บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 594 หนึ่งพิณ หนึ่งกระบี่
เขานั่งตัวตรง โดยมีนิ้วเรียวยาวทั้งห้านิ้วยื่นออกมาจากแขนเสื้อที่ยาวของเขา แล้วดีดพิณ หยู่เหวินเห้าที่ได้ยินเสียงพิณบรรเลงก็เริ่มรำกระบี่
ทั้งสองคนวันนี้ต่างก็สวมชุดสีขาว ดูเข้ากันมา ลมหนาวพัดผ่าน พัดเอาใบไม้ที่เหลืองอล่ามบนพื้น ลอยอยู่บนกลางอากาศ กระบี่ชิงหมังที่มีไอเย็นของกระบี่ เมื่อโบกสะบัดกระบี่ ใบไม้ก็จะพลิ้วไหวตามแนวกระบี่ของเขา ช่างงดงามนัก
ท่าทางการรำกระบี่ของหยู่เหวินเห้าดูหล่อมาก ทำให้เห็นถึงการใช้งานได้จริงและศิลปะในการรำกระบี่ก็ยังคงอยู่ และมันก็ไม่ได้ดูโหดร้าย ในทางกลับกันกระบี่ที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ เมื่อหันหน้ากลับมา เมื่อชูกระบี่ขึ้น เมื่อทะลวงไปในอากาศ มันดูเลื่อนไหลและสวยงามมาก
เสียงพิณที่ดังกังวาน มีท่วงทำนองที่สูงเหมือนภูเขาพลิ้วไหวเหมือนสายน้ำล่องลอยอยู่บนอากาศ และแขนเสื้อสีขาวของท่านชายสี่เหลิ่งที่ถูกลมพัดลอยขึ้นมา ราวกับว่ากำลังเต้นรำไปกับเสียงพิณด้วย
เขาหันหลังให้กับคนดู ไม่ได้เกล้าผมขึ้น ผมยาวสลวยที่ถูกลมพัดลอยตามสายลม ภาพรวมด้านหลังสวยมาก ในขณะนี้ คนหนึ่งดีดพิณ อีกคนหนึ่งรำกระบี่ เป็นความลงตัวที่บรรยายไม่ถูกและ…… หยวนชิงหลิงที่มองๆอยู่ กลับมีภาพลวงตา รู้สึกว่าพวกเขาช่างเหมาะสมกันมาก ราวกับเทพเจ้าและเทพธิดาคู่หนึ่ง
โดยเฉพาะในขณะที่หยู่เหวินเห้ารำกระบี่ หากทำนองเพลงประสานกันได้ดี เขาจะหันหัวดาบ กระโดดขึ้นกลางอากาศ แล้วยิ้มให้กับท่านชายสี่เหลิ่ง รอยยิ้มนั้นสดใสมาก ดวงตาเป็นประกาย ยามนี้ ท่านชายสี่เหลิ่งก็มักจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปล่อยใจไปกับทำนองเพลง พิณและกระบี่เคลื่อนไหวพร้อมกันอีกครั้ง
ผู้คนมองอย่างเพลิดเพลิน ฟังอย่างหลงใหล ราวกับว่าตัวเองนั้นอยู่บนสวรรค์ ทำนองเพลงนี้กระบวนท่าของกระบี่นี้ควรที่จะอยู่บนสวรรค์
เวลานี้ คนที่ถูกสั่งให้ไปเอาสุราอย่างหรงเยว่ก็กลับมาแล้ว เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ก็ได้หยิบกระบี่ออกมาเล่มหนึ่งแล้วบินออกไป เห็นเพียงกระบี่ของนางวาดเหมือนกำลังทอผ้า ร่างที่สวมชุดสีฟ้ากับหยู่เหวินเห้าที่สวมชุดสีขาวต่างก็รำกระบี่เป็นวงกลม บางครั้งก็ก้าวเท้าพร้อมกัน บางครั้งบินหมุนกลางอากาศ ท่วงท่าของทั้งสองคนนั้นเข้ากับเสียงพิณอย่างลงตัว
นี่เป็นครั้งที่สองที่หยวนชิงหลิงเห็นการรำกระบี่ของหยู่เหวินเห้า นางรู้สึกว่าความรักที่ตัวเองมีต่อไอ้แก่ห้าเพิ่มขึ้นอีกชั้นเหมือนแฟนคลับที่บูชาศิลปิน
ล้วนเป็นคนที่อ่านนิยายของกิมย้งจนโต ใครล่ะที่จะไม่เคยมีความฝันที่อยากจะถือกระบี่ท่องยุทธภพบ้าง? แต่ความฝันก็ส่วนความฝัน นางที่เป็นนักศึกษาสายวิทย์ที่มีเหตุผล นางเชื่อเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะบินขึ้นไปบนฟ้า และมนุษย์ที่ไม่มีตัวช่วยในการบินแล้วบินได้มันขัดต่อหลักการทางกายภาพ
แต่ตอนนี้ นางยอมรับว่าความเข้าใจของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์นั้นยังตื้นเขินมาก
ความสามารถของมนุษย์ไร้ขีดจำกัด
เมื่อจบเพลง กระบี่ก็ถูกเก็บลง
หยวนชิงหลิงเด็ดดอกไม้หนึ่งดอก เดินไปตรงหน้าของหยู่เหวินเห้าด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว รอยยิ้มดั่งดอกไม่ผลิบาน “แววตาเป็นประกาย วิชากระบี่ของท่านยอดเยี่ยมมากเลย โปรดรับคำชื่นชมของข้าด้วย”
หยู่เหวินเห้าพูดต่อ เม็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าได้ไหลลงมาบนผิวสีน้ำตาล ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นวิชารำกระบี่ของข้าเสียหน่อย”
“ครั้งนี้ดีเป็นพิเศษ!” หยวนชิงหลิงชื่นชมอย่างจริงใจ แววตาเป็นไปด้วยความรู้สึกที่เทิดทูนบูชา
อีกด้านหนึ่ง ท่านชายสี่เหลิ่งก็ลุกขึ้นมา หรงเยว่ได้ถอยไปอยู่ที่ข้างกายของเขาแล้ว
สามีภรรยาที่หวังเงินทองกับพี่น้องที่หมายจะเอาชีวิตแปดตาประสานขึ้น ต่างก็หัวเราะขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยมิตรภาพที่ชอบในสิ่งเดียวกัน
เสียงปกมือดังขึ้น ทุกคนต่างรู้สึกอัศจรรย์กับเพลงกระบี่อย่างมาก
มีแต่สวีอีกที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ท่านชายสี่เหลิ่งคนนี้ทั้งมอบกระบี่และดีดพิณให้กับองค์รัชทายาท ก็ไม่รู้ว่ามีแผนการอะไร อีกอย่าง เขาจ้องมองรัชทายาทตลอดเวลา สายตาเต็มที่ไปด้วยความคลุมเครือ
และก็มองพระชายารัชทายาทเป็นครั้งคราว เมื่อมองก็จะมองเป็นเวลาที่นาน แต่ว่าสายตานั้นกลับเฉยกว่ามาก
สวีอีไม่เคยสงสัยใครแบบนี้มาก่อน แต่ว่าวันนั้นที่ท่านชายสี่เหลิ่งชนกับเขานั้น มันมีร่องรอยของความเจตนามากเกินไป สวีอีคิดว่า แม้แต่เขายังรู้สึกว่ามันมีปัญหา งั้นปัญหาต้องใหญ่อย่างแน่นอน
หยู่เหวินเห้ามองดูท่านชายสี่เหลิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างจริงใจ “กระบี่เล่มนี้ ข้าชอบมาก ขอบคุณท่านชายสี่เหลิ่งที่มอบมันให้ข้า”
เดิมทีท่านชายสี่เหลิ่งยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่มอบกระบี่เล่มนี้ออกไปอย่างอธิบายไม่ถูก แต่หลังจากได้เห็นวิชากระบี่ของเขาแล้ว เขารู้สึกว่าคนที่คู่ควรกับกระบี่เล่มนี้ก็มีแต่รัชทายาทเท่านั้น
ดังนั้น เขายิ้มๆ กระบี่ล้ำค่าต้องมอบให้กับวีรบุรุษ องค์รัชทายาทคู่ควรที่สุดแล้ว
สี่ตาสบประสานกัน สี่มือประกบเข้ามา ต่างคนต่างมีแผนการยิ้มให้กันและกัน
มีภาพที่มอบกระบี่รำกระบี่แล้ว ทำให้ช่องว่างถูกทำลายลงไป ท่านชายสี่เหลิ่งกับหยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปแล้วคุยกันอย่างมีความสุข โดยเฉพาะกับวิชากระบี่ของหยู่เหวินเห้า เขาอยากจะเรียนรู้ด้วย ไม่ใช่ว่าวิชากระบี่ของหยู่เหวินเห้าจะเก่งแค่ไหน แต่เพราะภายใต้กระบวนท่าที่ปลิดชีวิตทุกท่วงท่า ยังสามารถโบกสะบัดได้สวยงามขนาดนั้น
หยู่เหวินเห้าสอนอย่างไม่หวงวิชา ทั้งสองคนก็ออกมาในลานสวนอีกครั้ง กระบี่สองเล่ม ร่างที่สวมชุดขาวสองร่าง ได้รำกระบี่ภายใต้ใบไม้สีทองที่ถูกลมพัดจนลอยอยู่กลางบนอากาศ กระบี่เคลื่นไหวอย่างอ่อนช้อย ท่านชายสี่เหลิ่งที่ทำตาม ดังนั้น มันดูงุ่มง่ามเล็กน้อย หยู่เหวินเห้าจึงเข้าไปสอนอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเนื้อต้องตัวกัน ในสายตาของผู้คนรู้สึกถึงความงดงาม แต่ในสายตาของสวีอี กลับรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก
ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดออกมาหนึ่งคำ และเป็นการตัดสินโดยตรง “สิ่งที่ลือกันข้างนอกเป็นเรื่องจริง ท่านชายสี่เหลิ่งคนนี้ชอบผู้ชาย!”
คนในห้องต่างมองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ทังหยางรีบกระโจนเข้าไป หุบปากของเจ้าเสีย กระซิบอย่างโกรธเคือง “หุบปาก อย่าพูดจาไร้สาระ”
หรงเย่วก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว ยิ้มๆ “ข่าวลือข้างนอกมีความน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยรึ? มีข่าวลือตั้งมากมายเกี่ยวกับท่านชายสี่เหลิ่งของเรา ก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาอายุสามสิบแล้วยังไม่แต่งงาน? คิดไม่ถึงเลยว่าคนในจวนอ๋องฉู่จะตื้นเขินกันเช่นนี้ กลับเชื่อข่าวลือที่ไร้สาระเช่นนั้น”
ถังหยางรีบขอโทษว่าไม่ใช่ แล้วจ้องเขม็งไปที่สวีอี “หากพูดจาไร้สาระอีกข้าจะตัดลิ้นของเจ้า”
สวีอกล่าวอย่างลำบากใจ “ไม่ใช่ข้าพูดเองเสียหน่อย ข้างนอกเขาลือกันนานแล้ว”
จริงๆแล้วเมื่อพูดถึงท่านชายสี่เหลิ่ง ก็จะคิดถึงข่าวลือเหล่านั้น ผู้ชายที่ปกติคนหนึ่ง ทำไมอายุจะสามสิบแล้วยังไม่แต่งงาน? และยังชอบอยู่ร่วมกับบัณฑิตและจอมยุทธที่หน้าตาดี มิน่าล่ะถึงทำให้คนนินทา
อย่างไรก็ตาม เริ่มแรกนั้น ทุกคนก็รู้สึกว่าสวีอีพูดจาไร้สาระ เมื่อนั่งลงมาดื่มชากันแล้ว เห็นท่านชายสี่เหลิ่งที่เอาแต่มองอยู่เหวินเห้า และส่งสายตาให้เป็นครั้งคราว แววตาเต็มไปด้วยความหยอกล้อ
ทุกคนต่างแอบคาดเดา หรือว่าท่านชายสี่เหลิ่งเหลิ่งชอบองค์รัชทายาทเข้าให้แล้ว? ความหล่อของรัชทายาทเป็นเหตุแล้วจริงๆ
จุดนี้ แม้แต่ตัวหยู่เหวินเห้าเองก็สังเกตเห็นแล้ว รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
หรงเยว่แอบถอนหายใจ ดูแล้ว รอให้จบภารกิจของพระชายารัชทายาท กลับไปต้อนสอนให้นายท่านจิบหญิงยังไงแล้ว สามีของคนอื่นนั่งอยู่ตรงนี้ ท่านยังจะส่งสายตาทำไม? มอบของขวัญ คำพูดที่ไพเราะ ส่งสายตา ใช่ว่าต้องทำพร้อมกันทั้งสามอย่างเสียเมื่อไหร่ มันสามารถปรับตามสถานการณ์
หน้าตานายท่านอันดับหนึ่ง ทำการค้าอันดับหนึ่ง ฆ่าคนก็อันดับหนึ่ง สิ่งที่โง่สำหรับเขาก็คือเรื่องความรัก
เมื่อถึงตอนเที่ยง ก็มีแขกค่อยๆทยอยมา
หยู่เหวินเห้าไม่ได้เชิญคนมามากนัก เชิญกู้ซือสองสามีภรรยา เหลิ่งจิ้งเหยียน อ๋องหวย อ๋องฉี อ๋องซุนและภรรยา ยังมีเพื่อนสนิทอีกสองสามคน
บัดนี้ทางสำนักเหลิ่งหลังยังไม่มีข่าวคราว ดังนั้น ไม่กล้าที่จะเอิกเกริก เชิญเพียงแขกคนสนิทเท่านั้น
อ๋องซุนกับพระชายาซุนมาเช้าสุด อ๋องซุนพยายามลดความอ้วนมาแล้วพักหนึ่ง ต่อมาได้ยอมแพ้ ในชีวิตของมนุษย์ มีใครบ้างที่ไม่เคยพูดว่าจะลดความอ้วนออกกำลังกาย?
ยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย มีความเข้าใจตัวเองนั้นมีค่ามากกว่า
วันนี้หรงเยว่มีชีวิตชีวามาก หน้าตาของนางไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรมากมายก็สามารถสร้างความตกตะลึงให้กับคนในงานได้ เพียงแต่ หลังจากที่อ๋องซุนและภรรยามาถึง นางก็ได้กลับไปแต่งตัวที่ห้อง เพื่อที่จะให้ความสวยของนางโดดเด่นมากขึ้นไปอีก นางคิดว่า แขกในวันนี้ นางจะต้องหาคนที่เหมาะสมกับนางได้อย่างแน่นอน
และวันนี้สามารถเห็นแขกที่หน้าตาโดดเด่นมากมาย เช่นอ๋องฉี กู้ฉือ เหลิ่งจิ้งเหยียน พี่ซูหลง เจ้าหวางและอื่นๆ ยังมีหลู่หม่างที่วันนี้ดูแล้วก็ห้าวหาญทรงพลัง หรงเยว่ที่มองดูอยู่เกิดความดีใจ และถามอะซี่เกี่ยวกับข้อมูลของแต่ละคน
ดูเหมือนจะกลายเป็นงานคัดเลือกสามีของหรงเยว่ไปแล้ว