บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 572 ไปเขาโรคเรื้อนรอบหนึ่ง
ตลอดทางลงเขานี้ จนถึงนั่งรถม้ากลับไปที่ลาน หยู่เหวินเห้าก็ไม่ค่อยพูดจา กลับเป็นสวีอีที่พูดฉอดๆอยู่ด้านนอก บอกว่าทะเลสาบจิ้งมหัศจรรย์จริงๆ
หยวนชิงหลิงก็ไม่พูดจา หลังจากกระตือรือร้นอย่างสุดๆก็เป็นการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ตั้งแต่ที่นางมาถึงที่นี่ ไม่มีเวลาใดไม่มีนาที่ไหนที่จะไม่คิดถึงคนในครอบครัว การปรากฏตัวของทะเลสาบจิ้ง ทำให้ความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิดของนางที่ยากจะระงับไว้ได้ถูกกระตุ้นขึ้นเป็นครั้งที่สอง
นางก็ไม่ได้ถึงกับจะกระโดดลงน้ำด้วยความไร้สติขนาดนั้น เพียงคิดว่า เรื่องราวมากมายดำรงอยู่อย่างสมเหตุสมผลที่สุด ในเมื่อสมเหตุสมผล ก็ต้องมีคนที่เข้าใจเป็นแน่ อย่างเช่นคนที่ส่งโม่ยี่มา
มีคนเช่นนี้ผู้หนึ่ง มีทะเลสาบจิ้งเช่นนี้ที่หนึ่ง นางยิ่งมีความมั่นใจ กลับไปเยี่ยมบ้านไม่ใช่ความฝันจริงๆ การใช้ชีวิตในวันข้างหน้ามีเป็นความเป็นไปได้ว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ อีกทั้งความหวังยังเพิ่มมากขึ้นทีละนิดทีละหน่อยอีกด้วย
หลังจากที่หยู่เหวินเห้านิ่งเงียบเป็นเวลานาน กล่าวประโยคหนึ่งที่กลั้นไว้ต่อหยวนชิงหลิง “ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่เจ้ายืมร่างศพเพื่อคืนชีพแล้ว”
หยวนชิงหลิงพิงเขา “ไม่ได้คิดนี่”
“มิติเวลานั่นคืออะไรกันแน่? เป็นทางเข้าของโลกวิญญาณใช่หรือไม่?” ท้ายที่สุดหยู่เหวินเห้าก็ไม่เข้าใจ และเพราะไม่เข้าใจจึงหวาดกลัว
เขารู้สึกว่าที่หยวนชิงหลิงดีใจขนาดนี้ โดยคร่าวๆแล้วทะเลสาบจิ้งยังต้องเกี่ยวข้องกับการยืมร่างศพเพื่อคืนชีพอีกด้วย
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วกล่าว “ทำไมท่านถึงคิดเช่นนี้?”
หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “สำหรับข้าแล้ว นั่นก็เหมือนกับทางเข้าของนรกที่หนึ่ง”
หยวนชิงหลิงเข้าใกล้เขามากขึ้น และไม่ได้วิเคราะห์แล้ว อย่างไรเสีย ทะเลสาบจิ้งเป็นทางเข้าของมิติเวลาหรือไม่ก็ไม่แน่ คำพูดของนักพรตก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อถือได้หมด ไม่ได้บอกว่าเขาโกหก แต่เพราะปรมาจารย์อาท่านนั้นอาจจะลงเขาไปเองแล้วก็ได้ ทุกคนคิดว่าเขาลงทะเลสาบจิ้งไปแล้ว การปรากฏตัวครั้งสุดท้าย ก็ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเขาปรากฏตัวขึ้นมาจากในทะเลสาบจิ้ง สำหรับอีกโลกหนึ่งและทางเข้าของมิติเวลาที่เขาบอก ก็เป็นไปได้ว่าฟังมาจากที่อื่น กระทั่งยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้จักกับรุ่นน้อง รุ่นน้องได้เคยบอกเรื่องของมิติเวลาของอีกโลกหนึ่งกับเขามาก่อน
ดังนั้น ตอนนี้สงบจิตใจลงมา ก็ค่อนข้างมีสติสัมปชัญญะในการไตร่ตรองเรื่องราวแล้ว
กลับถึงในลานบ้าน อะซี่ก็ดึงหยวนชิงหลิงไว้แล้วกล่าว “วันนี้พวกเขาทั้งสองยังไม่ได้พูดกันสักประโยคเลยเจ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “ไม่ต้องบีบบังคับ ปล่อยตามที่พวกเขาแต่ละคนชอบเถอะ”
อะซี่กล่าวด้วยความกลุ้มใจ “ก็เพราะมองแล้วไม่สบอารมณ์น่ะเจ้าคะ”
หยวนชิงหลิงตบไหล่ของนางเบาๆ จากนั้นเข้าไปตรวจบาดแผลของหยวนหย่งอี้แล้ว
หมันเอ๋อกลับดึงอะซี่ไปบอกเรื่องทุกอย่างที่ได้เห็นที่ทะเลสาบจิ้งในวันนี้ บอกว่าทะเลสาบจิ้งเป็นสถานที่ของโลกอีกใบหนึ่งอะไรนั่น ทิ้งสิ่งของเข้าไปก็สูญหายไปทันที พูดจนอะซี่อยากไปดูเป็นอย่างมาก มองดูสวีอีด้วยความตื่นเต้น “พรุ่งนี้พวกเราไปกันอีกเถอะนะ”
สวีอีมองดูแววตาที่เปล่งประกายของอะซี่ กล่าวอย่างเรียบๆ “ไม่ไป เพื่อเลี่ยงไม่ให้เจ้าเข้าใจผิด”
พูดจบ จึงหมุนตัวเดินจากไป
อะซี่มองดูเงาหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ เข้าใจผิดอะไร? เจ้าหมอนี่ยังไม่หายโกรธอีกหรือนี่? ขี้โมโหจริงๆ!
ทั้งคืนก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ละคนมีเรื่องเก็บอยู่ใจใน วันรุ่งขึ้นก็จะต้องออกเดินทางไปเขาโรคเรื้อนแล้ว
หยวนหย่งอี้มีบาดแผล ดังนั้นอ๋องฉีและอะซี่จึงพานางกลับไปยังเมืองหลวงก่อน
สวีอีและหมันเอ๋อติดตามหยู่เหวินเห้าสามีภรรยาที่ต้องการแอบขึ้นไปดูเขาโรคเรื้อน ดูสถานการณ์บนเขาโรคเรื้อนด้วยตัวเอง หยวนชิงหลิงจะได้ทำแผนการดีๆ
เขาโรคเรื้อนไม่อนุญาตให้คนเข้าไป โดยเฉพาะรัชทายาทในปัจจุบัน หากว่าให้ผู้คนรู้เข้า กลัวเพียงในราชสำนักจะกล่าวโทษลงความเห็นไม่ไว้วางใจ
เขาโรคเรื้อน สำหรับเป่ยถังแล้ว เป็นการคงอยู่ของความโชคร้ายที่หนึ่ง ห้าปีก่อนขณะที่โรคเรื้อนแพร่ระบาดหนัก ขุนนางในราชสำนักผู้หนึ่งเสนอข้อคิดเห็น ให้เอาคนป่วยโรคเรื้อนมาฆ่าให้ตาย จากนั้นก็เผาศพ
เพราะว่า โรคเรื้อนดำรงอยู่ตลอด แต่เคยแพร่ระบาดอย่างรุนแรงหนาแน่นในเมืองหลวงเช่นนี้ ก็ยังพบได้น้อย
ขุนนางผู้นี้ ชื่อเหอหรูซิ่ว เป็นทหารมือซ้ายคนสนิทของฮ่องเต้จากมุขมนตรีฝ่ายตรวจสอบ ตอนนี้เป็นลูกศิษย์ของอ๋องอาน เหอหรูซิ่วผู้นี้มีฐานะปัจจุบันโดยการสอบคัดเลือกขุนนาง ได้รับการสนับสนุนของตี๋เว่ยหมิง หกปีก่อนเข้ารับตำแหน่งในมุขมนตรีฝ่ายตรวจสอบ ขณะที่โรคเรื้อนระบาดอย่างรุนแรง ก็เป็นเขาที่ใช้เหตุผลว่าโรคร้ายที่รังควานชาวบ้านทำให้ความน่าเกรงขามแห่งเป่ยถังเสียหาย สาสน์ลับทูลฮ่องเต้ให้เอาคนป่วยที่เป็นโรคเรื้อนทั้งหมดสังหารและเผาทิ้ง เพื่อตัดปัญหาในอนาคต
เพราะว่าเป็นสาสน์ลับ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ค่อยมีผู้คนรับรู้ หยู่เหวินเห้ารู้ได้ เพราะเวลานั้นเข้าปรนนิบัติไท่ซ่างหวงอยู่ด้านหน้าเตียงผู้ป่วยพอดี ได้ยินฮ่องเต้หมิงหยวนไปหารือกับไท่ซ่างหวง
ตอนนั้นไท่ซ่างหวงป่วยอยู่ มีความเข้าอกเข้าใจต่อผู้ป่วย ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเหอหรูซิ่ว สุดท้ายเลือกวิธีประนีประนอมพบกันครึ่งทาง เอาผู้ป่วยเหล่านี้ไปกักขังไว้บนภูเขา อีกทั้งสถานที่กักขังผู้คนนับพันในตอนนั้นก็มีเพียงสถานที่หกพันหกร้อยหกสิบหกจุดเจ็ดตารางเมตร ด้านหนึ่งหันหน้าไปทางหน้าผา ด้านหนึ่งเป็นป่าทึบ ด้านในยังมีจั้งชี่อากาศที่เป็นพิษจากการสลายตัวของสัตว์และพืชในป่า เข้าไปไม่ได้ สำหรับด้านข้างอีกสองด้านกลับถูกล้อมขึ้นมา และมีทหารเฝ้าไว้
สิ่งของสนองความต้องการชีวิตด้านใน ล้วนเป็นความรับผิดชอบของราชสำนัก แต่คนป่วยที่นี่เหล่านี้ล้วนถูกคนบนโลกละทิ้ง ราชสำนักรับผิดชอบเพียงแค่เลี้ยงตอนมีชีวิตและฝังเมื่อตายแล้ว สำหรับคุณภาพชีวิต นั่นคือไม่มีโดยสิ้นเชิง
เหมือนสุนัขที่ถูกกักขังไว้ตรงนั้นเท่านั้น อาหารทั้งหมดเป็นของที่แย่ที่สุด ที่ทำการปกครองที่รับผิดชอบสิ่งของสนองความต้องการชีวิต ทั้งปีก็ไม่เห็นจะให้เนื้อไปสักชิ้น
นี่คือสถานการณ์ความเป็นจริงในตอนนี้ของเขาโรคเรื้อน แต่ว่า เงินที่ราชสำนักจัดสรรให้เพียงพอที่จะจัดหาเนื้อให้หนึ่งมื้อในทุกวัน สำหรับเงินจัดสรรเหล่านี้ตกไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงของผู้ใด นั่นก็ไม่รู้แล้ว
ก่อนหน้านี้หยู่เหวินเห้าไม่เคยไถ่ถามถึงเขาโรคเรื้อนมาก่อน ความเป็นจริงในเมืองหลวงไม่มีขุนนางคนใดสักคนที่คิดจะสนใจคนป่วยที่ถูกละทิ้งอยู่บนภูเขาเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดยอมที่จะเสนอขึ้น
หากไม่ใช่เพราะแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน ทำให้หยวนชิงหลิงสนใจเข้าแล้ว เป็นไปได้ว่าเขาโรคเรื้อนก็คงจะไม่ปรากฏขึ้นในสายตาของผู้ใดอีก
ตีนเขาไม่มีคนเฝ้ารักษา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดขึ้นมาที่นี่
ทหารบนเขาก็ไม่ได้ป้องกันคนนอกที่มา แต่ป้องกันคนป่วยหนีลงเขา
ดังนั้นหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงต้องการขึ้นเขาก็ไม่ยาก เพียงแต่ต้องการเข้าไป ก็จำเป็นต้องเลือกเส้นทางป่าทึบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าป่าทึบไปลึกๆจริงๆ เพียงแค่เดินเข้าไปจากทางด้านข้างก็ได้แล้ว
เนื่องจากเป็นช่วงก่อนและหลังวันไหว้พระจันทร์พอดี ไม่ว่าเป็นเมืองหลวงหรือว่าเขตจังหวัดต่างๆ ล้วนเฉลิมฉลองการอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวอย่างยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เหยียบขึ้นเขานาทีนั้น ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเงียบเหงาและแปลกประหลาด เห็นได้ชัดว่าพระอาทิตย์ลอยอยู่สูง ก็มักจะให้คนมีความรู้สึกเย็นยะเยือกชนิดหนึ่ง ราวกับว่าที่นี่เป็นนรกที่แสงแดดส่องเข้าไปไม่ถึง
ที่นี่และสภาพของภูเขาหมื่นพุทธเมื่อวานแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
อ้อมจากด้านข้างของป่าทึบ ก็เห็นที่ราบจุดหนึ่ง บนที่ราบมีสิ่งก่อนสร้างเล็กๆเตี้ยๆหนาแน่น เป็นบ้านไม้ การสร้างเรียบง่ายเป็นที่สุดและไม่มีการสลักลายใดๆ
ที่นี่มีลมภูเขาพัดผ่าน แต่ กลับมีกลิ่นเหม็นจากในบ้านตรงนั้นพัดเข้ามา หายใจลึกๆเฮือกหนึ่ง เหมือนกับเป็นกลิ่นศพเน่า
สวีอีสังเกตเห็นในไม่ช้า ศพเน่าไม่ได้มาจากทางนั้น เขาที่ชอบบ่นเสียงดังเป็นปกติ ตอนนี้ก็เศร้าขึ้นมาแล้ว “ศพมากมายอยู่ทางนั้น”
หยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงมองไปตามทิศทางที่มือเขาชี้ไป เห็นเพียงด้านนอกรั้วที่ล้อมไว้มีเนินเล็กๆเหมือนสุสานที่ฝังศพสะเปะสะปะที่หนึ่ง ด้านบนมีกระดูกขาวกองไว้ ศพระเกะระกะ แมลงวันบินหึ่งๆล้อมตรอมศพที่เพิ่งจะเน่าเปื่อย กลิ่นเหม็นก็คือส่งกลิ่นมาจากเนินเล็กๆนี่ เหลือบมองไปแวบหนึ่ง รวมกับกระดูกขาวด้านใน มีอย่างน้อยศพสี่ห้าร้อยศพ
เพราะเข้าใกล้ป่าทึบ ดังนั้นไม่มีคนเผาศพ อีกทั้งลมในป่าและแสงอาทิตย์ก็ล้วนไม่ถึง เวลาที่ศพเน่าเปื่อยก็เหม็นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งบนพื้นสามารถเห็นน้ำศพที่เน่าเปื่อยได้
หยวนชิงหลิงแทบจะอ้วกออกมา นางค้ำยันต้นไม้แห้งด้านข้างไว้ คลื่นไส้เล็กน้อย น้ำตาก็ไหลออกมาแล้ว อยู่บนเขาโรคเรื้อนแห่งนี้ ชีวิตคนไร้ค่าเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งตายแล้วก็ไม่มีคนฝังศพ ทำได้เพียงทิ้งไว้ที่นี่อย่างลวกๆ