบหู พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้า….ทำไมเจ้าถึงถามคำถามตรงๆแบบนี้?”
ไม่ต้องตอบ ดูปฏิกิริยาของนางก็รู้ว่าเข้าห้องหอแล้ว
หรงเยว่มองดูนาง แล้วก็มองดูหยวนชิงหลิง พร้อมกระซิบพูดขึ้นว่า “ท่านชายสี่โตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ อาจารย์โตแล้ว”
หยู่เหวินหลิงพูดขึ้นอย่างเอียงอายว่า “พวกเจ้าไม่ต้องพูดเช่นนี้แล้ว คุยกับพวกเจ้าเรื่องงานแต่งงานของฮุ่ยเทียนอยู่นะ ฝ่ายหญิงต้องเชิญคนมาเท่าไหร่? ต้องเตรียมสินสอดเท่าไหร่? พวกนี้ล้วนต้องคุยตกลงกัน”
“พวกนี้ต้องถามฮูหยินเหยา พวกเราจะตัดสินใจได้อย่างไร?” หรงเยว่มองดูนาง ถึงแม่จะหวังให้ท่านชายสี่แต่งงานมีลูกมาตลอด แต่เมื่อท่านชายสี่ทำแบบนี้แล้วจริงๆ กลับทำให้นางรู้สึกเขิน บุคคลเหมือนดั่งเทพเช่นนั้น ยังไงก็ยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
หยู่เหวินหลิงพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “เคยไปถามฮูหยินเหยาแล้ว ฮูหยินเหยาไม่ยอมคุยเรื่องนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงมาหาพวกเจ้า”
“นางคงจะคิดว่า กิจกรรมไร้สาระพวกนี้ล้วนไม่ต้องเตรียมแล้ว ทางครอบครัวของนางล่ะ? เจ้าไปถามหรือยัง?” หรงเยว่ถามขึ้น
“ยังไม่ให้ข้าไปหาคนในครอบครัวของนาง บอกว่าหลังจากที่นางหย่าแล้วไม่ได้กลับบ้าง เรื่องนี้จึงไม่ควรให้คนในครอบครัวของนางจัดการ” หยู่เหวินหลิงพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงเข้าใจ เพราะเมื่อคนในครอบครัวฮูหยินเหยามีมาส่วนร่วมในการจัดงานแต่งงาน ถึงตอนนั้นก็จะมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องทำไม่น้อย ยังไง คนครอบครัวตระกูลใหญ่ค่อนข้างให้ความสำคัญธรรมเนียมประเพณี และถึงแม้ฮุ่ยเทียนจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยา แต่ยังไงก็เป็นคนที่มาจากกระดูกมนุษย์หมาป่า และยังทำงานอยู่ในสำนักเหลิ่งหลัง คนในสำนักเหลิ่งหลังต่างค่อนเป็นกันเอง กฎธรรมเนียมหมัดพวกเขาไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นเมื่อจัดงานแต่งงานขึ้นมา จะเกิดการกระทบกระทั่งกัน
ทั้งสามคนคุยปรึกษากันอยู่สักพัก แล้วก็ไม่สามารถตกลงอะไรได้ ทุกคนต่างก็คิดถึงพระชายาซุน จัดงานมงคล จะขาดพระชายาซุนได้อย่างไร? นางชอบความสนุกสนาน
หยวนชิงหลิงรีบสั่งคนไปเชิญพระชายาซุนมาที่จวน บอกว่าต้องการปรึกษากับนางเรื่องงานแต่งงานของฮูหยินเหยา
พระชายาซุนได้ยินเช่นนี้ คนทั้งคนก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที รีบสั่งคนเตรียมรถม้า ตรงมายังจวนอ๋องฉู่ทันที
นางออกความเห็นอย่างเฉียบขาดว่า “เพราะเป็นการพระราชทานงานแต่งงาน ทั้งสินสอดงานเลี้ยงงานแต่งงานจะกระทำอย่างประหยัดไม่ได้ หากท่านชายสี่ไม่ออกให้ก็ไม่เป็นไร แต่เงินของเขาถ้าพอ ก็ห้ามประหยัด ข้าว่าปกติฮุ่ยเทียนก็ไม่ได้มีตังค์เก็บอะไรมาก ดังนั้นหากท่านชายสี่เป็นฝ่ายออกค่าสินสอด งั้นก็ขอเยอะหน่อย ต่อไปฮูหยินเหยาจะได้ไม่ลำบาก ข้าคิดว่า ยังไงก็ไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งแสนตำลึงมั้ง?”
หยู่เหวินหลิงฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “หนึ่งแสนตำลึง?”
พระชายาซุนพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “นี่ไม่มากเลย ยังไงก็เป็นงานแต่งงานที่ฮ่องเต้พระราชทานด้วยตนเอง และทางด้านฮูหยินเหยาก็ต้องสินสอดติดตัว ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อจะต้องเตรียมให้นางแน่ หนึ่งแสนตำลึงไม่เยอะจริงๆ”
หยู่เหวินหลิงพูดขึ้นว่า “หนึ่งแสนตำลึงไม่เยอะจริงๆ ยังน้อยเกินไป ข้าแค่คิดว่า หนึ่งแสนตำลึงประหยัดไปหรือเปล่า? ท่านชายสี่เห็นว่า จัดทั้งงานแต่งงาน ประมาณไว้ที่ห้าแสนตำลึง ในส่วนของงานเลี้ยงไม่ต้องใช้เงินมาก ส่วนมากให้ซื้อเป็นสิ่งของและสินสอดทองหมั้น และท่านชายสี่บอกว่า ด้านงานเลี้ยงให้จัดเรียบง่ายหน่อย จัดตามที่มีคนมาสักสามวันก็พอ ยังไงเพื่อนในยุธทภพของสำนักเหลิ่งหลังค่อนข้างเยอะ จัดเลี้ยงตามที่มีคนมาเหมาะสมที่สุด ส่วนเงินที่เหลือ เก็บไว้ให้กับฮูหยินเหยา ให้นางเก็บไว้ให้กับจวิ้นจู่ อีกไม่กี่ปีจวิ้นจู่ก็ต้องแต่งงาน เงินพวกนี้ก็สามารถเก็บไว้เป็นสินสอดของจวิ้นจู่ได้พอดี”
พระชายาซุนนึกว่าตนเองเสนอหนึ่งแสนตำลึงเป็นจำนวนที่เยอะมากแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าท่านชายสี่ตั้งงบไว้ตั้งห้าแสนตำลึง หลังจากที่นางได้ยินแล้ว ก็รู้สึกว่าสินสอดของตัวเองน้อยมากเลย ที่จริงสินสอดของนางแค่ห้าหมื่นตำลึงเอง
ฮูหยินเหยาแต่งงานรอบที่สองแล้วนะ
ในใจรู้สึกอิจฉา เหมือนดั่งแม่น้ำที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด
แต่ความอิจฉาเป็นเพียงความรู้สึก เพื่อผลประโยชน์ของฮูหยินเหยาคือสิ่งสำคัญที่สุด จึงรีบพยักหัวพร้อมพูดว่า “ได้ ได้ ทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ท่านชายสี่พูด”
หยู่เหวินหลิงค่อยพูดขึ้นอย่างโล่งอกว่า “งั้นดี สินสอดเราตั้งไว้ที่สามแสนตำลึง เหลืออีกสองแสนตำลึงเอาไว้จัดงาน แต่ท่านชายสี่บอกว่าฮุ่ยเทียนเองก็มีเงินเก็บไว้หลายล้าน ถึงตอนนั้น หากเขาออกบ้าง งานแต่งก็สามารถจัดอย่างยิ่งใหญ่”
พระชายาซุนแทบล้มลงกับพื้น ฮุ่ยเทียนมีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ? เป็นเรื่องน่าละอายต่อราชวงศ์ของพวกเขาจริงๆ
การใช้เงินทองโจมตี ทำให้พระชายาซุนกับหยวนชิงหลิงต่างถอนหายใจ มองตากันอย่างจนใจ