บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1352 อ๋องซุนมาหา (เนื้อหาหายไป1ท่อน)
ในเมืองหลวง กลับมาสงบสุขเหมือนอย่างที่ผ่านมา
จวนอ๋องฉู่ถึงแม้จะคึกคัก แต่ไม่มีหยู่เหวินเห้ากับสวีอีอยู่ในจวน หยวนชิงหลิงยังคงรู้สึกเหงา
อากาศเย็นลงมากแล้ว พวกเด็กๆอยากเรียนรู้เพิ่ม นางจึงสั่งทังหยางไปหาหนังสือมาให้พวกเขามากมาย
ทังหยางปรึกษากับหยวนชิงหลิงว่า ลองไปที่กั๋วจื่อเจียนไหม หาบัณฑิตคนหนึ่งมาสอนพวกเด็กๆ
หยวนชิงหลิงก็เห็นว่าเหมาะสม จึงให้ทังหยางไปหาเหลิ่งจิ้งเหยียน เรื่องนี้ขอให้เหลิ่งจิ้งเหยียนไปช่วยจัดการ
หลังจากเหลิ่งจิ้งเหยียนฟังแล้ว ก็หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “จะไปหาคนอื่นทำไม? ข้าไปเอง”
ชำนาญทั้งฝีมือการต่อสู้ทั้งมีความรู้ เป็นอาจารย์ของพวกเด็กๆเหมาะสมที่สุด
แต่หยวนชิงหลิงรู้ว่าตอนนี้เขามีงานยุ่งมาก กลัวจะเป็นการรบกวนงานราชการของเขา แต่เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดว่ามาตอนกลางคืนครั้งล่ะหนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หยวนชิงหลิงดีใจอย่างที่สุด เมื่อบอกพวกเด็กๆ พวกเด็กๆต่างก็ดีใจ
กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็สั่งคนตามหยวนชิงหลิงมาหา บอกว่าจะส่งเจ้าสิบไปยังจวนอ๋องฉู่ เรียนหนังสือพร้อมกับพวกเด็กๆ
ที่จริงหากเจ้าสิบจะเรียน ห้องหนังสือในวังก็เพียงพอแล้ว แต่วันนั้นฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินเปาจื่อพูดกับเจ้าสิบ คืดว่าเปาจื่อปราบเจ้าสิบได้ ให้เขาติดตามเปาจื่อ บางทีอาจจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง
บอกว่าปรึกษา แต่ที่จริงหยวนชิงหลิงก็ไม่สามารถปฏิเสธ จึงพูดขึ้นว่า “หากฮู่เฟยเห็นด้วย ข้าก็ไม่มีปัญหา”
นางอยากให้ฮู่เฟยคัดค้าน หากเจ้าสิบไปอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ งั้นต่อไปความรับผิดชอบในการดูแลเจ้าสิบก็ตกอยู่ที่นางแล้ว เสด็จพ่อรักเขาขนาดนั้น ว่าก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ ยากยิ่งนัก
อีกอย่าง พวกเขาเรียนด้วยกัน หากพวกเด็กๆเรียนได้ดีกว่าเจ้าสิบ เสด็จพ่อจะคิดว่านางอบรมสั่งสอนได้ไม่ดี
แต่ฮู่เฟยเห็นด้วย ฮู่เฟยยังเชิญหยวนชิงหลิงไปหา พร้อมพูดฝากฝัง
(เนื้อหาหายไป1ท่อน)
“ดี รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว” หยวนชิงหลิงพูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “งั้นต่อไปเจ้าอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ ก็ต้องเรียนรู้หลักการเหตุผลกับใต้เท้าทังใต้เท้าเหลิ่ง เมื่อรู้หลักการและเหตุผล ต่อไปก็จะไม่กระทำผิดง่ายๆ เสด็จพ่อกับท่านแม่ก็จะยังคงรักเจ้าเหมือนเคย”
เจ้าสิบพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ข้าไม่อยากเป็นเด็กไม่ดี”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตาให้เขา ถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี เจ้าจำคำพูดขอเจ้าไว้ให้ดี ต่อไปจะไม่เป็นเด็กนิสัยไม่ดี ไม่ทำอะไรตามใจอีก”
“รู้แล้วขอรับ” เจ้าสิบตอบรับ
หยวนชิงหลิงยิ้มหัวเราะให้กับเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ดี ไม่ร้องไห้ ไปถึงจวนแล้วยังร้องไห้ จะถูกพวกเปาจื่อหัวเราะเยาะเอา”
เจ้าสิบรีบเช็ดน้ำตา แล้วพยายามฉีกยิ้ม
มาถึงจวน เจ้าสิบได้เจอกับพวกเปาจื่อ ก็เล่นกันอย่างมีความสุข ลืมเรื่องที่เมื่อกี้ร้องไห้อยู่บนรถม้าไปหมดแล้ว การหลงลืมง่ายเป็นธรรมชาติของเด็ก ซ่อนความเศร้าไว้ไม่ได้
ตอนพลบค่ำ อ๋องซุนแอบย่องมาอย่างลับๆล่อๆ ตอนที่เข้าประตูมายังหันมองซ้ายมองขวา ทังหยางออกไปรับ เขาก็พูดขึ้นว่า “ภรรยาของข้าอยู่ไหม?”
ทังหยางสงสัยอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “วันนี้พระชายาซุนไม่มา ท่านอ๋อง ท่านมาหานางหรือ? นางไม่ได้มา”
อ๋องซุนโล่งอก ยืดอกยืดเอวตรง พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาทล่ะ? ข้ามาหาพระชายารัชทายาท”
“พระชายารัชทายาทอยู่ขอรับ ท่านเข้าไปนั่งก่อน กระหม่อมไปตามให้ท่าน” ทังหยางพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงจัดการที่พักให้เจ้าสิบเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินทังหยางบอกว่าอ๋องซุนมาแล้ว ในใจแอบสงสัย พร้อมถามขึ้นว่า “อ๋องซุน? เขาบอกว่ามีธุระอะไรไหม?”
“ไม่ได้บอก เข้ามาอย่างลับๆล่อๆ ยังถามว่าพระชายาซุนอยู่ไหม?” ทังหยางพูดขึ้น
“งั้นน่าจะตรงมาจากที่ทำการปกครอง ยังไม่ได้กลับจวน นึกว่าพี่สะใภ้รองอยู่ที่นี่หรือเปล่า ได้ ข้าไปดูว่าเขามาด้วยธุระอะไร”
อ๋องซุนรอนางอยู่ที่ห้องโถง เห็นนางเข้าประตูมา ก็รีบพูดสั่งให้ทังหยางเฝ้าอยู่ข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามา
หยวนชิงหลิงเห็นท่าทีเขาลับๆล่อๆ จึงถามขึ้นว่า “พี่รอง มีธุระอะไรหรือ?”
อ๋องซุนให้นางนั่งลง แล้วก็กระซิบพูดขึ้นว่า “คือ เจ้าจับชีพจรของข้าดู ดูว่าข้าป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน?” หยวนชิงหลิงรีบถามขึ้น
“เจ้าตรวจชีพจรดูก่อน ดูว่าตรวจชีพจรสามารถตรวจรู้ไหม” อ๋องซุนยื่นข้อมือมาวางบนโต๊ะ ให้นางมาจับดูชีพจร
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่สามารถวินิจฉัยจากการจับชีพจร เจ้าลองเล่ามาก่อนไหม เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน? ทำไมถึงคิดว่าตอนเองป่วยหนัก?”
อ๋องซุนเบิกตาโตมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นถึงหมอเทวดาแล้ว ทำไมถึงไม่รู้? เจ้าวินิจฉัยออกมา ข้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ทำไมถึงพูดไม่ได้? เจ้าพูดออกมา เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหน? ทำไมถึงคิดว่าตนเองป่วยหนัก? ปวดหัว? เจ็บหน้าอก? หรือว่าไม่สบายตรงไหน? เจ้าบอกมาก่อน ข้าจะได้ตรวจง่าย”
อ๋องซุนโบกมือ พร้อมพูดขึ้นว่า “ตรวจ? ไม่ต้องตรวจ เจ้าตรวจชีพจร เจ้าตรวจชีพจรแล้วก็สั่งยาให้ข้า ฉีดยาก็พอแล้ว”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดไม่ได้หรือ? เจ้าไม่สามารถรู้ได้จากการจับชีพจรแล้วรู้ว่าเจ้าเป็นอะไร”
อ๋องซุนพูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ทำไมถึงจับชีพจรแล้วไม่รู้ว่าข้าป่วยเป็นอะไร? เจ้าลองจับ ฟังดูก่อนสิ”
“หากเจ้าอยากให้จับชีพจร เจ้าไปหาหมอหลวงไหม?” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“เคยไปหาแล้ว เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร แสดงว่าฝีมือทางการแพทย์ไม่ดี ฝีมือทางการแพทย์ของเจ้าดี เจ้ามาช่วยตรวจชีพจรให้ข้า รีบหน่อย” อ๋องซุนพูดเร่ง
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “เจ้ารอก่อน ข้าไปเอาเครื่องช่วยฟัง จริงๆเลย เจ้าไม่พูด ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นอะไร?”
นางออกไปแล้วก็ถือกล่องยาเข้ามาอีกครั้ง หยิบหูฟังมาฟังเสียงหัวใจและปอดของเขา แต่แค่ฟังเช่นนี้ สามารถฟังรู้เรื่องอะไร?