บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1715 พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต
สวีอีส่ายหน้า ที่จริงกระหม่อมไม่เชื่อวาสนาอะไร เชื่อแต่การปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ หลายปีนี้พบเห็นมามาก องครักษ์แม้นมีใจจงรัก แต่หากพบกับนายไม่ดีแล้ว ก็ต้องพบจุดจบที่ไม่ดีเช่นกัน แต่กระหม่อมในตอนนั้นเป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ ในจวนอ๋องฉู่ ติดตามอยู่ข้างกายท่านอ๋องทำงานปรนนิบัติรับใช้ ความฝันอันสูงสุดในตอนนั้นก็คือเก็บเงินแต่งเมียสักคน ใช้ชีวิตปกติธรรมดา บางทีเมียยังอาจจะอัปลักษณ์สักหน่อย
หยู่เหวินเห้ากลั้นหัวเราะไม่อยู่ แทบจะพ่นสุราออกมา ทำไมเมียต้องอัปลักษณ์ด้วยเล่า?
มิใช่ว่าต้องอัปลักษณ์พ่ะย่ะค่ะ แต่แต่งกับคนสวยไม่ได้ พระองค์ก็ทรงทราบฐานะทางบ้านกระหม่อม มิอาจเอื้อมถึงอะซี่ของกระหม่อมได้
อย่าได้เหยียบย่ำตนนัก
มิใช่ว่าเหยียบย่ำตนพ่ะย่ะค่ะ แต่รู้ฐานะของตนดี ละทิ้งความเพ้อฝันที่ไม่เป็นจริงเหล่านั้นแล้วจึงจะอยู่อย่างสงบและมีเหตุผลได้ อย่างน้อยเวลานั้นก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ สวีอีส่ายศีรษะ แต่กลับจริงจังถึงที่สุด
หยู่เหวินเห้ามองเขา สวีอี เช่นนั้นเวลานี้เจ้ามีความฝันยิ่งใหญ่ยาวไกลอะไรหรือไม่ หรือยังอยากได้สิ่งใด?
สวีอีส่ายหน้า ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ และไม่อยากได้สิ่งใดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกิดเป็นคนอย่าได้หวังมากเกินไป และอย่าได้แสวงหาเกินตัว พอใจกับปัจจุบัน แม้จะไม่ดักดาน แต่จิตใจก็เงียบสงบ การแสวงหาและความปรารถนาล้วนไม่มีที่สิ้นสุด เหนื่อยเกินไป
หยู่เหวินเห้าหวั่นไหวเล็กน้อย สวีฟันหลอกลับกล่าวคำที่เต็มไปด้วยปรัชญาเช่นนี้ได้ หายากจริงๆ
นี่คงมิใช่การพูดเลียนแบบผู้อื่น แต่เป็นความรู้สึกจากใจของเขาเอง
สวีอีเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ
เหนื่อยเกินไป เช่นนั้นเจ้ายังจะเป็นองครักษ์ของข้าหรือไม่?
สวีอีหัวเราะขึ้นมา อยากได้เงินมากหน่อย นี่มิใช่ความต้องการอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ มีลูกสาวลูกชาย ในตัวมีเงินมากหน่อยถึงอุ่นใจ แต่ที่สำคัญคือกระหม่อมอยู่กับฝ่าบาทมาหลายปีขนาดนี้ จู่ๆ หากไม่อยู่ข้างพระวรกายพระองค์จะไม่เคยชิน ในใจเหมือนขาดอะไรไป เป็นอย่างเวลานี้ก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ รู้สึกปลอดภัย
ทึ่มจริง! เสียงหยู่เหวินเห้าอ่อนโยนมากขึ้น ที่จริงเขาก็ไม่เคยชินเหมือนกัน หากสวีอีไม่อยู่ข้างกายก็มักรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
สวีอีเอ่ย กระหม่อมกับใต้เท้าเคยพูด ว่าชาตินี้ติดตามฝ่าบาทเช่นนี้ หากมีชาติหน้า ก็ติดตามต่อแล้วกัน
หยู่เหวินเห้าเงียบ คำพูดนี้ของสวีอีก็เกือบทำให้เขาน้ำตา ร่วงพรู พูดไม่ออก
สำหรับเขาแล้ว สวีอีกับใต้เท้าทังมีความหมายที่ต่างออกไป ไม่ว่าข้างตัวเขาในเวลานี้หรือในอนาคตจะปรากฏคนที่ให้ทำงานใหญ่ได้เท่าไร ก็ไม่เหมือนกับพวกเขาทั้งสอง เพราะพวกเขาเติบโตมากับเขาตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่น
มิตรภาพวัยหนุ่มมีค่ายากพานพบ
บางครั้งเขาเข้มงวดรุนแรงกับสวีอีมาก มักรู้สึกว่าเขายังพยายามได้มากกว่านี้
แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้ว ก็รู้สึกว่ายังต้องพยายามอย่างไรอีก? เดิมสวีอีก็เป็นคนเรียบง่ายพอใจง่ายเช่นนี้ หากมีใจสร้างผลงานขึ้นมาจริง ก็จะไม่เข้ากับเขา
อีกอย่าง จิตใจเช่นนี้หรือจะไม่ล้ำค่า?
เมื่อเข้าแวดวงชื่อเสียงผลประโยชน์ ยังคงรู้ในฐานะของตนดี ไม่ไปสู้จนเลือดตกยางออก แต่แค่ทำงานของตัวเองเงียบๆ
ที่จริงนี่ก็เรียกว่ามีอนาคตเช่นกัน
เขารินสุราให้สวีอีด้วยตนเอง รอยยิ้มเปื้อนทั่วใบหน้า และจู่ๆ ก็รู้สึกว่ายามบ่ายนี้ไม่น่าเบื่อสักนิด ดื่มเถอะ
สวีอีเป็นสักขีช่วงวัยหนุ่มทั้งหมดของเขา
และคนผู้นี้ก็ยังจะอยู่กับเขาต่อไปกระทั่งเฒ่าชรา
ฝ่าบาท สวีอีดื่มไปอีกจอก วิงเวียนศีรษะ ทรงเคยคิดไหมพ่ะย่ะค่ะ หากตอนนั้นที่อภิเษกด้วยมิใช่ฮองเฮา แต่เป็นผู้อื่น เวลานี้พระองค์จะเป็นเช่นไร? กระหม่อมจะเป็นเช่นไร?
หยู่เหวินเห้ามองเขาเรียบๆ สายตาหนึ่ง ไม่มีการสมมุติ ข้าต้องแต่งกับนางแน่ เราต่างมีวาสนานี้
บางครั้งกระหม่อมก็คิด หากไม่มีฮองเฮา ชีวิตของผู้คนมากมายต้องไม่เป็นดั่งวันนี้แน่พ่ะย่ะค่ะ สวีอีถึงวัยที่หวนคิดเรื่องวันวานแล้ว วัยกลางคน กินมาก คิดก็มาก
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ เขาย่อมรู้ว่าหยวนชิงหลิงเปลี่ยนแปลงหลายสิ่ง กระทั่งเปลี่ยนบรรยากาศของทั้งราชวงศ์เป่ยถัง
แต่เรื่องเหล่านี้รู้อยู่แก่ใจก็พอ มิจำเป็นต้องเอ่ยออกมา
เพราะเมื่อเรื่องราวเป็นดังนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เขาต้องสู่ขอนาง และนางก็ต้องแต่งกับเขา พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต
ครั้นดื่มเมาเจ็ดแปดส่วน สวีอีก็ล้มตัวลงนอนที่เตียงอรหันต์
กระทั่งหยวนชิงหลิงกลับมาแล้ว เขาก็ยังไม่ตื่น