บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 608 ต้องขัดขวางนางได้ให้
จนกระทั่งหยู่เหวินเห้าทานมื้อดึกเสร็จ ทั้งสองนอนลงบนเตียงแล้ว ก็ต้องมาถกเถียงถึงเรื่องขึ้นเขาของพรุ่งนี้ หยวนชิงหลิงแสดงสถานะของตัวเองอย่างชัดเจน ข้าไม่ไปไม่ได้ ทิ้งคนป่วยไม่ลง”
หยู่เหวินเห้าเอามือทั้งสองหนุนอยู่บนท้ายทอย “ข้าก็สนับสนุนเจ้าขึ้นไปต่อ เรื่องได้ทำมาแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ควรที่จะมาเสียกลางคัน อีกอย่างชีวิตคนสำคัญกว่า วันนี้เกือบทั้งวันข้าอยู่ที่สะพานหูเฉิง หวังว่าคนที่ถูกช่วยขึ้นมาจะยังคงหายใจอยู่ แต่ก็ผิดหวัง มีแต่สถานการณ์เช่นนี้ จึงได้เข้าใจคุณค่าของชีวิต”
“เสด็จพ่อว่าอย่างไร?”
หยู่เหวินเห้าตะแคงตัวมองนาง “ไม่ต้องสนว่าเสด็จพ่อจะว่ายังไง ไม่ว่ายังไงก็ไม่ตัดหัวหรอก พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ปลอมตัวหน่อย ตอนที่พวกเจ้าขึ้นไปไม่มีคนขวางพวกเจ้าหรอก ตอนที่เจ้าลงมาถึงจะกล้าขวาง หากถูกขวางเป็นตายร้ายดีเจ้าก็ห้ามยอมรับฐานะของตัวเอง หากพวกเขากล้าตามมา พวกเจ้าก็ควบม้า หนีได้หนึ่งวันก็หนึ่งวัน หากถูกจับได้จริงค่อยคิดหาทางอีกที”
“จะเล่นอย่างนี้เลยเหรอ?” หยวนชิงหลิงแสดงความสงสัย
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างอันธพาล “มันเป็นแผนการที่ไม่ดีอยู่แล้ว แต่มันกำลังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เราไม่มีเวลาคิดหาวิธีอื่น ผ่านไปหนึ่งวันก็หนึ่งวัน หากไม่ได้ ยังมีอีกสองวิธี หนึ่งก็คือใช้หัวที่อยู่บนคอของเจ้ารับประกันว่าสามารถรักษาโรคเรื้อนหายได้ ข้อสอง เราหย่ากันก่อน แกล้งหย่ากันไปก่อน รอให้รักษาผู้ป่วยหายแล้วค่อยแต่งใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามความหมายของพวกเขาก็คือขอเพียงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ห้ามขึ้นไป”
“มีเพียงแต่เชื้อพระวงศ์ที่ขึ้นไม่ได้เหรอ? เหมือนกับว่าคนอื่นๆก็ขึ้นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?” หยวนชิงหลิงจำได้ว่าเขาโรคเรื้อนเป็นที่ถูกกักตัว ใครก็ขึ้นไปไม่ได้ และใครก็ลงมาไม่ได้
หยู่เหวินเห้ายิ่งพาลมากขึ้น “ก็ไม่ใช่คนในเชื้อพระวงศ์แล้ว ยังมาสนใจกฎระเบียบทำไม? ให้อะซี่หมันเอ๋อกับยัยหน้ากลมพาเจ้าฝ่าขึ้นไปสิ ข้าเป็นเจ้ากรมการพระนคร เขาโรคเรื้อนก็อยู่ในความดูแลของข้า ขอเพียงพวกเขากล้าขึ้นไปจับเจ้า ข้าก็จะลงโทษพวกเขาไปด้วย หากถูกร้องเรียนไปเสด็จพ่อ ก็ยังไม่ไท่ซ่างหวงกับพวกลูกๆอีก”
หยวนชิงหลิงเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างมาก นางกล่าวอย่างโกรธเคือง “เราไม่ได้ไปทำความชั่วเสียหน่อย ทำไมต้องหลบๆซ่อนๆด้วย วันนี้ข้ายังได้บอกกับผู้ป่วยที่ข้ามาที่เขาโรคเรื้อนเป็นคำสั่งของทางราชสำนัก หากให้พวกเขารู้ว่าทางราชสำนักได้ทอดทิ้งพวกเขาไปนานแล้ว ไม่เสียจนตายหรอ?”
นิ่งไปครู่หนึ่ง หยวนชิงหลิงจู่ๆก็มองเข้าอย่างกังวล “มันจะทำให้ท่านถูกกล่าวโทษไปด้วยหรือเปล่า?”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สนใจ “ไม่เป็นไร ใครชอบกล่าวหาก็ให้มันกล่าวหาไป ทำเหมือนว่าข้าอยากจะเป็นรัชทายาทมากขนาดนั้น”
ตอนนี้เขาไม่อยากจะเป็นแล้ว แต่ว่าเสด็จพ่ออยากให้เขาเป็น ที่เสด็จพ่อต้องระมัดระวังก็เพราะไม่อย่าให้เขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ดีและทำให้เสียชื่อ
ใครอยากใครก็กังวล
หลังจากพูดเรื่องนี้จบ ทั้งสองคนก็ดึงผ้าห่ม “นอน!”
เช้าวันรุ่งขึ้นหยวนชิงหลิงเหมือนจะลุกไม่ขึ้น จนกระทั่งฟ้าสว่างจึงถูกเสียงข้างนอกทำให้ตื่น ลูบไปที่ข้างกายมันว่างเปล่า คาดว่าไอ้แก่ห้านอนไปแค่หนึ่งชั่วยามก็ออกไปแล้ว
ตำแหน่งรัชทายาทนี้ไม่อยากได้จริงๆเลย ต้องแบกชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรทั้งประเทศ มันหนักเกินไปแล้ว
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นนั่ง หาวไปหนึ่งที เหนื่อยจนปวดคอปวดไหล่ไปหมด นางยื่นมือออกไปนวดตำแหน่งตรงท้ายทอยครู่หนึ่ง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อย จึงลุกขึ้นลงจากเตียง
ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเหมือนจะไปสู้รบ จากนั้นก็เรียกทุกคนเข้ามา ดูว่าวันนี้จะแต่งตัวเป็นอะไรกัน
สุดท้ายทุกคนมีความเห็นว่า แต่งกายเป็นกรรมกรดีที่สุด เสื้อผ้าของกรรมกรไม่ยุ่งยาก วิ่งได้เร็ว
วันนี้ที่จวนอ๋องอานอะหลูอาละวาดอย่างหนัก คนของถงเม่าขวางหยวนชิงหลิงเอาไว้ไม่ได้ แต่ได้ไปถามทางประตูเมือง บอกว่าหยวนชิงหลิงได้ลงจากเขาเข้าเมืองมาแล้ว
“นอกจากว่าคนที่เจ้าส่งไปตาบอดทั้งหมด ไม่เช่นนั้น คนตั้งมากมายลงมาจากเขา ทำไมถึงมองไม่เห็น?” อะหลูพูดอย่างโมโห
ถงเม่าปาดเหงื่อที่หน้าผาก ตอนนี้ต่อให้มีปากไปทั่วร่างก็อธิบายความบริสุทธิ์ไม่ได้แล้ว แต่ว่า วันนี้ลูกน้องกลับมารายงานว่าไม่เห็นคนลงมาจากเขาเลย
คนเดียวอาจจะโกหกได้ แต่นี่มันตั้งยี่สิบกว่าคน จะโกหกได้อย่างไร?
“หรือว่าจะลงมาจากเส้นทางป่าทึบ?” ถงเม่าถามอย่างระมัดระวัง
อะหลูมองเขาอย่างเย็นชา “เส้นทางป่าทึบ ท่านแม่ทัพได้ส่งคนไปเฝ้านานแล้ว แม้แต่ผีก็ยังไม่เห็นเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเลย”
ถงเม่าพูดอย่างจนใจ “งั้นข้าก็ไม่รู้แล้วจริงๆ”
อะหลู่จ้องมองเขา น้ำเสียงเย็นชา “ใต้เท้าถง ข้าขอเตือนเจ้า เป็นคนอย่าคิดเหยียบเรือสองแคม ในเมื่อท่านทำงานให้กับจวนอ๋องอาน ก็ต้องภักดีต่อจวนอ๋องอาน อย่าเป็นคนสองจิตสองใจ มิเช่นนั้น มันจะไม่มีผลดีต่อท่านเลย”
ถงเม่านั้นถูกใส่ร้าย อธิบาย “ข้าน้อยไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”
อะหลูทำเสียงฮึ่มไปหนึ่งที “งั้นก็จะดีมากเลย มิฉะนั้น เจ้าก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ของมัน”
ถงเม่ารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้จะโอหังเกินไปแล้ว แต่นางก็เป็นคนสนิทของท่านอ๋อง แล้วจะทำอะไรนางได้? เขาคิดถึงคนของตัวเองเฝ้าอยู่ตรงปากทางเขาทั้งวันยังไม่ได้ผล จึงได้เสนอแผนการ “ไม่สู้ เรามากระจายข่าวที่พระชายารัชทายาทขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อน?”
อะหลู่กล่าวอย่างเย็นชา “เรื่องที่เจ้าคิดได้ ข้าจะคิดไม่ได้เลยหรอ? เจ้าไปเถอะ สั่งให้คนเฝ้าต่อไป นางต้องลงมาจากเขาอย่างแน่นอน”
ถงเม่าไม่เข้าใจ ทำได้เพียงออกมา
หลังจากที่ถงเม่าไปแล้ว ตี๋เว่ยหมิงก็เดินออกมาจากฉากกั้น สีหน้ามืดมน “การทำงานของถงเม่าไม่ได้เรื่องจริงๆ ดูแล้ววันนี้ต้องส่งคนไปจับตามองถึงจะได้แล้ว”
อะหลูถอนหายใจด้วยความหนักใจ “ใช่ ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อขัดขวางไม่ให้นางขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อนได้อีก หากผู้ป่วยบนเขาโรคเรื้อนถูกนางรักษาหาย ตำแหน่งรัชทายาทก็จะมั่นคงดั่งภูเขาไท่ซาน นี่ก็คือเหตุผลที่ไม่สามารถกระจายข่าวให้ประชาชนรู้ หากกระจายข่าวออกไป ฝั่งนางที่เหมือนกำลังทำเรื่องให้แย่ลง ชื่อเสียงถูกทำลายหรือถูกตำหนิมันก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราว เมื่อนางรักษาผู้ป่วยหาย มันก็จะกลายเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ ประชาชนที่เคยด่าพระชายารัชทายาทเพราะเหตุนี้ก็จะรู้สึกผิด เมื่อถึงเวลาความชื่นชมก็จะยิ่งเพิ่มความทวีคูณมากขึ้น ใจของราษฎรก็จะอยู่ที่พวกเขา เป้าหมายของเราคือการป้องกันไม่ให้นางขึ้นไปบนภูเขา”
“บัดนี้ฮ่องเต้ได้สั่งการลงมาแล้ว นางอาจจะไม่ขึ้นไปก็ได้?” ตี๋เว่ยหมิงนั่งลงแล้วพูด
อะหลูส่ายหัว “หยวนชิงหลิงไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ นางมีใจที่จะสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงไม่มีราชโองการ นางก็จะไม่มีทางหยุด แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางที่จะออกราชโองการง่ายๆ จึงจำเป็นต้องจับตัวนางให้ได้แล้วนำตัวนางไปที่ท้องพระโรง ต่อหน้าขุนนางบู๋บู๊ เพื่อกดดันฮ่องเต้ บีบฮ่องเต้ให้ออกราชโองการ”
ตี๋เว่ยหมิงพยักหน้า “อืม เจ้าพูดมีเหตุผล เพียงแต่ว่า หยวนชิงหลิงจะสามารถรักษาโรคเรื้อนได้จริงหรือ?”
อะหลูหรี่ตาลง “มีความเป็นไปได้ว่าแม่นมสี่น่าจะเป็นโรคเรื้อน แต่นางถูกรักษาหายแล้ว นี่ก็หมายความว่าหยวนชิงหลิงมีวิธีรักษาจริง”
ตี๋เว่ยหมิงกล่าวเสียงดัง “หยู่เหวินเห้าช่างมีวาสนาเสียจริง สามารถมีภรรยาแบบนี้ ช่วยไท่ซ่างหวงก่อน แล้วยังลูกชายอีกสามคน ตอนนี้ยังสามารถรักษาโรคร้าย ตำแหน่งรัชทายาทของเขา ก็เป็นหยวนชิงหลิงที่มอบให้ สักวันหนึ่ง ต้องให้มันตกลงมาอย่างแรง”
อะหลูถอนหายใจ “พูดตามตรงนะ สองสามีภรรยานี้ต่อกรไม่ง่ายเลย หากคนอื่นได้เป็นรัชทายาท ก็คงต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด แต่ว่าหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เหมือนจะทำทุกอย่างอย่างเต็มกำลังโดยไม่สนใจอะไรเลย ดูแล้วเหมือนจะสามารถจับผิดได้หลายจุด แต่ทั้งหมดที่ทำล้วนเป็นประโยชน์ต่อราชสำนักและบ้านเมือง ความอุตสาหะที่ไม่กลัวอันตรายกลับทำให้คนอื่นตื้นตันและชื่นชม ภายใต้สถานการณ์แบบนี้หากยังจะไปจับผิด ก็ต้องเป็นข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงถึงจะได้รับความสนใจ ดังนั้น ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว”
ตี๋เว่ยหมิงรับคำ ลุกขึ้นเดินจากไป