บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1622 แบ่งแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว
อ๋องเว่ยเลิกคิ้ว นี่เจ้ากำลังแก้แค้นอยู่ใช่หรือไม่?
ไม่ใช่แก้แค้น แค่พูดเรื่องจริง อ๋องอานท่าทางลำพอง ใครใช้ให้เขาเลี่ยงความรับผิดชอบแล้วปล่อยให้เขารับมือกับเรื่องพวกนั้นคนเดียวล่ะ สมควรจิกกัดเขาสักดอกให้ได้รู้เสียบ้าง
อ๋องเว่ยพ่นลมหายใจฮึดฮัด ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดหาวิธีอธิบายให้เจ้าห้าฟังเอาเองแล้วกัน ในฐานะที่หนังสือแสดงสมบัติเล่มนี้ยังอยู่ในมือเจ้า
อ๋องอานยังคงถือหนังสือแสดงสมบัติเล่มหนาปึ๊กไว้ในมือ ของสิ่งนี้ จะโยนทิ้งก็ทำไม่ได้ จะถือไว้ก็ร้อนลวกมือสิ้นดี
นี่มันกับดักชัด ๆ ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกน่าจะแกล้งทำเป็นป่วย แล้วให้เจ้าสามมาคนเดียวเสียก็ดี
พวกเขาต่างกลับห้องไปอาบน้ำ เพิ่งจะเอนตัวนอนลงบนเตียง ก็ได้ยินว่าเจ๋อหลานมาแล้ว ทั้งสองคนดีดตัวลุกจากเตียงทันที แล้วรีบดึงประตูเปิดออกไปพบเจ๋อหลานอย่างรวดเร็ว
เดิมทีอ๋องอานหยิบหนังสือแสดงสมบัติไปด้วย แต่คิดว่ามันไม่ดีถ้าจะส่งไปให้เจ๋อหลาน ถ้านางรับไป จะไม่เท่ากับว่านางยอมรับว่าตัวเองเป็นฮองเฮาแห่งแคว้นจินหรอกรึ ไม่ได้ ไม่ได้
อย่างน้อย ฮ่องเต้น้อยก็ยังไม่ผ่านด่านของเขา
หลังจากที่ทักทายท่านลุงทั้งสองคนแล้ว เจ๋อหลานก็นั่งลงแล้วพูดว่า ท่านลุง เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ โปรดอย่าบอกพ่อของข้าเลยนะ
อ๋องอานแทบจะไม่ต้องร้องขอ รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ลุงก็คิดอย่างนี้เช่นกัน คงต้องปิดบังพ่อของเจ้าไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไรลงไปบ้าง
ใช่แล้ว ข้าก็กังวลเช่นกัน ความกังวลที่หนักหนาที่สุดของเจ๋อหลาน มาจากปัญหาที่อาจจะเกิดจากพ่อของนางนี่ล่ะ
ฮ่องเต้น้อยนี่ก็จริง ๆ เลย คำสัญญาของเด็ก ๆ ก็เอามาถือเป็นจริงเป็นจังไปได้ ต่อให้เขาสัญญาว่าจะแต่งงานกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่เคยรับปากเสียหน่อย อ๋องอานพูด
เจ๋อหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นข้ารับปากไปแล้วน่ะสิ แต่เอาจริง ๆ ก็เพื่อจะปลอบใจเขา กลัวว่าบาดแผลของเขาจะรุนแรงจนรับไม่ไหว
รับปากแล้วรึ? อ๋องอานกับอ๋องเว่ยหันมามองหน้ากันทันที ทำไมถึงรับปากไปแล้วล่ะ?
ถ้าอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะโทษแค่ฮ่องเต้น้อยฝ่ายเดียวทั้งหมดไม่ได้แล้วสิ
แต่ตอนนั้น เจ้าเพิ่งอายุได้แปดเก้าขวบเองนะ มันก็แค่คำพูดของเด็ก ๆ ที่รับปากเขาไป มันเอามาถือเป็นจริงเป็นจังได้ด้วยรึ ? อ๋องเว่ยรีบหาข้อแก้ตัวทันที
เจ๋อหลานก็กังวลเช่นกัน ทำไมเขาถึงได้คิดเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้นะ?
เป็นเพราะเขาจริงจังมาก แต่นางกลับไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับมันเลยมาตลอดสามปี ดังนั้นตอนที่อยู่ในวัง นางจึงไม่สามารถยกเรื่องนี้มาถกกับเขาได้ เพราะนางไม่ได้ทุ่มเทอะไรเลยสักอย่าง
กระทั่งตอนที่รู้ว่า เขาพูดว่าจะแต่งงานกับพี่สาวของอะหลัน นางก็ยังเคยรู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่าเขาโง่มาก
แต่ชั่วขณะที่ได้เข้าวังไปพบหน้าเขา ในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เป็นความตื่นเต้นที่ไม่อาจบอกเหตุผลได้ ลมหายใจก็กระชั้นถี่ขึ้นมาทันที
สามปีที่ไม่ได้เจอกัน ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ที่จะหาร่องรอยของฮ่องเต้น้อยองค์นั้นที่เขาเคยเป็น เขาเติบโตขึ้นแล้ว หนักแน่นและใจเย็นมากกว่าแต่ก่อน เมื่อมองดูทุกสิ่งที่เขาทำตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ก็สามารถเล็งเห็นความเก่งกาจในด้านการปกครองประเทศของเขาได้เป็นอย่างดี
เขามีความสามารถพอที่จะกลายเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงปราดเปรื่ององค์หนึ่ง
เจ๋อหลานไม่เคยสงสัยในจุดนี้เลยแม้แต่น้อย
เจ๋อหลาน? อ๋องอานเห็นนางเหม่อลอย จึงร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง เจ้าตกใจมากเลยสินะ?
ไม่ใช่! เจ๋อหลานถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าข้าตกใจ แค่รู้สึกว่าข้ายังเด็กเกินไป ยังไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้
ใช่ เจ้าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ ทำเหมือนว่าเจ้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน อ๋องอานพยักหน้ารับ
แม้ว่าฮ่องเต้น้อยจะมีความสามารถโดดเด่นแค่ไหน แต่ถ้ารู้จักวางแผนดึงเขาไปตกหลุมพราง ก็ถือว่าไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก
เจ๋อหลานพูดว่า พรุ่งนี้ข้ายังต้องเข้าวังไปหารือเรื่องขุดเหมืองกับเขาอีก ดังนั้น มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ได้รู้จักเขาก็เป็นผลดีมากเช่นกัน อย่างน้อย เขาก็ให้เงื่อนไขเรื่องความร่วมมือในการทำงานที่ดีมาก ๆ กับพวกเราได้
จริงรึ? ถ้าอย่างนั้นก็ดี ดีมาก ๆ เลย อ๋องเว่ยยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเบิกบานดั่งได้รับสายลมโชยในฤดูใบไม้ผลิ ถ้าการขุดเหมืองประสบผลสำเร็จ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเมืองโร่ตูอย่างมาก
พวกเราสามารถเอาเปรียบได้ แต่ให้คำมั่นสัญญาแบบส่วนตัวไม่ได้ อ๋องเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
เจ๋อหลานถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ท่านลุง ท่านช่างฉลาดหลักแหลมจริง ๆ
นั่นสิ เรื่องของบ้านเมืองก็คือเรื่องของบ้านเมือง เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว ไม่ควรเอามาปะปนกัน
เจ๋อหลานพูดว่า คืนนี้ข้าก็พักที่ที่พักอาคันตุกะเลยดีกว่า พรุ่งนี้พวกท่านก็เข้าวังไปพร้อมกับข้าเลยแล้วกัน
ได้ วางใจเถอะ ลุงจะไปกับเจ้าเอง อ๋องอานพูด
เจ๋อหลานลุกขึ้นแล้วค้อมกายกล่าวลา จากนั้นก็พาเหลิ่งหมิงหยู่กับแม่นางโจวออกไป
วันรุ่งขึ้นเข้าวัง มีอ๋องทั้งสองร่วมทางไปด้วย เมื่อไปถึง เซินกงกงก็เชิญพวกเขาให้ไปที่ห้องทรงพระอักษร
จิ่งเทียนดูเหมือนคนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน สีหน้าซีดเผือดลงไปเล็กน้อย แต่เมื่อได้เห็นเจ๋อหลาน ดวงตาของเขาก็ยังเป็นประกาย
เมื่อรู้ว่าจะมีการพูดคุยเรื่องความร่วมมือในวันนี้ ทั้งอ๋องอานและอ๋องเว่ยต่างก็ละทิ้งอคติ เห็นท่าทางที่จิ่งเทียนมองดูเจ๋อหลาน ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
พวกเขาเองก็เคยเป็นเด็ก เคยผ่านการตกหลุมรักใครสักคน ย่อมรู้ว่าเมื่อไหร่ที่มีคนคนนั้นอยู่ในใจ พวกเขาจะยินดีทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี ๆ หรือแม้แต่เรื่องแย่ ๆ ที่โหดร้ายน่ากลัวแค่ไหนก็ได้เพื่อนาง
เมื่อคิดถึงสิ่งที่จิ่งเทียนทำ แท้ที่จริงแล้ว มันก็แค่การพยายามเอาชนะใจคนที่เขาชอบไม่ใช่รึ?
การวางแผนออกจะใหญ่เกินไปหน่อย แต่เพราะอายุยังน้อย ก็พอจะเข้าใจได้
จิ่งเทียนเดินลงไปกล่าวขอโทษอ๋องทั้งสองด้วยตนเอง เมื่อคืนนี้ข้าคิดทบทวนถึงเรื่องนั้น รู้สึกว่าการจัดการเรื่องเมื่อวานทำให้ท่านอ๋องทั้งสองต้องลำบากใจ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด!
อ๋องเว่ยรีบลุกขึ้นแล้วคำนับกลับไป ฝ่าบาทอย่าได้เก็บไปเป็นอารมณ์ เราทุกคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในวันข้างหน้าพวกเราสองแคว้นจะมีการแลกเปลี่ยน ไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจก็ได้
จิ่งเทียนพยักหน้า ท่านอ๋องพูดได้ถูกต้อง วันหน้าพวกเราต้องติดต่อไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ
เขาพูดไปพลาง สายตาก็ชำเลืองมองไปที่เจ๋อหลาน เจ๋อหลานยังคงอ่านการแผ่นนั้นอยู่ รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาอย่างเร่าร้อน นางเงยหน้าขึ้น ชั่วขณะที่สบสายตากัน นางก็ยกยิ้มน้อย ๆ ใบหน้าขาวนวลผุดริ้วสีแดงเข้มสายหนึ่ง
ทั้งสองแคว้นมีความเห็นพ้องต้องกันในการขุดเหมืองแร่ เงื่อนไขก็เอื้ออำนวยต่อเมืองโร่ตูมาก ดังนั้น เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ลงนามในสัญญา เพื่อทำข้อตกลงในการพัฒนาร่วมกัน
จิ่งเทียนสั่งให้คนเตรียมอาหาร แล้วเชิญพวกเขาไปกินข้าวร่วมกัน
หลังอาหาร เจ๋อหลานบอกว่าอยากออกไปเดินเล่น จิ่งเทียนอยากไปด้วย แต่เจ๋อหลานกลับบอกว่าให้เซินกงกงนำทางให้ก็พอแล้ว
จิ่งเทียนทำได้แค่ให้เซินกงกงตามไปดูแลรับใช้ อย่าได้ละเลย องค์หญิงเป็นอันขาด
คำว่า องค์หญิงคำนี้ ทำให้อ๋องอานกับอ๋องเว่ยรู้สึกวางใจได้เล็กน้อย
รอจนเจ๋อหลานพาแม่นางโจวกับเหลิ่งหมิงหยู่ออกไป อ๋องอานก็ยื่นหนังสือแสดงสมบัติส่งกลับไปให้จิ่งเทียน หนังสือแสดงสมบัติเล่มนี้ ฝ่าบาทรับคืนไปเถิด เรื่องของพวกท่าน รอให้เจ๋อหลานโตก่อน แล้วค่อยมาคุยกันอีกที
แต่จิ่งเทียนกลับเปลี่ยนแปลงท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อครู่ไปทันที กดมือลงบนหนังสือแสดงสมบัติ แล้วพูดว่า ไม่ หนังสือแสดงสมบัติเล่มนี้ ข้าไม่ขอรับมันคืน ข้าไม่มีวันยอมปล่อยมือจากเจ๋อหลาน ข้าจะแต่งนางเป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน
เจ้า… ไม่ใช่บอกว่าให้รอจนกว่าเจ๋อหลานจะโตก่อนหรอกหรือ? เจ๋อหลานเองก็ยังไม่ได้รับปากเสียหน่อย อ๋องอานร้อนใจแล้ว
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของจิ่งเทียน เดิมที หนังสือแสดงสมบัติเล่มนี้ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับมอบให้เจ๋อหลานอยู่แล้ว ข้าแค่อยากให้ท่านอ๋องทั้งสองรับมันไป เพื่อประกาศให้ใต้หล้าได้รู้ การจะได้แต่งงานกับเจ๋อหลานนั้น ข้ารู้ว่ามันต้องยากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก แต่เมื่อทั้งสองท่านรับหนังสือแสดงสมบัตินี้ไป เช่นนั้น เมื่อข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่านทั้งสองคนในอนาคต ข้าแค่อยากจะขอให้พวกท่านพูดจาดี ๆ ต่อหน้าท่านพ่อตาสักหลาย ๆ ประโยค พวกเราต่างก็นั่งลงบนเรือลำเดียวกันแล้วล่ะนะ
เจ้ามันจอมเจ้าเล่ห์เพทุบาย! อ๋องอานโกรธจัด ถึงขั้นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีสถานะเป็นถึงฮ่องเต้ นี่เจ้าวางแผนดักชัด ๆ
จิ่งเทียนส่ายหน้า ข้าไม่มีทางวางแผนดักเจ๋อหลาน ข้าแค่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อคลี่คลายปัญหาเรื่องการแต่งงานกับเจ๋อหลานให้ได้ ขอเพียงท่านพ่อตากับท่านแม่ยายตอบตกลง ข้าจะเพียรพยายามไขว่คว้า ทำให้เจ๋อหลานชอบข้าให้ได้ และจะเฝ้ารอจนกว่านางจะเติบโต
อย่างเจ้านี่ยังไม่เรียกว่าวางแผนดักอีกรึ? อ๋องอานโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
จิ่งเทียนพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า ถ้าข้าคิดวางแผนดักเจ๋อหลานจริง ๆ เช่นนั้นหนังสือแสดงสมบัติเล่มนี้ก็ต้องมอบให้เจ๋อหลานถึงจะถูกต้อง ข้ามีวิธีที่จะทำให้นางยอมรับมันได้อยู่แล้ว แต่ข้าก็ไม่ทำ ข้าให้นางมีสิทธิ์เลือก แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประกาศต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า ดังนั้นข้าพูดอะไรไป ข้าก็จะทำตามที่พูดให้ได้ ถ้าเจ๋อหลานไม่แต่งกับข้า เช่นนั้นตำแหน่งฮองเฮาของข้าก็จะว่างไปตลอดกาลก็เท่านั้น