บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 571 คนในทะเลสาบจิ้ง
ทุกคนล้วนตกตะลึงหมดแล้ว นี่จะเป็นได้ได้อย่างไรล่ะ? เห็นใบเมเปิลนั่นสูญหายไปต่อหน้าต่อตาและไม่ใช่ว่าจมลงไป
ผู้คนที่อยู่ในระยะไกลหน่อย หรืออาจจะไม่ได้สังเกตเห็น แต่ หยวนชิงหลิงพวกเขาไม่กี่คนอยู่บนฝั่งทะเลสาบ ไปด้านหน้าอีกหนึ่งเมตรก็สัมผัสน้ำในทะเลสาบแล้ว ดังนั้นพวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจน ใบเมเปิลนั่นไม่ได้จมลงไป แต่สูญหายไปโดยตรงแล้ว
หยู่เหวินเห้าคว้ามือของหยวนชิงหลิงไว้ทันที มองดูนัยน์ตาที่ดีใจอย่างบ้าคลั่งของนางด้วยความเฉียบคม กล่าวด้วยความเย็นชาเคร่งขรึม “หากว่าเจ้ากล้ากระโดดลงไป ข้าก็จะตายให้เจ้าดูทันที”
หยวนชิงหลิงมองดูอย่างมึนงงครู่หนึ่ง มองดูใบหน้าที่จริงจังไร้ที่เปรียบของเขา เผลอหัวเราะ “ข้าเสียสติไปแล้วหรอถึงได้กระโดดลงไปน่ะ”
ที่นี่เป็นทางเข้าของมิติเวลารึเปล่ายังไม่มั่นใจ แม้จะมั่นใจว่าใช่จริงๆ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่ากระโดดลงไปแล้วจะสามารถกลับไปในมิติเวลาของตัวเองได้? ถ้าหายตัวกลับไปถึงยุคหิน เช่นนั้นนางก็ตกลงไปสู่ห่วงแห่งความยากลำบากแล้ว บ้านทั้งสองที่ล้วนไม่สามารถกลับได้
นางดีใจเพราะในฐานะที่เป็นผู้ที่โปรดปรานนิยายวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยดูนิยายวิทยาศาสตร์และหนังวิทยาศาสตร์ในการข้ามมิติเวลามาไม่น้อย ตอนนี้รู้แล้วว่ามีเรื่องประตูเข้าสู่มิติเวลานี้จริงๆ นี่เป็นการค้นพบที่ทำให้คนตื่นตระหนกอย่างหนึ่งโดยแท้
แต่ว่า ในใจของนางก็มีการเฝ้าหวัง มีสถานที่หนึ่ง ที่มีความหวังอันรำไรอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของนาง
ตอนนี้ความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวในใจของนางคือนางเป็นผู้ที่ศึกษายาและการรักษา รุ่นน้องก็คล้ายว่าจะเป็นวิศวกรรมชีวการแพทย์ ความถนัดเฉพาะด้านของพวกเขาไม่ได้อยู่ด้านนี้ ทั้งสองจึงไม่สามารถทำศึกษาทะเลสาบจิ้งให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ได้
แต่ไม่เป็นไรนี่ ตอนนี้นางเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการจัดสรรที่ดีที่สุดแล้ว
ที่จริงแม้จะบอกนางว่า กระโดดลงทะเลสาบจิ้งก็จะสามารถกลับบ้านได้ แต่ว่า ภายใต้ความไม่แน่ใจว่านางจะสามารถกลับมาได้แน่ๆ นางก็จะไม่กระโดด
หากมีเพียงเจ้าห้า บางทีนางอาจจะกระโดด แต่ตอนนี้มีลูกแล้ว ฐานะที่เป็นบิดามารดาก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก และไม่สามารถทิ้งลูกไว้ได้
หยู่เหวินเห้ามองหน้านางด้วยความไม่เชื่อถือ “เช่นนั้นเจ้าดีอกดีใจขนาดนี้ทำไม?”
“เพราะข้าพบสิ่งที่น่าสนใจแล้ว หรือท่านไม่ชอบอย่างนั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงถามกลับ
หยู่เหวินเห้าไม่ชอบ ตอนนี้เขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งต่อสิ่งที่ไม่เคยรู้จัก เพียงแค่ไม่เข้าใจไม่รู้จัก ล้วนเป็นไปได้ที่จะสูญเสียหยวนชิงหลิงไป
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจว่าทะเลสาบจิ้งงดงามเพียงใด ดึงนางไว้แล้วกล่าว “ไป พวกเราลงเขากัน กลับไปคืนนี้เลยจะดีที่สุด พวกเรายังต้องไปเขาโรคเรื้อนอีกนะ ธุระมากมาย ไม่เสียเวลาแล้ว”
แต่ หยวนชิงหลิงอ้างว่าไปห้องน้ำครู่หนึ่ง จากนั้นไปหานักพรตเมื่อครู่ท่านนั้น
นางควักตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาอย่างใจกว้างมาก บอกว่าบริจาคเงินค่าธูปค่าน้ำมัน จากนั้นกล่าวกับเจ้าอาวาสว่า “หากมีวันหนึ่ง ปรมาจารย์อาของท่านนักพรตกลับมาแล้ว ได้โปรดจะต้องบอกข้า ข้าอยู่จวนอ๋องฉู่ในเมืองหลวง”
เจ้าอาวาสเปิดปาก มองดูหยวนชิงหลิงด้วยความตะลึง คนที่อยู่จวนอ๋องฉู่ในเมืองหลวงคือผู้ใด? แม้แต่คนที่อยู่นอกเหนือจารีตประเพณีคำพูดการกระทำอย่างเขาก็รู้ นั่นเป็นถึงจวนลับของรัชทายาทเชียวนะ
นักพรตถามอย่างกระอึกกระอัก “ท่าน……ท่านคือรัชทายาทในปัจจุบัน…….”
“ไม่ ข้าไม่ใช่รัชทายาท” หยวนชิงหลิงตบหลังมือของนักพรต “ได้โปรดจำคำของข้าไว้ หากว่าแจ้งข้าแล้วข้าจะบริจาคเงินค่าธูปค่าน้ำมันให้อีก”
นักพรตปิดปากลง ยังคงมองดูหยวนชิงหลิงด้วยความตะลึง รู้เป็นแน่ว่านางไม่ใช่รัชทายาท แต่ว่า สามีของนางเป็นรัชทายาทสินะ?
นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้ในอนาคตจะเสด็จมาภูเขาหมื่นพุทธ? โอ้หยวนสื่อเทียนจุน ท่านแสดงความศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ?
แต่ เพราะเป็นฮ่องเต้ในอนาคตพอดี ดังนั้นแม้ว่านักพรตจะอดไม่ได้แต่กลับยังกล่าวต่อหยวนชิงหลิงว่า “ปรมาจารย์อาของข้าเสียชีวิตไปแล้ว กลับมาไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียกลับมาแล้วก็แจ้งสักคำเถอะ” หยวนชิงหลิงพูดจบ กลัวว่าหยู่เหวินเห้าเห็นว่านางไปนานแล้วจะมาหานาง จึงเดินไปอย่างรีบร้อนแล้ว
นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเมื่อครู่โดยรวมแล้วไม่ใช่ภาพลวงตา เห็นคนและเรือลำเล็กๆแล้วจริงๆ นางไม่รู้ว่าที่เห็นคือสภาพการณ์ของมิติอื่นหรือว่ามีคนข้ามเข้ามาที่นี่แล้ว
นางคิดว่าแม้ทะเลสาบจิ้งจะนับว่าเป็นทางเข้ามิติเวลา แต่ทะเลสาบจิ้งใหญ่โตมาก อีกทั้งเมื่อเมฆหมอกปกคลุมผ่าน แม้ว่าจะมีคนลอยอยู่บนผิวน้ำ ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นต้องการจะขึ้นฝั่งก็ไม่จำเป็นจะต้องขึ้นฝั่งในทิศทางที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่ ดังนั้น นั่งเฝ้าก็เป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญคือพูดโน้ฝ้าอยู่ข้างทะเลสาบจิ้งก็เป็นไปไม่ได้
หลังจากที่หยวนชิงหลิงเดินจากมน้าวให้เจ้าห้านั่งเไป เป็นเวลานานกว่านักพรตจะเก็บสายตากลับ มองดูตั๋วเงินในมือ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอีกครั้ง เงินหนึ่งร้อยตำลึง? เป็นฮองเฮาในอนาคตจริงๆ ลงมือก็คือใจกว้าง
เขาซ่อนตั๋วเงินไว้ในถุงแขนเสื้อ เมื่อหมุนตัว กลับเห็นว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลังของเขา
เขามองดูคนผู้นี้ด้วยความตะลึงและงงงัน คนผู้นี้ก็มองดูเขาด้วยความตะลึงงัน ทั้งสองจ้องมองกันและกัน หมุนไปแล้วสองสามรอบ
“ยู่ซวี?”
“ปรมาจารย์อา?”
“ทำไมเจ้าถึงได้แก่เพียงนั้นแล้ว?”
“ทำไมท่านถึงยังได้หนุ่มขนาดนั้นอีก?”
หลังจากที่หยวนชิงหลิงและหยู่เหวินเห้ารวมตัวกันแล้ว เริ่มก้าวลงจากภูเขาอย่างช้าๆ
นางนึกได้ว่าเมื่อครู่ขณะที่ล้วงตั๋วเงินได้ทำตั๋วเงินในกระเป๋าเงินรกแล้ว จึงหยิบออกมาจัดระเบียบเล็กน้อย ขณะที่จัดการ พบว่าไม่มีตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยตำลึง กลับเป็นตั๋วเงินใบละยี่สิบตำลึงที่เตรียมไว้บริจาคค่าธูปค่าน้ำมันที่ยังอยู่
หน้าซีดฉับพลัน เชี้ย บริจาคผิดแล้ว
“ทำไมหรือ?” หยู่เหวินเห้าเห็นนางถือตั๋วเงินที่พับซ้อนไว้ไม่กี่ใบนั้น ท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงกล่าวถาม
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลาง เลือดหยดในใจ “ไม่เป็นไร ดูว่าตั๋วเงินหายหรือไม่”
หยู่เหวินเห้าหยิบไป ช่วยนางนับกลับไปมาสองสามครั้ง เอาใบหนึ่งซ่อนไว้ในถุงแขนเสื้อด้วยการกระทำรวดเร็วเป็นที่สุด ที่เหลือทั้งหมดยัดกลับไว้ในกระเป๋าเงิน กล่าว “พับดีแล้ว เก็บให้ดีเถอะ”
หยวนชิงหลิงกำลังเจ็บปวดใจพอดี ไหนเลยจะเห็นการกระทำในการแอบซ่อนไว้เป็นการส่วนตัวของเขา? โชคดีที่นางไม่รู้ว่าตัวเองมีตั๋วเงินในนั้นเท่าไหร่ จึงรีบรับมาเก็บไว้ดีๆ
หยู่เหวินเห้าจูงมือนางอีกครั้ง เห็นสวีอีและหมันเอ๋อมองดูอย่างตะลึง สายตาของเขาเย็นยะเยือก กล่าวอย่างเย็นชา “มองอะไร? ยังไม่รีบเดินอีก? ทำให้พระชายารัชทายาทหิวจนแย่แล้วจะทำอย่างไร?”
พูดจบ จูงมือหยวนชิงหลิงแล้วเดินไป
สวีอีและหมันเอ๋อสบตากัน โพล่งออกจากปาก “บุรุษเสแสร้งแกล้งถ่อมตน ทำไมต้องทำตัวเป็นโจร?”
หมันเอ๋อก็กล่าวเบาๆ “ทำไมองค์ชายตกอับถึงขั้นนี้?”
สวีอีถอนหายใจ “ดังนั้นจึงกล่าวว่า แต่งงานมีภรรยาต้องรอบคอบไงล่ะ”
เหมือนได้แต่งงานกับพระชายาคนที่ตระหนี่ขี้เหนียวเช่นนี้ การใช้ชีวิตน่าสงสารมาก
หมันเอ๋อเข้าใจแจ่มแจ้ง กล่าวปลอบใจทันที “เจ้าวางใจได้ แม่นางอะซี่ใจกว้างเป็นอย่างมาก”
สวีอีมองดูนาง “นางเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?”
“อนาคตเจ้าแต่งงานกับแม่นางอะซี่ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าเป็นธรรมดา” หมันเอ๋อกล่าวอย่างมีเหตุผล
สวีอียกมือขึ้นแขกศีรษะของหมันเอ๋อ “เจ้าโง่ไปแล้วหรือ? ทำไมข้าจะต้องแต่งงานกับอะซี่?”
หมันเอ๋ออ้าเสียหนึ่ง ลูบศีรษะ “เจ้ากับแม่นางอะซี่เป็นคู่กันไม่ใช่หรือ?”
สวีอีมือหนึ่งก็ห้ามหมันเอ๋อไว้ กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ข้ากับอะซี่เป็นคู่กัน? ทำไมเจ้าถึงได้คิดเช่นนี้?”
หมันเอ๋อยักไหล่ “เช่นนั้นเป็นข้าที่คิดผิดไปแล้ว”
พูดจบ ผลักมือของเขาออกแล้วเดินไป
สวีอียื่นมือมาเกาหัวทันที หาได้ยากที่จะฉลาดขึ้นมา มองดูเงาหลังของหมันเอ๋ออย่างเคร่งขรึม ไม่ ไม่ใช่คิดผิด เป็นอะซี่ที่มีความคิดเกินเลยกับเขาเป็นแน่ คิดถึงเขาแล้วไม่มีที่ระบายความในใจ จึงได้ระบายเรื่องราวภายในใจกับหมันเอ๋อในเวลากลางคืนที่เงียบสงบ หมันเอ๋อจึงได้คิดว่าเขากับอะซี่เป็นคู่กัน
เขาหัวเราะแฮะแฮะเสียงหนึ่ง ยื่นมือไปเสยผมให้เข้าทรงเล็กน้อย เชิดคางขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นความผยองของเต่าที่ได้กินอาหาร อะซี่ อย่าหลงใหลพี่ พี่ไม่ชอบสาวน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา