บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 579 ฮ่องเต้มีความคิดเห็นอย่างไร
หลังจากหยวนชิงหลิงเดินได้รอบหนึ่ง นั่งอยู่ในศาลา ทารกก็ถูกวางอยู่ในรถเข็นเด็กที่หยวนชิงหลิงบอกให้คนสร้างขึ้นตากแดดอุ่นๆต่อ เหล่าหมาป่าหิมะน้อยก็คลานอยู่ข้างรถ แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมาบนตัวของเด็กทั้งสามและหมาป่าทั้งสาม อิสระสบายใจอย่างอธิบายไม่ได้
หมันเอ๋อและอะซี่ก็เข้ามาแล้ว อะซี่นั่งลงพูดคุยกับหยวนชิงหลิง หมันเอ๋อเรียนปักดอกไม้กับฉี่หลอลู่หยา ที่ไกลๆ แม่นมฉีกำชับให้คนจัดการเก็บต้นไม้ดอกไม้ในลานให้เป็นระเบียบ ที่ไกลๆสาวใช้หนุ่มรับใช้เป็นกลุ่มบางตาเดินเคลื่อนไหวไปมาในจวน ทำงานมากมายอย่างเป็นระเบียบ
หยวนชิงหลิงหรี่ตาลง ทอดถอนใจกับการใช้ชีวิตที่เงียบสงบสุข
แต่อะซี่กลับขมวดคิ้ว “สิ้นเปลืองเวลาที่ดีๆในตอนเช้านะเพคะ ตอนเช้าที่ดีเพียงนี้ ทำอะไรสักหน่อยไม่ดีหรอกหรือเพคะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้ว นี่ก็คือความแตกต่างของหญิงที่มีอายุกับสาวน้อย ข้ามเวลามาถึงที่นี่ แม้ว่าจะแค่ประมาณหนึ่งปีกว่า แต่ได้เผชิญกับความเป็นความตายสองสามรอบ นางรู้สึกว่าสภาพจิตใจของตัวเองเข้าสู่วัยชราแล้ว คิดเพียงจะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงปลอดภัยสักหน่อย
แต่อะซี่ ยังเหมือนพระอาทิตย์ที่เพิ่งจะขึ้นพ้นขอบฟ้า มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่
สวีอีกลับมาแจ้งว่าองค์ชายตั้งแต่ออกจากวัง กลับไปที่ทำการปกครอง
หยวนชิงหลิงกล่าวถาม “อารมณ์ขององค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง?”
สวีอีกล่าว “เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยดี ตั้งแต่ออกจากวังกลับที่ทำการปกครอง ก็พูดเพียงหนึ่งประโยคพ่ะย่ะค่ะ”
อะซี่ถาม “พูดอะไร?”
สวีอีมองนางอย่างกับมองคนโง่เช่นนั้น “ให้ข้ากลับมาบอกต่อพระชายารัชทายาทว่าเขาไปที่ไหนอยู่แห่งใด”
หยวนชิงหลิงหน้าตาครุ่นคิด กล่าว “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปทำธุระเถอะ”
สวีอีจึงขอตัวออกมา
จิตใจของหยวนชิงหลิงเปลี่ยนเป็นแย่ลงทันที ถอนหายใจเบาๆ เจ้าห้าจะต้องรายงานฮ่องเต้ตามความจริงแน่นอน เพียงแค่ฮ่องเต้จะทำอย่างไรล่ะ? จะแตะต้องเสียนเฟยหรือ?
เวลาเที่ยงวัน ขันทีในพระราชวังออกประกาศให้หยวนชิงหลิงเข้าวังไปเข้าเฝ้า นี่ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย คาดเดาว่าเพราะเรื่องของเสียนเฟย แต่เรื่องนี้อย่างไรก็ไม่ควรผสมนางเข้าไปด้วยหรอก?
หยวนชิงหลิงเข้าวังตัวคนเดียว ตามขันทีมาถึงด้านนอกตำหนักตงหน่วน นางตะลึง “ฮ่องเต้อยู่ด้านใน?”
ขันทียังไม่ได้ตอบ ก็เห็นมู่หรูกงกงเดินออกมาแล้ว อมยิ้มแล้วกล่าว “พระชายารัชทายาทมาพอดี ฝ่าบาทกำลังรอท่านเสวยอาหารน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกตื่นเต้น บุญคุณขนาดนี้ ต้องเสียค่าตอบแทนเป็นสองเท่าในแต่ละนาที
“พระชายารัชทายาท โปรดรีบเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรูกงกงเห็นนางยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ จึงยิ้มแล้วกวักมือต่อ
หยวนชิงหลิงทำได้เพียงตามมู่หรูกงกงเข้าไป กระโปรงกวาดข้ามขั้นบันได จิตใจเหม่อลอยจนแทบจะหกล้ม
เข้าตำหนักอุ่นแล้ว ก็เห็นบนโต๊ะไม้จันทน์แปดเซียนจัดวางเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหนังสือด้านข้าง ฮู่เฟยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เห็นนางมา ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงเงยหน้าขึ้นมามองดูนาง “มาแล้ว!”
หยวนชิงหลิงรีบเข้าไปทำความเคารพทันที “หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ คารวะฮู่เฟยเพคะ”
“ไม่ต้องมีพิธีรีตอง นั่งเถอะ” ฮ่องเต้หมิงหยวนยืนขึ้น บนใบหน้าเหมือนจะแฝงด้วยรอยยิ้ม แต่หยวนชิงหลิงไม่กล้าจ้องมอง กลับรู้สึกว่ามองไปแวบหนึ่ง รอยยิ้มนั่นเป็นการฝืนเค้นออกมา
ฮ่องเต้หมิงหยวนเข้านั่งที่โต๊ะก่อน ฮู่เฟยนั่งอยู่ข้างกายของนาง รอยยิ้มสุภาพเยือกเย็น ยิ้มให้หยวนชิงหลิงอย่างอ่อนโยน
เดิมทีฮู่เฟยเป็นเด็กสาวที่กระตือรือร้นผู้หนึ่ง หลังจากที่ตั้งครรภ์แล้วเหมือนว่านิสัยจะเปลี่ยนไปมาก ปลดความอ่อนเยาว์และความบุ่มบ่ามไป เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่สุขุมขึ้นมาแล้ว
ดูท่า ผู้ชายกับลูกสามารถทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วจริงๆ
หยวนชิงหลิงฝืนเข้าไปนั่ง ฟังฮ่องเต้หมิงหยวนกำชับมู่หรูกงกงให้เรียกภัตตาหาร นางถามด้วยความระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเรียกหม่อมฉันเข้าวังมามีเรื่องอะไรเพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว “จะมีเรื่องอะไร? เชิญเจ้ามากินข้าว”
หยวนชิงหลิงหัวเราะอย่างเก้กัง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ” นางแอบชำเลืองมองฮู่เฟยแวบหนึ่ง หวังว่าฮู่เฟยจะสามารถบอกใบ้นางได้นิดหน่อย แต่ดวงตาที่อ่อนโยนเปี่ยมด้วยความรักของฮู่เฟย นุ่มนวลราวกับว่ามองดูลูกสะใภ้ของตัวเองเช่นนั้น
ไม่มีการบอกใบ้แม้สักนิดโดยสิ้นเชิง
ครู่หนึ่ง นางข้าหลวงเข้ามาทีละคน สามคน กับข้าวสี่ซุปหนึ่ง เรียบง่ายเป็นที่สุด ประณีตแต่ไม่นับว่ามากมายหลากหลาย อาหารเจมีสามอย่าง อาหารคาวมีเพียงปลาตัวหนึ่ง ปลาทอดซอสน้ำแดง เปรี้ยวๆหวานๆ น่าจะเพราะตามใจความอยากของฮู่เฟย
ฮ่องเต้หมิงหยวนที่โดยปกติกินข้าวจะไม่พูดจา กลับมองดูหยวนชิงหลิงแล้วกล่าว “อาหารจวนอ๋องฉู่ของเจ้า ยังมากมายหลากหลายกว่าภัตตาหารของข้าอีกสินะ?”
เสียงระฆังเตือนภัยในใจของหยวนชิงหลิงดังขึ้น หรือว่า ฮ่องเต้สงสัยว่าเงินที่เสียนเฟยยักยอกมาเหล่านั้นล้วนนำมาอุดหนุนที่จวนอ๋องฉู่แล้ว?
นางส่ายหน้าช้าๆ “ทูลเสด็จพ่อ จวนอ๋องฉู่กินอาหารก็ธรรมดาเป็นอย่างมากเพคะ หากว่ามีเพียงข้าและเจ้าห้า ส่วนมากเป็นอาหารสองอย่างเพคะ”
“ใช่หรือ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวเรียบๆ “ข้ากลับได้ยินว่าในอดีตเจ้าห้าค่อนข้างสุรุ่ยสุร่าย”
หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างแน่วแน่ “ไม่สุรุ่ยสุร่ายสักนิดเพคะ ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้ากับเจ้าห้ายังไม่ทำเสื้อผ้าชุดใหม่เลยเพคะ เด็กๆก็ไม่ได้ทำเพคะ”
“ทำไมไม่ทำ? ขัดสนเงินหรือ?” เสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนแฝงด้วยการซักถามอย่างสงสัยเล็กน้อย
หยวนชิงหลิงกล่าว “ไม่ขัดสนเพคะ เพียงแค่มีพอสวมใส่ ที่สำคัญที่สุดคือเงินมีประโยชน์ใช้สอยเพคะ”
“พูดมาเช่นนี้ กลับมีการจัดการเงินทองในบ้านอย่างเชี่ยวชาญ ตอนนี้เกรงว่าคงสะสมได้ไม่น้อยสินะ? มีเท่าไหร่ บอกตัวเลขมาให้ฟังหน่อย” ขณะที่ฮ่องเต้หมิงหยวนถามคำถามนี้ได้เงยหน้าขึ้นมา มองดูนางด้วยสายตาที่เฉียบคม
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ฟัง นี่ก็คือการตรวจสอบทรัพย์สินของครอบครัวโดยตรงนี้ เช่นนั้นก็พูดไปตามจริงแล้ว อีกทั้งยังต้องพูดให้ถึงที่มาของเงินเหล่านี้ให้ชัดเจนด้วย ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจผิดจริงๆว่าเสียนเฟยเอาเงินที่ฉ้อฉลมาได้เหล่านั้นให้จวนอ๋องฉู่ทั้งหมด
หยวนชิงหลิงวางตะเกียบลง กล่าว “ทูลเสด็จพ่อ หากว่าไม่นับที่ทรัพย์สินที่เป็นที่นาบ้านเรือนและจำนวนเงินที่ด้านนอกค้างจ่ายอยู่ ตอนนี้ในมือมีเงินอยู่ประมาณสองล้านตำลึงเพคะ”
ชะงักครู่หนึ่ง หยวนชิงหลิงก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างระมัดระวัง “โดยคร่าวๆก็จำนวนนี้เพคะ”
อย่างไรเสียจำนวนอย่างละเอียดก็ไม่ได้คำนวณอย่างแม่นยำ โดยประมาณก็มากเท่านี้ เจ้าห้าน่าจะยังมีเงินเก็บในสำนักการเงินอีกบ้าง ใบฝากถูกนางเก็บขึ้นมาคืนเข้าในบัญชีบ้านทางนั้นแล้ว และเช่าโรงเรียนก็เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง การเข้าออกบัญชีอาจจะไม่ได้ตรงกัน แต่โดยประมาณก็จำนวนเท่านี้
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยิน ในตามีประกายวายผ่าน กล่าวถามอย่างจริงจังว่า “ยังมีที่ติดค้างอีก? ให้ใครยืม? ยืมไปเท่าไหร่? เก็บดอกเบี้ยเท่าไหร่? เจ้าน่าจะรู้ สมัยนี้แม้ว่าสามารถปล่อยเงินกู้ได้ แต่ดอกเบี้ยมีการจำกัดไว้ หากว่าจำนวนเกินกฎเกณฑ์ คือผิดกฎหมาย”
หยวนชิงหลิงก้มศีรษะ กล่าวอย่างอืดอาดชักช้า “เสด็จพ่อ ไม่ใช่ปล่อยเงินกู้เพคะ เป็นท่าน……หลักฐานการยืมเงินที่ท่านทำขึ้นเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึง กล่าวอย่างไม่พอใจทันที “หลักฐานการยืมเงินใบนั้น ไม่ใช่ว่าแลกไปหมดแล้วหรือ? ตอนที่เจ้าขอกลับไปบ้านแม่ของเจ้า ก็เพิ่มเติมให้ครบจำนวนแล้ว”
อันดับหนึ่งในการยืมเงินแล้วไม่ยอมคืนสักทีของเป่ยถัง
หยวนชิงหลิงกล่าวด้วยความจนปัญญา “เช่นนั้นก็ไม่มีเงินที่ค้างหนี้แล้วเพคะ”
ฮู่เฟยมองฮ่องเต้หมิงหยวน “ฝ่าบาท ท่านยังเขียนหลักฐานการยืมเงินด้วยหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนใบหน้าบึ้งตึง “กินข้าว เวลากินข้าวไม่อนุญาตให้พูดจา”
อาหารมื้อหนึ่ง กินเสร็จสิ้นไปด้วยการมีเรื่องเก็บไว้ในใจของแต่ละคน นางข้าหลวงเข้ามาเก็บส่วนที่เหลืออยู่น้อยนิด ปูผ้าบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง จัดวางอุปกรณ์ดื่มชา มู่หรูกงกงต้มชาด้วยตัวเอง
ฮู่เฟยกล่าว “พระชายารัชทายาทรีบลองชาหยุนลู่ที่ส่งมาจากต้าซิงนี่”
ความหอมของชาพุ่งเข้าจมูก หยวนชิงหลิงดื่มคำหนึ่ง ชื่นชมใหญ่ “นี่คือชาดีเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรอนางดื่มถ้วยหนึ่งแล้ว จึงได้กล่าวกับฮู่เฟยว่า “เจ้ากลับไปพักเถอะ เข้ายังมีคำพูดจะกล่าวกับพระชายารัชทายาท”
“เพคะ!” ฮู่เฟยกล่าวอย่างเชื่อฟัง หยวนชิงหลิงยืนขึ้นมาทำความเคารพส่ง บนใบหน้าของฮู่เฟยแขวนไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นมีความสุขแล้วจากไป
หลังจากที่ฮู่เฟยจากไป ฮ่องเต้หมิงหยวนเก็บสีหน้าทันที หยวนชิงหลิงจึงนั่งด้วยท่าทางที่จริงจังและระมัดระวังทันที รู้ว่าการกินข้าวเป็นการแสดงก่อนที่การแสดงจริงที่จะเริ่มต้น การพูดจาตอนนี้ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแค่ ไม่รู้ว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรกันแน่ มักจะรู้สึกว่าไม่ใช่การกล่าวโทษและไม่ใช่ความประสงค์ดี
ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ยปากขึ้นช้าๆ “เรื่องแม่สามีของเจ้า เจ้าห้าเคยพูดกับเจ้าแล้วสินะ?”