บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 603 ห้ามนางไปอีก
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถระงับการลุกฮือของเหล่าขุนนางได้ ยังคงเป็นโสว่ฝู่ฉู่ที่ออกมาถามขุนนางที่ยื่นหนังสือ “มีหลักฐานไหม ท่านได้เห็นกับตาว่าพระชายารัชทายาทขึ้นไปเขาโรคเรื้อนหรือว่าได้ยินมา?”
ขุนนางที่ยื่นหนังสือเป็นขุนนางในเน่ย์เก๋อ ชื่อว่าถงเม่า เขาที่ได้ยินคำพูดนี้ของโสวฝู่ฉู่ ก็กล่าวขึ้น “โสวฝู่ฉู่ เรื่องนี้แม้ข้าจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ว่า ลูกน้องของข้ากับลูกน้องใต้เท้าฮัวที่ออกไปนอกเมืองในวันก่อน เห็นรถม้าของพระชายารัชทายาทออกไปนอกเมือง แล้วขึ้นไปยังเขาโรคเรื้อน”
โสวฝู่ฉู่กดมือ “ได้ตามขึ้นไปหรือไม่?”
บัณฑิตถงตกใจ “เอ๋อ…….ไม่ได้ตามขึ้นไป อย่างไรก็ตาม จากนั้นข้าได้สั่งการให้พวกเขาเฝ้าอยู่เชิงเขา พบว่าพระชายารัชทายาทพาคนขึ้นไปติดต่อกันหลายวัน ตอนฟ้าใกล้สว่างก็ออกไปนอกเมือง เวลาประมาณยามห้ายก็กลับเข้าเมือง ตอนนั้นประตูเมืองได้ปิดไปแล้ว พระชายารัชทายาทใช้ป้ายของใต้เท้าเหลิ่งกับใต้เท้ากู้เข้าเมือง บนเขาโรคเรื้อนไม่ได้มีที่ท่องเที่ยวอย่างอื่น อีกอย่างเมื่อห้าปีที่แล้วฮ่องเต้ก็ได้รับสั่งไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นไปเด็ดขาด พระชายารัชทายาทรู้แล้วยังจงใจกระทำผิด”
โสวฝู่ฉู่กล่าว “ในเมื่อไม่ใช่ท่านที่เห็นกับตา งั้นเรื่องนี้ก็ต้องตรวจสอบ เพื่อดูว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับการใส่ร้ายหรือมีเงื่อนงำอย่างอื่นหรือเปล่า”
บัณฑิตถงเถียงด้วยเหตุผล “โสวฝู่ฉู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรที่จะล่าช้า”
โสวฝู่ฉู่หรี่ตาลง กล่าวอย่างเฉียบขาด “ก็เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องตรวจสอบ คนที่ท่านเอ่ยถึงเป็นพระชายารัชทายาทของราชสำนัก หรือว่าจะไม่ให้สอบสวนก็ให้ลงโทษเลยหรือ? หากเป็นเช่นนี้ งั้นข้าก็ต้องยื่นหนังสือร้องเรียนใต้เท้าถงเช่นกัน ที่ท่านปกป้องลูกชายที่ทำร้ายคนตามท้องถนน” ใต้เท้าถงก็เงียบไปทันที
ไอ้ลูกชายที่ไม่เอาไหน สักแต่หาเรื่องให้กับเขา
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นโสวฝู่ฉู่ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ก็กล่าว “ในเมื่อมีคนยื่นหนังสือ ก็เป็นจริงอย่างที่โสวฝู่ฉู่กล่าวมันเป็นเรื่องใหญ่ จะไม่ระวังไม่ได้ โสวฝู่ฉู่ ท่านช่วยข้าตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย”
โสวฝู่ฉู่ยกมือคารวะ “กระหม่อมรับพระบัญชา!”
หลังจากเลิกว่าราชกิจในตอนเช้า ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ไปหารือเรื่องในเน่ย์เก๋อ เหลือโสวฝู่ฉู่ไว้เพียงคนเดียวแล้วรับสั่งให้เรียกหยู่เหวินเห้าเข้าวัง
หยู่เหวินเห้าจะมาร่วมว่าราชกิจด้วยในตอนเช้า แต่ว่าตอนที่ออกจากจวนเจ้าหน้าที่จากที่ทำการปกครองก็มารายงานว่าสะพานหูเฉิงถล่ม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากกว่าสิบคน เขาเลยไปจัดการ ฮ่องเต้มีราชโองการเรียกเขาเข้าวัง เกือบเที่ยงเขาถึงได้เข้าวัง
ยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวกินน้ำเลย หิวจนตาลายแล้ว
เข้าประตูตำหนัก ยังไม่ทันพูดเรื่องสะพานหูเฉิง ฮ่องเต้หยวนหมิงหยวนก็เอาตำหนิเขา ว่าเขาที่ตามใจหยวนชิงหลิงให้ไปที่เขาโรคเรื้อนจนมีคนยื่นหนังสือร้องเรียน
หยวนชิงหลิงขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อนไม่ได้รับสั่งโดยตรงแต่ได้บอกเป็นนัยๆ ดังนั้น ความผิดนี้ยังไงหยู่เหวินเห้าก็ต้องแบกรับ
หยู่เหวินเห้าแววตาแข็งกร้าว “ไอ้เต่าคนไหนเป็นคนยื่นหนังสือ?”
“ถงเม่า!” โสวฝู่ฉู่กล่าวอย่างเรียบเฉย
หยู่เหวินเห้าแปลกใจเล็กน้อย “บัณฑิตในเน่ย์เก๋อ ถงเม่า?”
คนผู้นี้มักจะฟังคำพูดของโสวฝู่ฉู่ เคารพโสวฝู่ฉู่ ทำไมถึงร่วมยื่นหนังสือร้องเรียน โดยไม่ได้บอกโสวฝู่ฉู่ล่วงหน้า?
โสวฝู่ฉู่มองเห็นความสงสัยของเขา ก็กล่าว “ก่อนเกิดเรื่องกระหม่อมไม่ทราบเรื่องมาก่อนเลย”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “ในเน่ยเก๋อมีกฎที่ไม่ได้ร่างเป็นตัวอักษร ขอเพียงมีหนังสือร้องเรียน ต้องผ่านตาท่านก่อน ก้าวข้ามท่านโดยตรง มันหมายความว่าอย่างไร?”
โสวฝู่ฉู่กล่าว “คงรู้ว่ากระหม่อมต้องห้ามยื่นหนังสือร้องเรียนฉบับนี้อย่างแน่นอน เขาต้องการสร้างความตื่นตระหนกในท้องพระโรง ดังนั้นทำได้เพียงก้าวข้ามกระหม่อม แม้กระทั่งบัณฑิตคนอื่นๆในเน่ย์เก๋อก็คงไม่รู้”
“มีคนอื่นร่วมร้องเรียนด้วยมั้ย?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ยังต้องการคนอื่นอีกหรือ? เขารู้ว่าเมื่อยื่นหนังสือร้องเรียนออกมา ขุนนางในราชสำนักเกินครึ่งล้วนสนับสนุนการจัดการอย่างเข้มงวดกับพระชายารัชทายาท ค่อยสืบสวนเหตุจงใจที่อยู่เบื้องหลัง” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างโกรธเคือง “คนที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศและทำให้ประชาชนลำบากก็คือกลุ่มขุนนางที่ระมัดระวังตัวพวกนี้ โลภและหาแต่ความสุขใส่ตัวโดยไม่ทำการทำงาน มีคนไปทำแล้ว ยังจะมาขัดขวางอีก”
ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังคำพูดนี้แล้ว กลับรู้สึกละอายใจ ราวกับว่ารัชทายาทกำลังว่าเขา ก็เลยกระแอมไปหนึ่งที กล่าวอย่างชอบธรรม “อย่างไรก็ตาม หากเรื่องบานปลายเกรงว่าจะควบคุมไม่ได้ เจ้าบอกให้พระชายารัชทายาทอย่าขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อนอีก ข้ากับโสวฝู่ฉู่จะหาวิธีทำให้เรื่องนี้เงียบไป โดยหาคนมากลบเกลื่อนให้เรื่องมันผ่านไป”
หยู่เหวินเห้าส่ายหัวกล่าว “เสด็จพ่อ เกรงว่าคงไม่ได้ ยายแก่หยวนต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นขังไว้ในบ้าน!” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวอย่างขุ่นเคือง นี่เป็นจุดที่เขาไม่ได้เรื่องที่สุด ผู้หญิงในบ้านก็เอาไม่อยู่ ยังจะปกครองบ้านเมืองได้ยังไง?
หยู่เหวินเห้าจนใจ “เสด็จพ่อ นางไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย ทำไมต้องขัดขวางล่ะ? พวกเขาจะพูดก็ให้พวกเขาพูดไป สามารถรักษาโรคเรื้อนหายสำหรับประเทศเป่ยถังของเราเป็นเรื่องดีที่ไม่มีความเสียหายอะไรเลย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “แม้แต่ในฝันข้ายังอยากให้หมอของเป่ยถังสามารถรักษาโรคเรื้อนได้ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตอนแรกที่ยอมหลับหูหลับตาให้นางไป มันเป็นเพราะใจที่คิดว่ามันจะดี ลืมคิดถึงผลที่จะตามมา หากเจ้าคุมนางไม่อยู่ ข้าก็จะออกราชโองการ”
หยู่เหวินเห้าร้อนใจแล้ว “ทำไมเป็นเพราะใจที่คิดว่าจะดีล่ะ? แม่…….”
โสวฝู่ฉู่กระแอมไปหนึ่งที “องค์รัชทายาท อย่าเพิ่งใจร้อน ข้าจะคิดหาวิธีอีก”
หยู่เหวินเห้ามองโสวฝู่ฉู่อย่างสงสัย เรื่องของแม่นมสี่ ทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้? ไท่ซ่างหวงเองก็รู้เรื่องนี้ เสด็จพ่อก็น่าจะรู้บ้าง ยัยแก่หยวนนั้นรักษาโรคเรื้อนได้จริง
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองทั้งสองคน “แม่อะไร?”
หยู่เหวินเห้าไม่เข้าใจความหมายของโสวฝู่ฉู่ ทำได้เพียงกล่าว “ความหมายของลูกคือ หากสามารถรักษาโรคเรื้อนนี้ได้ สำหรับเป่ยถังเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง”
“งั้นก็ต้องรักษาหายถึงจะได้ ตอนนี้ยังคงพูดด้วยปากเปล่า!” ตอนนี้ราชสำนักมีเรื่องมากมาย ฮ่องเต้หมิงหยวนกลุ้มจะตายอยู่แล้ว เคลื่อนไหวไม่สู้สงบนิ่ง ในเมื่อมีคนจ้องมองอยู่ งั้นก็ยังไม่ต้องไปทำ
อีกอย่างตอนนี้เขามาคิดๆดู มันก็อันตรายจริง หากหยวนชิงหลิงติดโรค แล้วมาแพร่ระบาดให้กับลูกๆ งั้นก็คงจะอนาถน่าดู
หยู่เหวินเห้าโต้แย้ง “เสด็จพ่อ ยัยแก่หยวนไปหลายวันแล้ว ได้ให้ยาในการรักษาแล้ว มันหยุดไม่ได้ ท่านก็ให้นางไปต่อเถอะ ลูกรับประกันกับท่าน นางสามารถรักษาได้จริง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนแข็งกร้าวขึ้นมาทันที “ไม่ได้ ขอเพียงนางยังเป็นพระชายารัชทายาท ก็ไม่สามารถขึ้นไปเขาโรคเรื้อน หากนางยังอยากที่จะขึ้นไปต่อ งั้นเจ้าก็หย่ากับนางซะ ก่อนที่ไม่เกิดเรื่อง ข้าสามารถเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ แต่ตอนนี้เรื่องถูกเปิดเผยแล้ว……นางจะขึ้นไปต่อยังไง? เจ้าเคยคิดมั้ยว่าเรื่องจะถูกหมักหมมจนกลายเป็นภัย”
หยู่เหวินเห้าโกรธมาก จนโพล่งออกมาว่า “เสด็จพ่อ ท่านทำไมถึงขี้ขลาดอย่างนี้? นี่มันร้อยกว่าชีวิตเลยนะ เป็นประชาชนของท่าน ท่านไม่ให้ยัยแก่หยวนไป ก็เท่ากับเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา”
“บังอาจ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนตบโต๊ะ ตะโกนอย่างโกรธเคือง “เจ้ารู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรมั้ย? อ้าปากก็พูด เจ้าในฐานะรัชทายาทของเป่ยถัง กลับไม่มีความหนักแน่นเอาเสียเลย ไสหัวกลับไปทบทวนดู!”
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างดื้อดึง “เสด็จพ่อ บัดนี้ในเมื่อก็ได้เริ่มรักษาไปแล้ว ลูกคิดว่าไม่สู้เรามาประกาศอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ยัยแก่หยวนขึ้นไปได้อย่างถูกต้องเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ แม้ว่าโรคเรื้อนจะเป็นโรคร้ายแรงก็ตาม แต่มันเป็นผลประโยชน์ของราษฎร ลูกคิดว่าไม่มีอะไรน่าปิดบังเลย หากประชาชนรู้ว่าโรคเรื้อนสามารถรักษาหายได้ ก็ต้องดีใจอย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้หยวนหมิงโกรธจนอึ้ง “ประกาศ? เจ้ากล้าที่จะหัวที่อยู่บนคอของเจ้ากับหยวนชิงหลิงมารับประกันว่าสามารถรักษาหายได้อย่างแน่นอนมั้ย? หากประกาศออกไป สุดท้ายรักษาไม่หาย เจ้ารู้ผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไรมั้ย? ต่อแต่นี้ราชวงศ์ก็จะกล่าวหาว่าเป็นโรคร้าย ราษฎรก็จะสงสัยว่า เป่ยถังจะมีฮ่องเต้ที่เป็นโรคเรื้อนหรือเปล่า”
โสวฝู่ฉู่มาห้ามทัพแล้ว กล่าวกับหยู่เหวินเห้า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ให้กระหม่อมกับฮ่องเต้มาจะพิจารณากันดูก่อน มันต้องมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างแน่นอน อย่าวู่วาม”
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้หมิงหยวนไม่อยากที่จะคุยเรื่องนี้แล้ว ยื่นมือออกมาสั่งให้พอ “พวกเจ้าต่างก็ออกไปเถอะ จัดการตามนี้ ห้ามพระชายารัชทายาทขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อนอีก”