บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 589 สวีอีที่ตื่นอยู่ผู้เดียว
แต่ว่า จะคิดได้อย่างไรว่าจะมีคนผู้หนึ่งวิ่งออกมาอย่างฉับพลัน กอดเด็กสาวผู้นั้นไว้ทันที ร่างกายกลิ้งไปทางด้านหน้า ชนขึ้นมาโดยตรง เดิมทีม้าก็ถูกฝืนดึงคอไว้เท้าด้านหน้ายกขึ้น หลังจากที่ตกพื้นแล้วก็สามารถหยุดได้โดยพื้นฐาน แต่ว่า เขากอดเด็กผู้หญิงกลิ้งเข้ามาเอง แล้วกลิ้งไปอยู่ใต้กีบเท้าของม้าพอดี
ม้าหลายร้อยโล พร้อมกับแรงดีดเท้าหนึ่งตกลงบนกระดูกขาท่อนล่างของคนผู้นั้น เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นในพริบตา
มือทั้งข้างของสวีอียื่นเข้าไปในปากกัดไว้ คิ้วและจมูกขมวดเข้าหากัน ทำท่าตกตะลึง สมองของคนผู้นี้มีปัญหาหรือ? ช่วยคนก็ช่วยคน ทำไมต้องกลิ้งไปทางกีบม้าล่ะ?
นี่ไม่ใช่ว่ารนหารที่ถูกเหยียบหรือ?
“ท่านชาย!”
“ลูกสาว!”
ผู้หญิงสองคนวิ่งออกมาจากคนในฝูงชน ผู้หนึ่งอุ้มเด็กผู้หญิงขึ้นมาตกใจจนตะโกนร้องเสียงดังด้วยความเสียใจจากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงอีกคนประคองท่านชายบนพื้นที่ช่วยคน ตะโกนด้วยความร้อนใจว่า “ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ? ท่านช่วยคนก็ต้องเป็นห่วงชีวิตของตัวเองสิ? อันตรายเพียงไหนเนี่ยเจ้าคะ”
หยวนชิงหลิงคิดว่าสวีอีชนคนแล้ว รีบลงจากรถเดินเข้ามาพร้อมกับอะซี่และหมันเอ๋อ หยวนชิงหลิงกล่าวถาม “ไม่ได้……เป็นไร…..พระเจ้า!”
สายตาของนางตกลงบนใบหน้าของผู้ชาย ตะลึงจนพูดไม่ออกในพริบตา ทำไมหน้าตาของคนผู้นี้ถึงได้ดูดีขนาดนั้นเนี่ย? ผมดำคิ้วเข้ม ดวงตารูปดอกเหมย ราศีไม่ธรรมดา พานอานปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยแท้ (พานอานเป็นผู้ชายที่หล่อมากในโบราณจีน)
หลังจากที่ตกตะลึงแล้ว แล้วมองดูผู้หญิงที่ประคองเขาไว้ ดวงตาสดใส ตัดมวยผมได้อย่างประณีตงดงาม ริมฝีปากแดงฟันขาวทำไมถึงได้เกิดใบหน้าที่งามเลิศที่สุดในประเทศได้นะ?
ไม่ต้องพูดถึงหยวนชิงหลิงตกตะลึงแล้ว แม้แต่อะซี่และหมันเอ๋อล้วนประหลาดใจต่อสิ่งนี้ ประชาชนที่มุงดูอยู่รอบล้วนหยุดฝีเท้า สายตาจับจ้องตัดใจเคลื่อนจากไปไม่ได้อยู่นาน
แล้วในนาทีที่น่าทึ่งเช่นนี้ เสียงคำพูดอ้อมค้อมอย่างยิ่งดังมา เป็นสวีอีที่บุ่มบ่ามแก้ตัวขึ้นทันที “ไม่ใช่ข้าชนเขา เป็นเขาที่กลิ้งขึ้นมาเอง”
เสียงนี้ทำลายภาพที่งดงาม หยวนชิงหลิงหันกลับไปจ้องอย่างรุนแรงแวบหนึ่ง ยังเข้าใจการถนอมอ่อนโยนต่อผู้หญิงอีกหรือไม่?
นางพยายามระงับอารมณ์ที่ตกตะลึงไว้ ขึ้นไปด้านหน้าโน้มตัวเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม ถามชายที่ได้รับบาดเจ็บ “ท่านชาย ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
ผู้ที่ช่วยคนในตลาดที่คึกคักท่านนี้ก็คือท่านชายสี่เหลิ่งเจ้าสำนักของสำนักเหลิ่งหลัง
ตอนนี้เขานั่งบนพื้น ขาข้างซ้ายเหยียดออก แทบจะงอเข้ามาไม่ได้แล้ว ได้ยินหยวนชิงหลิงถาม เขาค่อยๆเงยหน้า มองดูใบหน้าที่ทาแป้งหนาๆปลายจมูกเป็นสีแดงประทับเข้ามาในม่านตา เขาอดกลั้นความวู่วามที่ต้องการจะผลักนางออกไปทันทีไว้ เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่ซีดเซียวออกมา “ไม่ได้เป็นอะไรมาก น่าจะถูกม้าของพวกท่านเหยียบกระดูกที่ขาแล้ว”
ใส่ร้ายขึ้นมาแล้ว
สวีอีเข้ามาแล้วกล่าว “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรานะ เป็นท่านที่กลิ้งเข้ามาเอง”
ท่านชายสี่เหลิ่งถูกหรงเยว่ประคองไว้ ยืนขึ้นมาด้วยความลำบาก ความเจ็บปวดแผ่มา ขมวดคิ้วทันที “ขออภัย ใจร้อนช่วยคนไปชั่วขณะ”
ชายผู้หล่อเหลาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมถึงได้เกิดใบหน้าที่งามเลิศที่สุดในประเทศมาได้นะ
ผู้หญิงทั้งสาม สูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง หยวนชิงหลิงออกคำสั่งทันที ให้สวีอีจ้างรถม้าอีกคัน ส่งท่านชายไปที่จวนเรียกให้หมอหลวงเฉามารักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่ง่ายนะ หน้าตาดูขนาดนี้ยังมีจิตใจเมตตาอีก คนมากมายบนท้องถนนล้วนไม่ได้ออกมาช่วย แค่เขาผู้เดียวที่ลงมือด้วยความกล้าหาญ คนประเภทนี้ก็คือรูปงามจิตใจดีอย่างแท้จริง
บนถนนใหญ่ ต้องการจ้างรถม้าก็ง่าย หรงเยว่ประคองท่านชายของพวกเขาขึ้นรถม้า ติดตามรถม้าด้านหน้าไป
หรงเยว่กล่าวด้วยความดีใจ “ท่านชาย คิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นขนาดนี้ ยังคิดว่าต้องเปลืองแรงเหนื่อยยากลำบากเล็กน้อยอีกนะเจ้าคะ”
ท่านชายสี่เหลิ่งไม่ดีใจเท่าไหร่นัก หึหึสองคำ ก็ปิดตาลงแล้ว
หรงเยว่หัวเราะแล้วกล่าว “ท่านชายท่านอย่าเสแสร้งเลย พวกเขามองไม่เห็น ล้วนขึ้นรถม้าหมดแล้วเจ้าค่ะ”
พูดพลาง เตะขาข้างซ้ายของท่านชายสี่ หัวเราะเหอะเหอะเหอะขึ้นมา การแสดงของท่านชายดีจริงๆ เมื่อครู่กลิ้งไปด้านหน้า กีบม้าเหยียบลงมา เขายืมตำแหน่งยืมได้ดีมาก ราวกับว่าถูกม้าเหยียบจริงๆแล้วเช่นนั้น
ท่านชายสี่เจ็บจนแทบจะพูดไม่ออก ถลึงตามองหรงเยว่ด้วยท่าทางที่ต้องการจะยกมีดขึ้นมาสับคน “เบาหน่อย จะเตะท่านชายของเจ้าให้ตายหรอ?”
หรงเยว่มองลงไปด้วยความแปลกใจ ยกผ้าของเขาขึ้นมามองดูแวบหนึ่ง มีปฏิกิริยาตกใจเป็นอย่างมาก “โอ้สวรรค์ เหยียบจริงๆหรอเจ้าคะ?”
สีขาวบนขากางเกง เปื้อนเลือดเป็นจุดๆ เท้านี้เหยียบไปบนเนื้อหนังแล้วยังจะกระดูกหักอีก มีกระดูกท่อนหนึ่งโพล่งขึ้นมาแล้ว
“นายท่านพยายามทำขนาดนี้ทำไมล่ะเจ้าคะ?” หรงเยว่กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
ท่านชายสี่ร้องซีดซีดซีดด้วยความเจ็บ “ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทำ ต้องการทำก็ต้องไร้พิรุธ”
เห็นผีแล้วจริงๆ เดิมทีเขาคิดจะกอดเด็กผู้หญิงล้มไปด้านหน้า ใครจะรู้ว่าม้าดันเอาขาลงมาตรงที่ที่เขาหยุดพอดี การตอบสนองของคนเฆี่ยนม้าจวนอ๋องฉู่นี่ช้าเพียงนี้เชียว? เขาก็คำนวณไว้ดีแล้ว ที่ที่กีบม้าตกลงมา มีระยะห่างกับเขาช่วงลำตัวหนึ่ง สำนักเหลิ่งหลังไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนสามารถทำจุดนี้ได้ ทำไมองครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างกายของพระชายารัชทายาทถึงไม่สามารถทำได้? เพียงแค่เขาดึงบังเหียนม้าก่อนล่วงหน้านิดเดียวก็สามารถทำจุดนี้ได้
และเขาได้คำนวณให้เขาแล้ว เขามีเวลาเพียงพอที่จะทำการตอบสนองออกมาได้
บนรถม้าอีกคันหนึ่ง สวีอีขี่รถม้าไปพลางทะเลาะกับอะซี่อย่างไม่หยุดหย่อนไปพลาง “ทำไมเจ้ามองไม่เห็น? เป็นเขาที่กลิ้งเข้ามาเองนะ? ทำไมเขาไม่กลิ้งไปด้านข้างแต่ต้องการกลิ้งเข้ามาใต้กีบม้าของข้าล่ะ? ปลอมแค่ไหนกัน จะต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ พวกเราไม่สามารถพาเขากลับไปที่จวนได้”
อะซี่กล่าวด้วยความโกรธ “ท่านทำให้คนบาดเจ็บยังกล้าว่าร้ายคนอื่นอีก? ถ้าหากไม่ใช่เขาออกมาช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้ คาดว่าที่ถูกเหยียบก็คือเด็กผู้หญิงคนนั้น เท้านี้เหยียบลงไป ยังจะรอดหรือ? หากไม่ใช่เขา ท่านก็กลายเป็นฆาตกรฆ่าคนแล้ว ยังไม่รู้จักขอบคุณอีก”
สวีอีโกรธจนแทบจะระเบิดแล้ว “เขาไม่ออกมาข้าก็สามารถหยุดม้าได้ เป็นเขาเองที่พุ่งพรวดออกมาจากนั้นก็กลิ้งอยู่บนพื้น กลิ้งเข้ามาใต้กีบเท้าม้าของข้า เจ้าฟังชัดเจนแล้วหรือไม่? เป็นเขาเองที่กลิ้งเข้ามา”
“ก็เพราะอิจฉาที่คนอื่นเขาหน้าตาดี ดังนั้นจึงใส่ร้ายคนอื่น” อะซี่ทำท่าทางบ้าผู้ชาย “สวรรค์เอ๊ย พวกเขาทั้งสองล้วนหน้าตาดี ทำไมถึงได้มีคนที่หน้าตาดีได้ขนาดนั้นนะ?”
เมื่อสวีอีได้ยินคำนี้ โกรธจนเส้นผมตั้งขึ้นมาแล้ว “เหลวไหล ข้าอิจฉาเขา? ไม่มีท่าทางของผู้ชายสักนิด หน้าตาดีกับผีนะสิ? ผิวพรรณของผู้ชายขาวขนาดนั้นไปตายยังจะดีซะกว่า เหมือนพวกผู้หญิง ยังเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าพวกผู้หญิงซะอีก เพียงมองก็คือผู้ชายที่ชอบผู้ชาย”
“สวีอี ท่านพูดเช่นนี้อีกข้าจะโกรธท่าน” อะซี่รับไม่ได้ที่คนอื่นเขาใส่ร้ายป้ายสีคนที่หน้าตาดีขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอื่นเขายังเพิ่งจะช่วยเด็กผู้หญิงไว้อีก
สวีอีหันกลับไปยกม่านขึ้น ทำหน้าตลกใส่อะซี่ “แบร่แบร่แบร่ เจ้าโกรธตายไปเถอะ เจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนตายข้าก็ไม่สนใจเจ้า”
อะซี่ฝ่ามือหนึ่งคลุมเข้าไป หัวของสวีอีหดกลับไปแล้ว ฝ่ามือของนางตีไปบนม่าน อะซี่เองโมโหจนหายใจไม่ทัน ฟ้องร้องต่อหยวนชิงหลิง “ท่านพี่หยวน ท่านว่าเขาเกินไปหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อครู่หยวนชิงหลิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยจริงๆ แต่ว่า ฐานะที่เป็นคนที่แต่งงานแล้ว ผู้ชายคนอื่นหน้าตาดีเพียงไหนก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางสักนิด ได้ยินทั้งสองโต้เถียงกันรอบหนึ่ง จึงหัวเราะแล้วกล่าว “เอาเถอะ เสแสร้งก็ดี มีเจตนาไม่ดีจริงๆก็ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเรียกหมอหลวงเฉามาจัดการบาดแผลของเขาแล้วหลังจากนั้นค่อยถามถึงประวัติ หากว่ามีความน่าสงสัย ก็เชิญให้ออกไปก็ได้แล้ว เรื่องนี้พวกเราไม่มีทางอื่น เมื่อครู่ประชาชนมากมายเห็นว่าเป็นรถม้าของพวกเราทำให้คนอื่นเขาบาดเจ็บ หากว่าพวกเราทิ้งไว้ไม่สนใจ ไม่เกินหนึ่งวัน คนทั้งเมืองหลวงก็จะพูดว่าจวนอ๋องฉู่ของพวกเราเย่อหยิ่งจองหองบ้าอำนาจเพียงไหนเห็นชีวิตคนเป็นใบหญ้าแล้ว”
นี่ก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ไม่ใช่แค่หลังจากที่แจ้งความแล้วส่งไปโรงพยาบาลรอประกันมาจัดการ รถม้าของจวนอ๋องฉู่ชนคนจิตใจดีที่ช่วยคนไว้ ทิ้งไปในโรงพยาบาลอย่างลวกๆ เห็นได้ชัดว่าไม่มีน้ำใจและเหมาะสมกับเหตุผล