บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1740 เสียมารยาทเหลือเกินแล้ว
เดิมหัวใจของเจ้าเมืองโจว ก็ขึ้นมาแขวนค้างอยู่ที่ลำคอแต่แรกแล้ว ร่างครึ่งหนึ่งเอนไปข้างหน้า เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนดังลั่น เขาก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม คิดจะยื่นมือออกจับเสาคานของหอสังเกตการณ์ แต่ไม่คาดคิดว่าจะคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างกายเซถลาไปข้างหน้า ร่างทั้งร่างลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
เงาร่างหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากหลังม้า ความเร็วนั้นรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าสิบจั้ง พุ่งตรงไปยังตำแหน่งก่อนหน้าที่เจ้าเมืองโจว จะร่วงลงถึงพื้น คว้าตัวเขาไว้ แล้วหมุนตัวรอบหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลงสู่พื้น
เจ้าเมืองโจว ตกใจแทบตายแล้ว ในขณะที่ยังเวียนหัวจากการหมุนตัวเมื่อครู่ ก็เห็นว่าผู้ที่ช่วยชีวิตเขามีดวงตาที่สดใส บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ดูแล้วยังหนุ่มแน่นหล่อเหลา เขาคิดว่าท่านผู้นี้คงเป็นองครักษ์ข้างพระวรกายของฝ่าบาทแน่
หลังจากยืนได้มั่นคง เขาไม่มีเวลาสนใจอาการหวาดกลัวต่อความเสี่ยงตายเมื่อครู่ รีบประสานมือคารวะพลางเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายทันที ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิต ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิต
กลุ่มคนบนหลังม้ารีบควบม้าเข้ามาสมทบ สวีอีลงจากหลังม้าก่อน แล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว กดเสียงต่ำก่อนจะถามออกไปว่า ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?
หยู่เหวินเห้าตกใจมาก ถ้าเขาช้ากว่านี้ไปก้าวเดียว ชายคนนี้คงจะตายแน่แล้ว เขายื่นมือมาลูบ ๆ ที่หน้าอก ถอนหายใจเบา ๆ ไม่เป็นไร
เขามองไปที่เจ้าเมืองโจว เจ้าเป็นใครกัน?
เจ้าเมืองโจว กวาดตามองกลุ่มคนขี่ม้าตรงหน้า พยายามจะคาดเดาว่าใครคือฮ่องเต้
ปีนี้ฮ่องเต้มีพระชนม์มายุเกือบสี่สิบชันษาแล้ว ทั้งสง่างามน่าเกรงขาม แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนเหล่านี้
โสวฝู่เหลิ่งเขารู้จัก ส่วนหงเย่นั้นเขาเคยได้พบ แต่คุณชายที่ดูแข็งแกร่งดุดันท่านนี้ คงจะเป็นหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์แน่ ถามเจ้าอยู่นะ เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงได้คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่มองพวกเขาอย่างโง่เขลาเซ่อซ่า สวีอีก็ร้องถามเสียงดัง
เจ้าเมืองโจว จวนจะร้องไห้ออกมาให้ได้แล้ว โสวฝู่เหลิ่งหันมามองเขา แต่เพราะฮ่องเต้ก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาไม่สามารถคารวะโสวฝู่เหลิ่งก่อนได้ แล้วท่านไหนกันล่ะที่เป็นฮ่องเต้?
เมื่อไม่รู้ว่าจะแยกแยะอย่างไร เขาจึงใช้วิธีคุกเข่าลงแล้วก้มหน้าโขกหัวแนบพื้น พยายามใช้เสียงที่ทุกคนได้ยิน แต่คนอื่นไม่ได้ยินพูดขึ้นว่า กระหม่อมเจ้าเมืองของเมืองหวูกุ้ย โจวหัวหนาน ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี!
สวีอีประหลาดใจ เข้าไปบีบไหล่ของหยู่เหวินเห้าเบา ๆ ให้เขาหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองโจว ที่กำลังคุกเข่าให้เขาอยู่
หยู่เหวินเห้าเลิกคิ้ว เป็นเจ้าเมืองหวูกุ้ยอย่างนั้นรึ?
ลุกขึ้นเถอะ! หยู่เหวินเห้าพูด
เจ้าเมืองโจว ได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านบนหัวตัวเอง ก็ตกใจจนทั้งเนื้อทั้งตัวแทบจะแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ ให้ได้แล้ว เมื่อครู่นี้… คนที่ช่วยเขาไว้เมื่อครู่นี้คือฮ่องเต้อย่างนั้นรึ?
สวรรค์ช่วยลูกด้วย!
เขาอยากจะสลบไปให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ
เขาถึงกับให้ฮ่องเต้มาทอดพระเนตรเห็นด้านที่น่าอับอายที่สุดของเขา อีกทั้ง ยังเป็นพระองค์ที่ทรงช่วยชีวิตเขาด้วยหัตถ์ของพระองค์เองอีกด้วย
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นว่าเขาไม่ขยับเขยื้อน ก็คิดว่าเมื่อครู่นี้เขาคงกลัวมากจนลุกไม่ขึ้น จึงยื่นมือออกไปดึงแขนเขาขึ้นมา ลุกขึ้นเถิด เจ้าไม่สบายอยู่ ไม่ควรต้องลมเย็น
ตอนที่เขามา ก็ได้ยินจากฝู่เฉิงแล้วว่าเขาล้มป่วยแล้ว
เจ้าเมืองโจว มองไปที่มือซึ่งกุมอยู่ที่แขนของเขา ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย อดกลั้นไม่ไหวจนต้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นจนแทบคุมสติไม่อยู่ ฝ่าบาท ฝ่าบาท กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว
เจ้ามาต้อนรับพวกเราอย่างนั้นหรือ? ฮองเฮามาถึงแล้วสินะ? หยู่เหวินเห้าถาม
พ่ะย่ะค่ะ ๆ ตอนนี้ฮองเฮาอยู่ที่จวนปกครอง ฝ่าบาท ขอเชิญพ่ะย่ะค่ะ ขอเชิญ! เจ้าเมืองโจว
ยังคงโค้งคำนับไม่หยุด หวาดกลัวจนเหงื่อกาฬไหลพราก ๆ ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้
หยู่เหวินเห้าพูดว่า เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เร่งเดินทางเสียหลายวัน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว!
เจ้าเมืองโจว รีบละล่ำละลักพูดว่า ที่จวนปกครองได้จัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบนำทางไปเดี๋ยวนี้!
เขาเดินตุปัดตุเป๋ไปจูงม้า ขาสองข้างอ่อนแรงซวนเซตลอดเวลา ตะเกียกตะกายอยู่หลายครั้งก็ไม่
อาจปีนขึ้นไปบนหลังม้าได้เสียที เป็นสภาพที่ทุลักทุเลมากจนอยากตายไปให้พ้นจริง ๆ
สวีอีทนดูไม่ไหวอีกต่อไป ตรงเข้าไปช่วยดันก้นของเขา ช่วยให้เขาปีนขึ้นไปบนหลังม้าได้สำเร็จ
เจ้าเมืองโจว กล่าวขอบคุณเขาด้วยใบหน้าที่แดงเถือก สวีอีหัวเราะเหอะๆ เจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า ขอแค่เจ้าไม่ได้ทำความผิด ฝ่าบาทย่อมดีกับเจ้ามาก ๆ เลยเชียวล่ะ
ไม่มีขอรับ ข้าไม่เคยทำความผิดเลย ข้าน้อยตั้งใจทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด…
เขายกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ช่างเสียมารยาทเหลือเกินแล้ว ช่างเสียมารยาทเหลือเกิน!