บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1653 รักษา
เพราะว่าหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงยังไม่มา พี่ชายทั้งหลายจึงพาจิ่งเทียนเข้าไปในตำหนักก่อน คุยเล่นกัน สักพัก
เนื้อหาในการคุยเล่นนั้น ก็ไม่พ้นเรื่องที่เอ่ยถึงว่ากวาเอ๋อนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของพวกเขา ความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานของกวาเอ๋อในภายหน้า ข้อเรียกร้องที่มีต่อสามีในอนาคตของนาง
พวกเขาไม่ได้พูดจาอย่างจองหอง
แต่กลับเป็นกันเองมาก
เพียงแต่ในความเป็นกันเองนี้ สามารถฟังออกถึงความหมายที่แฝงด้วยความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
แต่สติปัญญาของจิ่งเทียนก็สูงมาก เห็นได้ชัดว่าฟังออกแล้ว แต่กลับทำราวกับไม่ได้ยิน อบอุ่นเป็นกันเอง ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งยังเห็นด้วยในบางประโยค
โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงข้อเรียกร้องต่อสามีในอนาคตของเจ๋อหลาน เขาได้ออกความคิดเห็นของตนเองต่อข้อเรียกร้องที่พวกเขาพูด บอกว่าเรื่องอื่นนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือรู้จักให้เกียรติเจ๋อหลาน และมีนางอยู่ในใจตลอดเวลาเป็นต้น
พวกพี่ๆต่างก็ไม่เคยมีความรักมาก่อน เงื่อนไขที่ให้ความสำคัญล้วนเป็นปัจจัยภายนอก ส่วนเรื่องที่บอกว่าต้องมีเจ๋อหลานอยู่ในใจตลอดเวลานั้น ยังนึกไม่ถึง
เมื่อจิ่งเทียนพูดออกมา พวกเขาต่างก็สบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกว่านี่ก็ควรจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ทำอย่างไรดี เจ้าฮ่องเต้น้อยคนนี้ก็ไม่ได้น่ารำคาญอย่างที่คิดเอาไว้แต่แรก
กระทั่ง ยังรู้สึกว่ามีความน่ารักอยู่เล็กน้อย
เอาเถอะ เห็นแก่ที่มีส่วนร่วมในหัวข้อสนทนาเดียวกัน ลองคุยกันอีกสักหน่อยก็ได้
เจ๋อหลานที่นั่งฟังอยู่ข้างๆรู้สึกหมดอาลัยตายอยากมาก พวกพี่ชายกลับมานางรู้สึกดีใจมาก แต่ว่าตอนนี้กลับถูกทอดทิ้งไม่สนใจ นางคิดว่าถ้ายังพูดต่อไปเช่นนี้ จิ่งเทียนจะกลายเป็นพี่ชายของนางไปอีกคนแล้ว
เช่นนั้น นางก็จะมีพี่ชายหกคน
ในขณะที่เจ๋อหลานเกือบจะนอนหลับไปแล้ว สองสามีภรรยาหยู่เหวินเห้าก็มาถึง
ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน ต้อนรับฮ่องเต้ฮองเฮาเข้าสู่ตำหนัก
สองสามีภรรยาต่างก็ดีใจมาก ในที่สุดก็ได้เห็นลูกทั้งหมดอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว แม้ว่าเมื่อครู่ตอนที่พวกเขากลับมาถึงก็ได้ไปเข้าเฝ้าพ่อแม่แล้ว แต่ว่าตอนนี้เห็นพวกเขานั่งคุยกัน ยังคงรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ
สองสามีภรรยาจูงมือกันเดินเข้ามาในตำหนัก เจ้าห้าถามว่า คุยเรื่องอะไรกัน ดูสนุกสนานกันจริงๆ ข้าอยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงพวกเจ้าคุยกันแล้ว
ทังหยวนพูดว่า ท่านพ่อ พวกเราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย คุยกันเสร็จแล้ว
ทางที่ดีที่สุดคือแสดงให้เห็นว่าไม่ได้คุยถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น ท่านพ่อค่อนข้างใจแคบ
หยู่เหวินเห้านั้นความรู้สึกไวมาก แวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าพวกลูกชายได้ปลดความรู้สึกเป็นศัตรูที่มีต่อจิ่งเทียนออกแล้ว
แต่ไม่ได้พูดออกไป รอให้จิ่งเทียนเดินเข้าไปคำนับ เขาก็เชิญจิ่งเทียนนั่งลง
จิ่งเทียนก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที ไม่มีทีท่าพูดคุยหัวเราะกับพวกหนุ่มน้อยอย่างเช่นเมื่อครู่
หยวนชิงหลิงให้มู่หรูกงกงไปสั่งให้คนยกอาหารมา
จิ่งเทียนรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มีความหมายไม่ธรรมดา
พวกเขาทั้งครอบครัวกินข้าวกับเขา บอกว่าเป็นงานเลี้ยงในครอบครัว นี่มีความหมายอะไรแฝงอยู่หรือไม่
เขามองเจ๋อหลานแวบหนึ่ง เจ๋อหลานพิงอยู่ข้างกายฮองเฮา เผยให้เห็นถึงความน่ารักของลูกสาวคนเล็ก เขาหวั่นไหวขึ้นมาทันที ตอนที่เจ๋อหลานอยู่กับเขา จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่เหมาะสมกับอายุของนาง น้อยมากที่จะเห็นความออดอ้อนน่ารักเช่นนี้
ตอนที่กินข้าว หยู่เหวินเห้าได้ถามพวกลูกชายถึงสถานการณ์ของหัวเมืองบ้าง บรรยากาศอบอุ่นมาก จิ่งเทียนจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นมากนัก
และได้ยินเรื่องของหัวเมืองที่พวกเขาพูดถึง ฟังแล้วก็รู้สึกสนใจมาก และรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้น พวกเขาออกจากบ้านตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
และที่ไม่เหมือนกันกับเขา ตอนนั้นเขาถูกบีบให้ทำเรื่องที่ไม่ถนัดเลย ตอนที่ขึ้นครองราชย์ก็เป็นแค่หุ่นเชิด ถูกอ๋องเจิ่นกั๋วควบคุมมาตลอด ภายหลังการยึดคืนอำนาจ ก็ล้วนอาศัยโอกาสจากการที่ใช้น้ำแข็งทำร้ายอ๋องเจิ่นกั๋ว เขานอนติดเตียงอยู่นาน มีอาการบาดเจ็บซ้ำซาก เขาจึงมีโอกาสนี้
แต่พวกเขาพี่น้องเกิดในแผ่นดินที่สงบสุขรุ่งเรือง และเป็นช่วงเวลาที่ไร้กังวล ยังสามารถรู้สำนึกในหน้าที่ของตนเองถึงเช่นนี้ ปล่อยวางชีวิตขององค์ชายที่สุขสบาย ไปเผชิญกับอุปสรรคยังหัวเมืองชายแดน ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ
แล้วก็อดที่จะคิดถึงแคว้นจินขึ้นมาไม่ได้ ถ้าหากคนในราชวงศ์ของแคว้นจินต่างก็มีสำนึกเช่นนี้ คงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เจริญแน่
ฮ่องเต้ กินซิ หยวนชิงหลิงเห็นเขาเหม่อลอย ก็คีบอาหารให้เขา เผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นเพื่อดูแลเขา
จิ่งเทียนมองใบหน้าที่อ่อนโยนของฮองเฮา ในหัวใจรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ นี่เป็นท่านแม่ของเจ๋อหลาน มีแม่ช่างดีจริงๆ
หยวนชิงหลิงเห็นเขามองตนเองนิ่งๆ นึกถึงเรื่องชาติกำเนิดของเขา ก็รู้สึกเข้าอกข้าใจขึ้นมาหลายส่วน พูดว่า กินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ
ขอบพระทัยฮองเฮา จิ่งเทียนเอ่ยเสียงเบา
หยวนชิงหลิงยิ้ม กลับรู้สึกว่าเรียกท่านป้าจะรื่นหูกว่า
การกินข้าวมื้อนี้อบอุ่นมาก เป็นครั้งแรกที่จิ่งเทียนร่วมงานเลี้ยงในครอบครัวที่มีความสุขมากเช่นนี้ อีกอย่า ยังสามารถพูดคุยหัวเราะกัน ครอบครัวของฮ่องเต้ สามารถเป็นกันเองได้ถึงขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่พบเจอจริงๆ
จำได้ว่าตอนที่เสด็จพ่อยังไม่ตาย เขาถูกรับตัวกลับไปอยู่ด้วยชั่วคราว น้อยมากที่เสด็จพ่อจะกินข้าวร่วมกับเขา มีเพียงบางครั้งเท่านั้น และไม่อนุญาตให้พูดคุยอย่างเด็ดขาด กินข้าวก็ค่อนข้างมีกฎระเบียบอย่างยิ่ง
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าก็เรียกจิ่งเทียนไปยังตำหนักด้านข้าง
เพราะวันนี้เจ๋อหลานได้บอกไปแล้ว ฉะนั้นหยวนชิงหลิงจึงได้พูดกับเขาเรื่องวิธีการรักษาเท่านั้น
หลังจากจิ่งเทียนฟังแล้ว ยังคงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง เดิมทีเขาคิดว่าต้องดื่มเลือด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายเลือดในแบบที่ฮองเฮาพูดถึง เอาเลือดถ่ายให้เขาโดยตรงจากหลอดเลือด
เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยเจาะเลือดของจิ่งเทียน รู้ว่าสามารถเข้ากันได้กับของเจ้าห้า ฉะนั้น ในส่วนของการทดสอบเลือดนั้นไม่ต้องทำแล้ว สามารถถ่ายเลือดได้โดยตรง
จิ่งเทียนเห็นฮ่องเต้ของเป่ยถังเจาะเลือดของตนเองตั้งมากมายให้กับเขา ก็รู้สึกหวาดกลัวมาก ถามหยวนชิงหลิงว่า ร้ายแรงหรือไม่ เขาจะเป็นอะไรหรือไม่
ไม่เป็นไร วางใจเถอะ หยวนชิงหลิงพูด
จิ่งเทียนตอบรับเสียงหนึ่ง มองหยู่เหวินเห้าอย่างตื่นเต้น
หยู่เหวินเห้าก็มองเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง เห็นทีเจ๋อหลานจะพูดถูก เจ้าเด็กคนนี้เลื่อมใสในตัวเขามากจริงๆ
หลังจากถ่ายเลือดแล้ว จิ่งเทียนต้องนอนนิ่งๆประมาณครึ่งชั่วยาม ให้หยวนชิงหลิงสังเกตอาการของเขา
เริ่มแรกจิ่งเทียนรู้สึกไม่เป็นธรรมชาตินัก เพราะเขานอนอยู่ที่นี่ ฮองเฮานั่งอยู่ข้างเตียง และถามว่าเป็นอย่างไรบ้างอย่างอ่อนโยนขึ้นมาเป็นระยะ บางครั้งก็ยกน้ำมาให้เขาดื่ม ฮ่องเต้ก็นั่งมองเขาอยู่ข้างๆ ใบหน้าไม่มีแววแห่งความน่าเกรงขาม แต่ก็ไม่นับว่าเป็นกันเอง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็เริ่มรับรู้ถึงความอบอุ่นนี้ ในใจถึงกับคิดไปว่าฮองเฮาเป็นแม่ของตนเอง
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เจ๋อหลานก็เข้ามา อิงแอบอยู่ข้างกายหยวนชิงหลิงถามถึงอาการของจิ่งเทียน จิ่งเทียนไม่ได้บอกว่ารู้สึกอย่างไร ทุกอย่างล้วนดีมาก
เจ๋อหลายอยู่เป็นเพื่อนเขา
จิ่งเทียนรู้สึกว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ คงไม่พ้นตอนนี้
หนุ่มน้อยทั้งห้าคนก็เข้ามา ถามไถ่กันสักพัก เดิมทีพวกเขามีความรู้สึกระแวงและเป็นศัตรูอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนที่เห็นเขานอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ ความเป็นศัตรูของพวกเขาได้มลายหายไปหมดแล้ว
ตระกูลหยู่เหวินแห่งเป่ยถัง ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน
หยวนชิงหลิงพูดว่า ช่วงนี้เจ้าก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อน ถ้าหากเจ้าไม่วางใจ สามารถให้ขุนนางที่ติดตามเจ้าเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้
จิ่งเทียนปฏิเสธทันที ไม่ต้อง ให้พวกเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม สามารถเดินเที่ยวได้ด้วย ชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามและความเจริญรุ่งเรืองของเป่ยถัง
พวกเขาเข้าวัง ต้องอยู่เฝ้าเขาอย่างไม่ยอมห่างกายเป็นแน่ เป็นการเกะกะลูกตาและพื้นที่เสียเปล่า
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า ได้ ในเมื่อเจ้าเชื่อใจพวกข้า พวกเราจะพยายามช่วยเจ้าอย่างเต็มที่
ขอบคุณท่านป้า จิ่งเทียนเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
เรียกท่านป้าอีกแล้ว หยู่เหวินเห้าสีหน้าเรียบเฉย
จิ่งเทียนจึงอาศัยอยู่ในวังเช่นนี้เอง หยวนชิงหลิงทำการถ่ายเลือดให้เขาทุกวัน สังเกตอาการของแมลงน้ำแข็ง
มีความคืบหน้าทุกวัน แมลงน้ำแข็งตายไปบ้างเป็นส่วนน้อย และส่วนใหญ่กำลังจำศีล หยุดการขยายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เท่ากับว่า สามารถควบคุมได้เป็นการชั่วคราวแล้ว
หยวนชิงหลิงทดลองใช้ยาไอบรูโบเฟนใส่เข้าไปในเลือดเล็กน้อย ดูว่าสามารถฆ่าแมลงน้ำแข็งได้หรือไม่
เพียงแต่ อย่างไรเสียหยวนชิงหลิงก็ต้องกลับไปยังยุคปัจจุบัน เพราะที่นี่สามารถใช้ได้แค่กล้องจุลทรรน์เท่านั้น ไม่สามารถทำการแยกแยะวิเคราะห์อย่างอื่นได้ และหลังจากการรักษาด้วยเลือดแล้วมีการเปลี่ยนแปลงของยีนเกิดขึ้นหรือไม่ จุดนี้ก็ไม่สามารถรู้ได้
นางคำนวณระยะเวลา เวลาสามวันนั่นเพียงพอ ระหว่างการเดินทางไปกลับแค่ตัวนางคนเดียวนั้นเสียเวลาไม่มากนัก และหลังจากกลับไปแล้วหมกตัวอยู่แต่ในห้องวิจัย ไม่ไปไหนทั้งนั้น หลังจากสามวันผลทุกอย่างก็สามารถสรุปออกมาได้